คุณเคยเชื่อในอำนาจของ "พลังจิต" ไหมครับ?
ผมว่า ผมเกิดมาเป็นคนที่โชคดีมากอย่างหนึ่ง คือ ถ้าคิดอะไร อยากได้อะไร
ให้คิด ตั้งใจไว้ แล้วลืมมันไปเลย อีกสักพัก หรือสักวันหนึ่ง เดือนหนึ่ง ปีหนึ่ง
10 ปี หรือว่า ยังไงเมื่อไหร่ก็ได้ แต่อยู่ในชาตินี้แหละ ไม่เกินไปกว่านี้หรอก
สิ่งที่อยากให้เป็นนั้น มันจะกลายเป็นความจริง
ฟังดูแล้ว ราวกับมีแก้วสารพัดนึกเลย !
(และในเมื่อพอมีโชคดีอยู่บ้างเช่นนี้
ก็ควรจะหมั่นทำความดี และช่วยเหลือผู้อื่น ที่ตกทุกข์ได้ยาก
หรือลำบากกว่าเรา จริงไหม?)
คราวนี้ เหตุการณ์แก้วสารพัดนึก ก็กลับมาบังเกิดกับผมอีกครั้ง
เพราะขณะที่กำลังคิดอยู่เล่นๆ ช่วงต้นปีนี้ ว่าอยากจะลองขับ
Audi RS4 ให้ได้ในสักวันหนึ่ง
จู่ๆ เช้าวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา
ขณะที่ผมกำลังสลบสไลอยู่บนเตียง
ก็มีคนใจดี อย่างคุณ โต ลีนุตพงษ์ แห่ง MTM หรือ Motoren Technik Mayer (Thailand)
มอบหมายให้ คุณปรีดา ผู้ช่วยของคุณโต เป็นคนติดต่อเข้ามาทาง อาลอง
(คุณอาธัญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา) ของเรานั่นเอง บอกให้ผมติดต่อกลับ ตามเบอร์ที่ให้มา
เพื่อนัดหมายวันเวลาที่ลงตัวสำหรับลองขับ ออดี้ RS4 คันนี้…
และนั่นคือ จุดเริ่มต้นของทริปสั้นๆ แต่มันส์ และเร้าใจยิ่ง ในบ่ายวันรุ่งขึ้น
พฤหัสบดีที่ 24 มกราคม…
วันพักผ่อนอันน่าจดจำของผมอีกหนึ่งวันไปเลยทีเดียว
แน่ละ คุณมีรถซีดานพันธุ์ผสมชั้นดีอยู่ในมือ
สมรรถนะก็ไม่ธรรมดาเลย ขุมพลัง วี8 4.2 ลิตร FSI
420 แรงม้า ที่ถูกปรับแต่งจนแรงขึ้นอีกด้วยการโปรแกรมกล่อง ECU
แลเปลี่ยนท่อร่วมไอเสียใหม่ เป็นของ MTM ให้แรงขึ้นอีกเป็น 435 แรงม้า
ติดตั้งเชื่อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ แบบ ควอตโตร อันลือเลื่องระบือนามของค่ายสี่ห่วง
พร้อมกับการปรับปรุงระบบกันสะเทือน โดย MTM และระบบเบรกชุดเดียวกับ
แลมโบร์กินี กัลญาร์โด!
ซึ่งคุณเอง ก็กดคันเร่งไปแบบเรื่อยๆเปื่อยๆ จนเข็มความเร็วกวาดขึ้นไปชี้ที่ตัวเลข
270 กิโลเมตร/ชั่วโมง……!! …และมันยังไปได้อีก เพราะยังไม่ถึงขีดสุดของมัน…!!!
ถ้าจะย้อนอดีตสักหน่อย ก็คงต้องกล่าวถึง ความเป็นมาอย่างย่อ ของ 2 เส้นทางที่มาบรรจบกันในวันนี้
เส้นทางสายแรก คงจะเป็น เส้นทางของ ออดี้ RS4
แรกเริ่มเดิมทีนั้น ออดี้พัฒนา ตัวแรงคันนี้ บนพื้นฐานจากตัวถังสเตชันแวกอน
จากตระกูลพรีเมียมคอมแพกต์ของตนในชื่อ A4 Avant และเริ่มทำตลาดเป็นครั้งแรก
เมื่อปี 1999 ในฐานะตัวตายตัวแทนของ RS2 พรีเมียมคอมแพกต์แวกอน ตัวแรงที่ออดี้
จับมือกับปอร์เช พัฒนาออกมาร่วมกัน
RS4 รุ่นแรก นั้น เรียกขานกันว่า B5 RS4 มีเฉพาะตัวถังแวกอนในชื่อ Avant เท่านั้น
วางเครื่องยนต์ วี6 DOHC 24 วาล์ว 2,700 ซีซี เทอร์โบคู่ จาก ตัวแรงสุดในระดับบ้านๆอย่าง
ออดี้ S4 แต่ถูกปรับจูนโดย Crosworth ในหลายชิ้นส่วน จนกระทั่งสมรรถนะความแรง
กระโดดขึ้นมาจาก 265 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร (40.76 กก.-ม.) พุ่งพรวดมาเป็น
380 แรงม้า (PS) แรงบิดสูงสุด 440 นิวตันเมตร (44.83 กก.-ม.) พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro
และระบบเบรกที่ปรับแต่งโดย ครอสเวิร์ธ อีกเช่นเดียวกัน ตลอดอายุตลาด ช่วงปลายปี 1999 – 2001
ออดี้ ผลิต RS4 รุ่นแรกออกสู่ตลาด 6,030 คัน
แต่แล้ว ออดี้ ก็ทิ้งช่วงไปเป็นเวลานาน 3-4 ปี ก่อนที่จะปล่อย RS4 เจเนอเรชันที่ 2 คลอดออกมา
เมื่อเดือนมีนาคม 2005 ณ งานเจนีวา ออโตซาลอน
โดยใช้โครงสร้างพื้นฐานของ A4 รหัสรุ่น B7 อันเป็นรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่ ของ A4 รหัสรุ่น B6
ที่คลอดออกมาตั้งแต่ปี 2000 – 2005 ออดี้ เลือกจะเว้นวรรค รุ่น B6 ไป โดยที่เราไม่อาจทราบ
สาเหตุอันแน่ชัด เพียงแต่ในช่วงนั้น เวอร์ชันร้อนแรงอย่าง S4 และ S4 Avant ยังคงเปิดตัว
สู่ตลาดได้ไม่นานนัก
ณ วันนี้ หากคุณเข้าไปเช็คดูใน http://www.audi.de จะพบว่า ไม่มีตัวถังซีดาน ซาลูน คันที่ผมลองขับอยู่นี้
เพราะดูเหมือนว่าเขาน่าจะชะลอการทำตลาดแล้ว เพราะในเมื่อ A4 ซาลูนเจเนอเรชันใหม่เปิดตัวแล้ว
ก็ไม่สมควรที่ RS4 ซาลูนจะยังคงทำตลาดต่อไป จึงต้อลปล่อยให้มีเหลือแต่ ตัวถัง แวกอน และ เปิดประทุน
ในชื่อ RS4 Avant และ RS4 Cabriolet ตามลำดับ อยู่ประคับประคองกันไปตามลำพัง
ควบคู่กันไป เส้นทางของ MTM ก็เริ่มขึ้นหาใช่อื่นไกลจากรั้วโรงงานค่ายสี่ห่วงนี้ไม่
Roland Mayer อดีตฝ่ายเทคนิคของ Audi A.G. หนึ่งในทีมงานคิดค้นเครื่องยนต์แบบ 5 สูบ
ของออดี้ ผู้ซึ่งช่ำชองกับเทคโนโลยีด้านการพัฒนาเครื่องยนต์ของค่ายสี่ห่วงนี้ จู่ๆ ตัดสินใจ
ลาออกมาเปิดกิจการ สำนักแต่ง MTM ขึ้นมา
ปี 1992 MTM ได้พัฒนาเครื่องยนต์ 5 สูบของออดี้ ให้ผลิตพละกำลังออกมาได้มากถึง 400 แรงม้า
และกลายเป็นเครื่องยนต์เครื่องแรกของออดี้ ที่ทำความเร็วได้ถึง 300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
และสามารถติดตั้งลงในรถยนต์ เพื่อแล่นบนถนนสาธารณะได้ จนกระทั่งในที่สุด MTM ได้รับการรับรอง
ให้เป็น "ผู้ผลิตรถยนต์" ที่สามารถออกเลขเครื่องยนต์ (Engine Number) และเลขตัวถังรถ VIN (Vehicle
Identification Number) ได้
ในบ้านเรา MTM Thailand เป็น 1 ใน ผู้จำหน่าย 40 ประเทศทั่วโลก ที่ได้รับสิทธิ์ในการสั่งนำเข้ารถยนต์ ออดี้
ที่ปรับแต่งโมดิฟายโดย MTM รวมทั้งชุดแต่งของ MTM และให้บริการหลังการขาย การซ่อมบำรุงต่างๆ อย่างเป็นทางการ
แล้วก็ยังคงให้บริการกับรถสปอร์ต ชั้นดี อีกหลายยี่ห้อ
เข้าไปดูรายละเอียดกันเอาเองนะครับที่ http://www.mtm-thailand.com
ความดุดันจากภายนอก ที่แต่งเติมด้วยล้ออัลลอย 19 นิ้วลายเอกลักษณ์ของ MTM
พร้อมยาง DUNLOP SP SPORT ขนาด 275/30ZR19
รวมทั้งชุดแอโรพาร์ตบางส่วน และฝากระโปรงหน้า พร้อมรูระบายอากาศ
ทั้งชิ้น ทำจากคาร์บอน เพื่อช่วยลดน้ำหนัก
ทำให้ตัวรถค่อนข้างดุดัน ทะมัดทะแมง
แต่เมื่อคุณเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ
มันกลับชวนให้คุณรู้สึกแตกต่างออกไป…นิดหน่อย
แน่นอนว่า ห้องโดยสารยังคงตกแต่งขึ้นจากพื้นฐานของ A4 รุ่นปัจจุบัน
ที่ตกรุ่นไปเรียบร้อยแล้ว ในเมืองนอก และเมื่อเหลียวซ้ายแลขวาไป
คุณจะพบกับบรรยากาศอันคุ้นเคย จากห้องโดยสารของออดี้แทบจะทุกรุ่น
ทั้งแผงหน้าปัด ที่จัดวางอุปกรณ์ต่างๆในตำแหน่งที่เหมาะสม
ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม จะยกเว้นก็แค่ สวิชต์ระบบปรับอากาศ
ที่ค่อนข้างอยู่ลึกไปสักหน่อย และต้องลดสายตาจากท้องถนน
ลงไปใช้งานอยู่เยอะเหมือนกัน
แผงหน้าปัดตกแต่ง ด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์ เพื่อความรู้สึกสปอร์ตสมบุคลิกรถ
ที่วางแก้ว เก็บซ่อนอยู่ด้านบนสุด ฝั่งซ้าย ของแผงคอนโซล
จะว่าไปแล้ว มันอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสำหรับผู้ขับในยุโรป
เพราะมันอยู่ฝั่งว้ายเช่นเดียวกับตำแหน่งพวงมาลัยของเวอร์ชันยุโรป
แต่เมื่อมาอยู่ในเวอร์ชันพวงมาลัยขวา อยู่ในตำแหน่งนั้นก็เหมาะสมเช่นกัน
เพราะไม่บดบังการใช้งานของอุปกรณ์อื่นๆไปอย่างที่คิด
ชุดเครื่องเสียง เป็นแบบ Audi Concert พร้อมลำโพงจาก BOSE
คุณภาพเสียง? แน่นอน ดีเยี่ยมใช้การได้
ขนาดผม ยัดแผ่น ซีดีของ Bodyslam ชุดล่าสุด ที่ GMM ต้นสังกัด
เขาทำตัวได้น่าด่าทอ เพราะปั้มแผ่นมาได้ยังไงไม่รู้
คุณภาพเสียงห่วยแตกพอกับฟังจาก เทปคาสเซ็ตต์ยุคโบราณ
เครื่องเสียงใน RS4 คันนี้ ก็ยังพยายามขับดันให้คุณภาพเสียงออกมาเลิศเลอ
ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่มันควรจะเป็น คือ เสียงที่เราได้ยินจากการยืนฟังเพลงในห้องบันทึกเสียงนั่นละ
ระบบปรับอากาศ เป็นแบบ ดิจิตอลแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา
ให้ความเย็นรวดเร็วใช้ได้
การติดเครื่องยนต์ ต้องใช้วิธีเสียบกุญแจ ที่คอพวงมาลัยตำแหน่งเดิม
หน้าจอระบบ แจ้งข้อมูล Multi Information Display ที่แจ้งข้อมูลระบบต่างๆของตัวรถ
ไปจนถึงการบริโภคเชื้อเพลิงเฉลี่ย และ Trip Computer ต่างๆ
และหน้าจอแสดงข้อมูลของชุดเครื่องเสียง เพื่อลดการละสายตาของผู้ขับ
จะขึ้นหน้าจอ เตือนให้คุณ เหยียบคลัชต์จนสุดด้วยเท้าซ้าย ก่อน
แล้วทิ้งไว้ จน กดปุ่ม START ข้างลำตัว ผู้ขับขี่ บริเวณเบรกมือ
เพื่อติดเครื่องยนต์
วุ่นเนอะ
ไม่รู้ว่าวิศวกรเยอรมันจะทำให้มันยุ่งยากวุ่นวายทำไม?
พวงมาลัยออกแบบพิเศษ จะบอกว่า ทำเฉพาะรุ่นก็คงไม่ใช่
เพราะมันยกมาจาก แลมโบร์กีนี กัลญาร์โด!
เป็น 1 ในบางชิ้นอะไหล่ ที่ออดี้ สั่งข้าวของจาก แลมโบร์ กีนี มาสลับสับเปลี่ยนแลกกันใช้
กับรถคันนี้
โปรดสังเกตว่ามีปุ่ม S
นอกเหนือจาก ปุ่มบวกลบ สำหรับโหมด Multi Function
ถามว่า มีไว้ทำไม?
ก็ลองกดดูสิ!
พอกดปุ๊บ คุณจะพบความเปลี่ยนแปลง บริเณเบาะนั่ง บักเก็ตซีต
เอกลักษณ์เฉพาะรุ่น
บริเวณล็อกต้นขา จะบีบรัดเข้ามามากขึ้น เพื่อล็อกตัวผู้ขับขี่มากขึ้น
และที่สำคัญ เสียงของท่อไอเสีย จะเร้าใจยิ่งขึ้น! ไม่เชื่อ ไปลองดู!
นอกจากนี้ เบาะนั่งของ RS4 ยังสามารถปรับตำแหน่งต่างๆ ด้วยระบบไฟฟ้า
ปรับได้หลายตำแหน่ง
แต่ ยกเว้นการเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลัง ที่ยังต้องดึงเหล็กโยก
ใต้เบาะยกขึ้น เพื่อเลื่อนเข้า-ออกห่างจากพวงมาลัย
รวมทั้งการปรับเอนเบาะ ที่ยังใช้ลูกบิดมือหมุนด้านข้างชุดเบาะ
และการปรับความสูงต่ำของเบาะคนขับ ที่ยังต้องใช้ก้านโยก โยกขึ้นโยกลง กระดึ๊บๆ
ชวนให้นึกถึง เบาะนั่งของ เชฟโรเลต ลูมินา / โฮลเด้น คอ์มอร์ดอร์ รุ่นที่แล้ว เปี๊ยบ!
สรุป ปรับได้แค่รายละเอียดปลีกย่อย
แต่ก็ดีแล้ว สำหรับรถที่ต้องการการลดน้ำหนัก เพื่อเน้นสมรรถนะมากกว่าความหรู
นอกจากนี้ ยังคั่นระหว่าง ผู้ขับ และผู้โดยสาร ด้วย กล่องคอนโซลกลาง ขนาดใหญ่พอจะใส่กล้อง คอมแพกต์ Canon S3IS ของผมได้ 1 ตัว พร้อมฝาปิดด้านบน
ออกแบบเป็นที่พักแชนในตัว เลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้
มันทำให้ผมได้พบสัจธรรมข้อหนึ่งของการออกแบบรถ
นั่นคือ ที่พักแชน ต่อให้เราอยากจะมีแค่ไหน
แต่ถ้ามันทำให้เข้าเกียร์ธรรมดา ลำบากอย่างนี้
บางครั้ง การไม่มีที่พักแขน ผมว่า มันน่าจะเป็นการดีกว่า
ส่วนเบาะนั่งด้านหลังนั้น ทางเข้่าออกดีกว่ารุ่นตัวถังเดิมนิดหน่อย ไม่มากนัก
จะว่าไปแล้ว มันไม่ต่างจาก BMW 3-Series Saloon E90 เท่าใดนัก
เบาะนั่งด้านหลัง ถือว่า ยังพอให้ความสบายในการเดินทาง
แต่อาจจะมีเมื่อย หากเดินทางไกล
อย่างว่าไว้ เป็นรถเหมาะกับคนโสด
หรือไม่ก็ครอบครัว ที่ลูกยังเล็ก เด็กยังแดง มากกว่า
ที่วางแขนตรงกลางพับเก็บได้ มีกล่องเก็บของพร้อมฝาปิด
และที่วางแก้ว พับเก็บได้
ที่วางแขนฝั่งประตูด้านข้าง ยังพอให้ความสบายได้อยู่
เพดานบุด้วยวัสดุที่ดี อ่อนนุ่ม และอย่าได้เอามือเลอๆะๆของคุณ
ไปแตะต้องมันเลยทีเดียวเชียว!
อุปกรณ์ต่างๆ นอกเหนือจากถุงลมนิรภัยคู่หน้า
ม่านลมนิรภัย เข็มขัดนิรภัยแบบ Pretension & Load limiter เฉพาะคู่หน้า แล้ว
ยังมีสวิชต์ปรับความเข้มแสงของแผงหน้าปัด
ชุดไฟหน้าแบบอัตโนมัติ ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ พร้อม Rain Sensor
กระจกหน้าต่างไฟ้า One-touch และ ดีดกลับอัตโนมัติ เมื่อมีสิ่งกีดขวาง
ทั้ง 4 บาน
แม้แต่ไฟส่องสว่างในห้องโดยสาร
ยังแยกไฟอ่านแผนที่ ซ้าย-ขวา และไฟส่องสว่างที่กระจกแต่งหน้า
ซ่อนใต้แผงบังแดด ออกจากกัน
ส่วนบรรยากาศในห้องโดยสารนั้น
ยังความกระขับพอดีตัว แต่อึดอัด ด้วยทัศนวิสัยจากพื้นที่กระจกรอบคันที่มีไม่มากนัก
มันเป็นเรื่องที่คุณอาจต้องทำใจและตัดทิ้งจากความคาดหวังไปก่อนได้เลย
เมื่อคิดจะซื้อรถออดี้อยู่แล้ว นั่นคือสิ่งที่คุณควรจะรู้มาตั้งแต่ต้น ดังนั้น
ตัดประเด็นนี้ออกไปเถอะ เพราะถึงยังไง วิศวกรชาวเยอรมันที่อิงโกลสตัดต์
เขาก็ไม่แก้งานออกแบบของเขา เพื่อเอาใจคุณเพียงคนเดียว แต่ต้องโดนแฟนๆออดี้ทั่วโลก
ก่นประณาม เป็นแน่แท้ทีเดียวเชียว
แม้ว่า ผมจะไม่รู้สึกผ่อนคลายเท่ากับเจ้า A3 Sportback
จาก MTM ที่เคยลองมาก่อนหน้านี้ 1 ปีเศษๆ
ทว่า ภาพรวม ผมยังแฮปปี้กับมัน
แต่สิ่งเดียว ที่ผมขอสารภาพว่าไม่อาจจะทนไหวจริงๆ "เฉพาะในช่วงแรกๆที่ขึ้นขับรถคันนี้"
คือ กลิ่นที่ลอยออกมาจากระบบปรับอากาศของรถ
คุณเคยเจอกลิ่นของ เคบินห้องโดยสาร
ในเครื่องบิน โบอิ้ง 737 อายุราวๆ 10 ปีมาแล้ว ไหมครับ
ขอเน้นย้ำว่า ต้องเป็นของ การบินไทย เท่านั้นด้วยนะ
มันเป็นกลิ่นที่ เรียกได้ว่า เฉพาะตัวมาก
และชวนให้คลื่นเหียนอาเจียนกับพวกจมูกซนๆอย่างผม
แทบทุกครั้ง ที่ผมต้องขึ้นบินไฟลท์ในประเทศ กับเอื้องหลวง
และมันเป็นกลิ่นเดียวกับที่ผมเจอในรถคันเนี้ยยยยยยย
นี่ถ้าไม่ติดว่า สมรรถนะอันน่าประทับใจของมัน
มาพร้อมกับค่าตัวที่แพงเอาเรื่องแล้วนะ
ผมจะจอดรถลงกลางทาง จริงๆด้วย!
ฮือๆๆๆๆๆๆๆ
***** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ *****
เครื่องยนต์ใน RS4 นั้น
เป็นบล็อก วี8 DOHC 32 วาล์ว 4,163 ซีซี พร้อมระบบจุดระเบิดเชื้อเพลิง FSI
"ปราศจากระบบอัดอากาศใดๆทั้งสิ้น"
ตัวเลขเดิมๆ จากโรงงาน Quattro GmbH. ใน Neckarsulm ในอยู่ที่
420 แรงม้า (PS) ที่ 7,800 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 43.81 กก.-ม.ที่ 5,500 รอบ/นาที
แต่ด้วยการ re-mapped ในกล่อง ECU ใหม่
รวมทั้งการเปลี่ยนชุดท่อร่วมไอเสียใหม่ ของ MTM
เส้นผ่าศูนย์กลาง 80 มิลลิเมตร
และการปรับแต่งอื่นๆอีกเล็กน้อย จนได้พละกำลังเพิ่มขึ้น
เป็น 435 แรงม้า (PS) ที่รอบเครื่องยนต์ และแรงบิดพอๆกับเดิม
รถคันนี้ ต้องใช้แบ็ตเตอร์รี 2 ลูก
ลูกแรก หนะ ไว้ที่ด้านหลังเครื่องยนต์
ส่วนอีกลูกหนะ อยู่ด้านหลัง ใต้พื้นห้องเก็บของ
นั่นหมายความว่า รถรุ่นนี้ไม่มียางอะไหล่
แต่จะมีชุดปะยางติดรถมาให้…
ขับกันระวังๆหลุมบ่อ หน่อยนะครับ ^_^
ตั้งข้อสังเกตว่า การติดตั้งเครื่องยนต์นั้น จะไม่ถึงกับยื่นล้ำมาข้างหน้า
มากเท่าออดี้รุ่นอื่นๆ
MTM ระบุว่า บริเวณห้องเครื่องยนต์ด้านหน้านั้น ต้องมีการปรับปรุงกันใหม่
จาก A4 ตัวถังปัจจุบัน พอสมควร เพื่อรองรับกับตัวเครื่องยนต์บล็อกนี้
อัแเป็นบล็อกเดียวกับที่ จะพบได้ ใน Audi R8…..!?
เชื่อมการทำงานกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ที่ได้รับการปรับจูนใหม่
ให้มีความฉับไวในการตอบสนองและกระจายแรงบิดอย่างเหมาะสมมากขึ้น
ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ
ดูอัตราทดกันสักหน่อยไหมละครับ
อัตราทดเกียร์
เกียร์ 1……………………..3.667
เกียร์ 2……………………..2.211
เกียร์ 3……………………..1.520
เกียร์ 4……………………..1.133
เกียร์ 5……………………..0.919
เกียร์ 6……………………..0.778
เกียร์ ถอยหลัง…………………3.333
อัตราทดเฟืองท้าย……………….4.111
ด้วยค่าตัวที่สูงถึง 7.9 ล้านบาท การจะปล่อยรถให้นำไปจอดเก็บไว้ที่บ้าน
ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะทำกันง่ายๆ (ยกเว้น Land Rover Thailand ในอดีต ที่ใจกล้า ปล่อย
เจ้า Range Rover Sport Supercharge คันละ 9.6 ล้านบาท กลับมาจอดไว้หน้าบ้านผม
4 วัน 3 คืน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเค้าคิดอะไรอยู่ตอนส่งกุญแจรถคันนั้นให้ผม และโอกาสนั้น
จากค่ายนั้น คงไม่มีอีกแล้วเพราะตอนนี้ เขาปิดบริษัทหนีผม แจกแพให้ลูกค้าไปแล้ว)
ดังนั้น การใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จึงเริ่มขึ้น
ผมและน้อง Bombe สมาชิกเว็บไซต์ Pantip.com ห้องรัชดา ซึ่งเป็นห้องที่พูดคุยกันเรื่องรถยนต์
น้องผู้ช่วยผมเวลาทดลองรถด้วยกันในหลายๆครั้งที่ผ่านมา ช่วยกัน ทดลองจับเวลาหาอัตราเร่ง
ด้วยวิธีการเดิม คือ นั่ง 2 คน เปิดแอร์ และทดลองจับเวลา กันในช่วงกลางวัน ความปลอดภัยของผู้ร่วมสัญจรบนท้องถนน
น้ำหนักตัวของบอมบ์ อยู่ที่ 80 กิโลกรัม กับน้ำหนักผู้ขับ น้ำหนักตัว 92 กิโลกรัม 2 คน รวมแล้ว 172 กิโลกรัม
และต่อไปนี้คือ ผลลัพธ์ที่ได้
****อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.****
ครั้งที่
1………….6.06 วินาที
2………….6.54 วินาที
3………….6.36 วินาที
4………….6.41 วินาที
เฉลี่ย……6.34 วินาที
ตัวเลขโรงงาน จากยุโรป ระบุว่า ทำได้ 4.8 วินาที
อาจมีความผิดเพี้ยนจาก การเปลี่ยนเกียร์ของผมเองในช่วงออกตัวครับ
—————————————–
****อัตราเร่ง 80 – 120 กม./ชม.****
หรือช่วงเร่งแซงทั่วไป
คราวนี้ทำ 2 เกียร์
คือ เกียร์ 3
กดคันเร่งจนจมสุดทันที จาก 80 กม./ชม. ที่เกียร์ 3
มีดังนี้
ครั้งที่
1………….4.60 วินาที
2………….4.46 วินาที
3………….4.62 วินาที
4………….4.78 วินาที
เฉลี่ย……4.61 วินาที
และ อัตราเร่ง 80 – 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงที่เกียร์ 4
ครั้งที่
1………….5.61 วินาที
2………….5.59 วินาที
3………….5.75 วินาที
4………….5.67 วินาที
เฉลี่ย……5.65 วินาที
—————————————–
***ความเร็วสูงสุด ที่วัดได้ในแต่ละเกียร์ อ่านจากมาตรวัดบนแผงหน้าปัด***
(หน่วย กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ รอบเครื่องยนต์/นาที)
เกียร์ 1…………70 @ 8,200
เกียร์ 2……….115 @ 8,200
เกียร์ 3……….170 @ 8,200
เกียร์ 4……….220 @ 8,200
เกียร์ 5……….270 @ 8,200
เกียร์ 6……….ไม่ได้ทำเอาไว้ให้ครับ
***ความเร็วสูงสุด***
ผมคงไม่ต้องทำความเร็วสูงสุดของเกียร์ 6 มาให้แล้วนะครับ
เพราะตัวเลขในสเป็กระบุไว้ว่า 282 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ อย่างที่ระบุไว้ว่า วันที่ทดลองขับจริงนั้น
ทำความเร็วสูงสุด เท่าที่สถานการณ์พอจะเอื้ออำนวย
ได้ที่ 270 กิโลเมตร/ชั่วโมง ณ รอบเครื่องยนต์ประมาณ 8,200 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5
และมีเสียงสัญญาณเตือนจากรถ ขึ้นบนชุดมาตรวัด เมื่อใช้ความเร็วเกิน 250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขึ้นมา ครั้งสองครั้ง แล้วก็เงียบหายไป เหมือนรู้ดีว่า ควรจะเตือนผู้ขับแค่เพียง ครั้งสองครั้งแค่นั้น
เพื่อไม่ให้เสียสมาธิในการควบคุมรถ
ถ้าผมตัดสินใจเข้าเกียร์ 6 รถจะยังไปต่อได้อีกแน่นอน เพียงแต่น่าจะไต่ขึ้นไปได้ช้าลงแล้ว
แต่ ในเมื่อ เราอยู่ในช่วงเวลากลางวัน ปริมาณรถบนท้องถนน แม้จะไม่มากนัก แต่พอมีอยู่บ้าง
มันไม่เหมือนช่วงเวลากลางคืน ที่ผมคุ้นเคยกว่า และมีปริมาณรถน้อยกว่ามากๆจนถึงแทบเกือบจะไม่มีเลย
ความปลอดภัยต่อผู้คนที่ร่วมสัญจรไปบนถนนเดียวกับเรา
คือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึกถึง
ดังนั้น เพียงเท่านี้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว
เท้าขวา ก็เลยย้ายไปเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วลงมาอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับรถคันข้างหน้า
ซึ่งยังเห็นว่าอยู่อีกไกลลิบ เป็นเม็ดเล็กๆ เป็นอันยุติลงด้วยดีดังใจหมาย
ระบบห้ามล้อ เป็น ดิสก์เบรก ทั้ง 4 ล้อ ยกมาจาก แลมโบร์กีนี กัลญาร์โด
โดยเฉพาะคู่หน้า มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 380 มิลลิเมตร x 34 มิลลิเมตร และใช้คาลิปเปอร์ 8 ลูกสูบ
การตอบสนองเรื่องเบรก จากช่วงความเร็วไหนก็ตามสำหรับผม ถือว่า หายห่วง!
เพราะจากที่ทั้งลองขับคลานๆในเมือง ไปจนถึงช่วงที่ต้องชะลอความเร็วลงมาจากระดับ 240-250 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แบบไม่กระทันหัน (ผมไม่ต้องการทดลองเบรกระทันหันในสภาวะที่การจราจรหนาแน่น
ปกติ ผมจะมองจนสุดปลายถนนไว้ก่อนแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น)
ระบบเบรก ทำหน้าที่ของมันได้ประเสริฐเลยทีเดียว แค่เหยียบลงไปประมาณ 1 ใน 3 ของระดับความลึกแป้นเบรก
อย่างที่เคยบอกไว้เมื่อนานมาแล้วว่า ถนนหนทางในบ้านเรานั้น ค่อนข้างอันตรายเกินไป
สำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วที่สูงกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง มันไม่ได้เรียบเนียนสวย
ราวกับแผ่นกระดาษ A4 ของ Double A เหมือนทางหลวง เอาโตบาห์น ในเยอรมัน
แต่มันเป็นผิวถนนที่ผสมผสานกันระหว่างความเรียบเนียนในความฝันของคนไทย
ที่ไม่มีวันเป็นจริง ผนวกกับมาตรฐานการราดผิวยางมะตอยแบบไทยๆ
รวมทั้งการทรุดตัวของชั้นดินในพื้นที่บริเวณใกล้ปากอ่าวไทย โซนบางนา
ที่ทรุดตัวต่อเนื่องอยู่เนืองๆ ทำให้ทางยกระดับบูรพาวิถี ไม่ได้มีแค่ทางตรงยาวๆอย่างเดียว
หากแต่มีเนินโค้ง ขึ้นลง ตามแต่การทรุดตัวของชั้นดินจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของมันไป
ถ้าจะย้อนกลับไปพูดถึงอัตราเร่งที่ตัวรถสะท้อนออกมา
ก็ตอบได้อย่างไม่ต้องยั้งคิดเลยว่า แรงจนหลังติดเบาะอย่างสนุกสนานสะใจ
แต่ไม่ได้กระชากร่างคุณอัดเข้ากับพนักพิงเบาะอย่างป่าเถื่อน
หรือไม่ได้ออกตัวอย่างเรือเกลือตามแบบรถยุโรปดารดาษอื่นๆ
หากแต่ แน่ละ เครื่องยนต์ V8 4.2 ลิร FSI พาคุณพุ่งโผนโจนทะยาน
อย่างสนุกสนาน และเหมาะกับคนที่มีวุฒิภาวะทางความคิดเท่านั้น
ไม่เหมาะกับวัยรุ่นที่รักความแรง หรือใครก็ตามที่นิยม พา รถกระบะ ไฮลักซ์ วีโก้
หรือนาวาร่า ของตน พุ่งทะยานแซงชาวบ้านาวช่องไปด้วยความเร็วเกินกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เป็นนิจแน่ๆ
เพียงแค่เหยียบคันเร่ง เครื่องยนต์ วี8 ก็จะค่อยๆ ไล่จังหวะจะโคนของมัน ให้สูงขึ้นอย่างกระชั้นและหนักแน่นกำลังดี
แต่ยังคงความหวานมัน สอดรับกับห้วงทำนองไพเราะเสนาะโสต ราวกับ กำลังฟัง เพลง Virtual Insanity ของ Jamiroquai
แถมยังให้แรงบิดเหลือเฟือ เพียงพอที่จะให้คุณ ขับในเมืองได้ โดยใช้เกียร์ 5 และ 6 แทนเกียร์ 3 หรือ 4 ด้วยซ้ำ
มันเป็นเครื่องยนต์ V8 ที่มีรอบการทำงานค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ในช่วงความเร็วพอๆกับรถยนต์คันอื่นๆ
เมื่อมาถึงโค้งบางวัว ซึ่งเป็นทางโค้งที่มีความยาวพอสมควร
ผมตัดสินใจเหยียบคันเร่งส่งเข้าโค้งไปด้วยความเร็ว 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพื่อจะดูอาการของรถ
จริงอยู่ว่าด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบ ควอตโตร ซึ่งพยายามถ่ายเทแรงบิด กระจายความสมดุลย์ให้กับรถ เพื่อสร้างการยึดเกาะบนพื้นผิวถนน
ให้ใกล้เคียงกับตีนตุ๊กแก มากเพียงใด แต่ก็ยังพอมีอาการหน้าแถออกไปนิดๆ พอให้ได้สัมผัสเข้ามาถึงพวงมาลัย
มันเป็นอาการที่เกิดขึ้นจากแรงส่งของรถ ที่ฉุดลากตัวรถให้พุ่งไปข้างหน้า
ถ้าถามว่า แล้ว BMW ซีรีส์ 3 เป็นแบบนี้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ ตัวรถมีอาการในแบบของรถขับเคลื่อนล้อหลัง
แต่ถ้าถามว่า ทำไม มีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว ก็ยังพอมีอาการที่ว่าให้ได้รู้สึกเข้ามานิดๆอยู่ดีละ?
เหตุผลที่พอจะอธิบายได้ ก็น่าจะเป็นเพราะเราต้องไม่ลืมว่า ถึงแม้จะมีระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแล้ว แต่ RS4
ก็ยังคงสร้างขึ้นบนพื้นฐานของ A4 ซีดาน ที่วางอยู่บนโครงสร้างพื้นตัวถังที่พัฒนาขึ้นสำหรับรถยนต์ขนาดคอมแพกต์
และใช้ระบบขับเคลื่อน "ล้อหน้า" เป็นหลัก ดังนั้น บุคลิกของรถขับล้อหน้า ก็อาจจะมีหลงเหลือให้เห็นกันบ้างนิดหน่อย
ยิ่งถ้าคุณใช้ความเร็วระดับนั้น เข้าโค้งในลักษณะแบบนั้น ต่อให้เป็นรถคันอื่นใดที่ใกล้เคียงกันนี้
ก็คงต้องปรากฎอาการกันบ้างละครับ แม้จะนิดหน่อยก็เถอะ
อีกทั้งระบบขับเคลื่อนสี่ล้อควอตโตรนั้น ล้อคู่หลัง ก็จะพยายามดันให้รถคุณพุ่งไปข้างหน้าด้วยไปพร้อมๆกัน
แต่ไม่ต้องกังวลนักหรอกครับ ถ้าคุณคิดจะสาดโค้ง
หมอนี่ จะช่วยให้คุณลืมเรื่องการเกาะถนนของ ออดี้รุ่นเก่าๆ ที่เคยลือกันว่า เลี้ยวไม่ค่อยเข้าไปได้เลย
เพราะมันมาพร้อมกับระบบควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Control) อันประกอบไปด้วย
ระบบป้องกันล้อล้อกตายเมื่อเบรกกระทันหัน ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบกระจายแรงบิด
และล็อกการส่งกำลังอัตโนมัติ EDL (Electronic Differential Locking Assist)
ซึ่งมันจะทำงานในกรณีที่ล้อฝั่งใดฝั่งหนึ่งอาจเจอถนนลื่น
ด้วยการสั่งให้เบรกล้อนั้น และกระจายแรงบิดไปยังล้ออื่นๆแทน
ทำงานที่ความเร็วระดับ 40 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
รวมทั้งระบบ DRC (Dynamic Ride Control)
ซึ่งจะช่วยปรับการทำงานของช็อกอัพด้วยระบบไฮโดรลิก
เพื่อลดการโยนตัวออกของรถ
ระบบกันสะเทือนที่ติดตั้งมาในรถนั้น โครงสร้างพื้นฐานของด้านหน้าเป็นแบบ 4 จุดยึด
และด้านหลังเป็นแบบ Trapzoidal-link มาพร้อมเหล็กกันโคลงทั้งหน้า-หลัง
แต่มีการเปลี่ยนมาใช้ชุด Spacer 20 มิลลิเมตร ของ MTM เสริมเข้าไป
เอาเข้าจริงแล้ว ความนุ่มกำลังดี ที่แฝงมาในความดิบในระดับนี้ คือสิ่งที่ผมโปรดปราน
ถ้าเทียบระดับขั้นความแข็งกระด้างของระบบกันสะเทือน โดยเปรียบเทียบให้ รถที่นุ่มนิ่ม ย้วยแหลกลาญ
อย่างรถโตโยต้าอายุ 15 ปี ที่ยังไมไ่ด้ซ่อมช่วงล่างเลยซะที
เป็นระดับ 1 หรือ วอลโว S80 ใหม่ล่าสุด นิ่มย้วยแต่เฟิร์มเป็นระดับ 3
แล้วความแข็งสะเทือนของ เกวียน หรือรถแข่งในสนามต่างๆ
เป็นลำดับ 10 โดยมี มินิ คูเปอร์ เอส จัดอยู่ในระดับ 8.5
และมาสด้า MX-5 จัดอยู่ในระดับ 8.3
RS4 คันที่ผมลองขับนี้ ผมว่าน่าจะจัดอยู่ในระดับ 8.1
มันทั้งเฟิร์ม และดิบกำลังดี แถมยังซับแรงสะเทือนจากบรรดาหลุมบ่อ และลูกระนาดได้นุ่มนวลดีกว่าที่คาดคิดอีกด้วย
แต่กระนั้น ผมว่าหลายคนที่ชอบความแข็งกระด้างสุดโต่งอาจไม่โปรดปานมันเท่าผมแน่ๆ
อย่างน้อยๆ หากคุณเปลี่ยนเลน "แบบธรรมดา ไม่ต้องถึงกับเปลี่ยนเลนกระทันหันแต่อย่างใด"
คุณจะพอจับอาการได้บ้างว่า ส่วนหัวรถ บริเวณห้องเครื่องยนต์ จะเลี้ยวนำไปก่อน ขณะที่เคบินห้องโดยสาร
จะตามมาติดๆ กันในช่วงเสี้ยววินาที ไม่ทิ้งช่วงไว้จนอาการเด่นชัด ขนาดฮุนได โซนาตา ที่เคยเขียนถึงไว้
(รายนั้น เปลี่ยนเลน หรือเลี้ยวรถเมื่อใด หัวรถจะเลี้ยวนำไปก่อน เคบินไปตาม ห้องเก็บของ ตามมาสมทบปิดท้าย)
แต่ในขณะที่หัวรถ ย้ายมาอยู่ในเลนใหม่ คุณบังคับพวงมาลัยจนนิ่ง
แต่ว่าท้ายจะยังพอหลังเหลืออาการดิ้นออกนิดๆๆๆๆ
ตามประสารถที่วางบนแพล็ตฟอร์ม รถขับล้อหน้า
มันเป็นอาการเดียวกันกับที่คุณจะเจอได้ใน ฮอนด้า ซีวิค FD ตัวใหม่
แต่แน่นอนว่า มันโผล่มาให้คุณจับสัมผัสได้น้อยกว่า ซีวิค เยอะอักโข
***** การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง *****
คุณจะซื้อรถระดับนี้ แล้วยังจะถามถึงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงกับผมหรือครับ?
เอาละ ผมสารภาพแล้วกันว่า ผมไม่มีโอกาสทดลองมาให้ ก็เนื่องจากว่า เราจะต้องมุ่งหน้าไปทางตะวันออก
และมีเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงที่จะอยู่ด้วยกัน แม้จะอยากทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลงเล่นๆก็ตาม แต่ก็คงยาก
เอาเป็นว่า หากคุณขับนิ่งๆ ที่ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ไปสักระยะ คุณจะพบว่า
ตัวเลขอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบ Real time ที่ขึ้นมาให้ดูบนหน้าปัดรถ จะบอกคุณว่า
ตัวเลขต่ำสุดที่ทำได้ และผมได้เห็นคือ 6.5 ลิตร / 100 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าประหยัดอย่างน่าตกใจทีเดียว
สำหรับเทคโนโลยี ฉีดจ่ายเชื้อเพลิงตรงเข้าห้องเผาไหม้ FSI ของ ออดี้
แต่…เฮ้…อย่าเพิ่งเอามันไปติดแก้สเชียวนะ จะ LPG หรือ CNG ก็เถอะ
ไม่ใช่อะไรหรอกครับ แค่ผมนึกเสียดายรถ!
***** สรุป *****
***** เหลือแค่ราคา 7.9 ล้านบาท ในใจคุณเท่านั้น ว่ามันคุ้มหรือไม่? *****
1 วันเต็มๆ กับประสบการณ์ที่ MTM Thailand มอบให้เรา นั้นเพียงพอสำหรับการเรียนรู้จัก
พรีเมียมสปอร์ตคอมแพกต์ ซีดาน ชั้นดี รุ่นหนึ่ง ที่ได้รับการยกย่องมาแล้วในระดับสากล ว่าเป็น
รถคันหนึ่งที่ขับสนุกที่สุดในสายพันธ์ของออดี้ เร่งสนุกสนาน กระชากร่างติดเบาะ
แต่ไม่ถึงกับกระชากวิญญาณออกจากร่างจนน่าหวาดกลัว
คุณอยู่บนทางยกระดับโล่งๆ มุ่งหน้าไปทางชลบุรี
ด้วยความเร็วตั้งแต่ 150 – 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่คุณกลับรู้สึกไม่ต่างจากการขับรถญี่ปุ่น ด้วยความเร็ว 80-140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
RS4 ถือเป็นรถที่ พร้อมจะรองรับทุกอารมณ์ของคุณได้อย่างที่ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อว่า
รถแรงๆ สักคันจะให้คุณได้ แน่นอนว่า มันพาคุณคลานต้วมเตี้ยมไปอย่างสบายอารมณ์
ท่ามกลางการจราจรติดขัดของถนนสุขุมวิทยามเย็น (ถ้าคุณยังรักเกียร์ธรรมดาเป็นจิตสรณะ)
โดยไม่ทำให้ใครรอบข้างสะพรึงกลัว และมันพร้อมจะพาคุณสนุกสนานอย่าร่าเริง
แต่ไม่ถึงกับโลดโผนโจนทะยานจนลืมตัว
คุณในฐานะผู้กุมบังเหียนมันนั่นแหละ จะลืมตัวหรือเปล่า นั่นก็อีกเรื่อง!
นอกจากนั้น RS4 คันนี้ ยังเป็นรถสปอร์ตซีดาน ที่ดึงเอาบุคลิกของรถสปอร์ตสายพันธุ์อิตาเลียนแท้ๆ อย่าง แลมโบร์กีนี มาประดับไว้กับตัวรถ
ด้วยการยกเอาชุดชิ้นส่วนหลายๆชิ้นมาใส่กันทั้งดุ้นเลย กระนั้น ก็ต้องมีการดัดแปลงจากโรงงานให้เหมาะสมกับโครงสร้างของ A4 เดิม
ปัญหาเดียวของมันก็คือ ค่าตัว ระดับ 7.9 ล้านบาท ที่ถือว่าสูงไม่ใช่เล่น
เมื่อเทียบกับราคาของ รถหรูๆทั่วๆไป ขนาดตัวถังใหญ่โตเท่าบ้าน อย่าง Mercedes-Benz S-Class
หรือ BMW 7-Series ประกอบในประเทศทั้งคู่
แต่คุณจ่ายเงินไปเพื่อแลกมากับสมรรถนะที่แตกต่างไปจากทั้งสองคันนั้น เป็นคนละเรื่องเลย
2 คันนั้น คือ ชายชราสูงวัย สุขุม และภูมิฐาน บางทีก็ ตรงๆนะ ออกจะน่าเบื่อไปสักนิด
แต่สำหรับ RS4 7.9 ล้านบาทนั้น แลกได้ชายหนุ่มอายุ 35 อัพ นิสัยประมาณเพื่อนร่วมก๊วน
ตั้งแต่ ม.ปลาย ที่ใจยังรักสนุกอยู่ แต่ มีความรับผิดชอบสูงตามวัย
และยังไว้ใจได้ในหลายๆเรื่อง
ถามใจตัวเองก็แล้วกันนะครับ ท่านมหาเศรษฐีที่คิดจะจ่ายตังค์ 8 ล้านบาท มีทอน
ว่าคุณยังอยากเด็ก หรืออยากแก่!
๋
๋J!MMY
5 ก.พ. 2551
22.10 น.
– 6 ก.พ. 2551
1.00 น.
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…