19 พฤศจิกายน 2552 – เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้มีโอกาสได้ไปทดลองขับรถกับพี่ๆสื่อมวลชนด้วยกัน แต่ครั้งนี้แปลกออกไปหน่อย จากเดิมที่นัดกันที่ไหนสักที่ จากนั้นก็รับรถ แล้วก็ขับออกไปตามเส้นทางที่ทีมงานกำหนด ครั้งนี้กลับนัดกันที่สนามบิน นั่งเครื่องบินไปลองขับกันถึงเชียงใหม่เลยทีเดียว โดยนัดกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ เวลา 12.00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ชอบเป็นการส่วนตัว เพราะเป็นคนตื่นสายเป็นประจำอยู่แล้ว ฮ่าฮ่า เมื่อรับตั๋วเรียบร้อย ก็ต้องผ่านด่านตรวจกันก่อนที่จะเข้าไปด้านในได้ จุดนี้แหละครับที่น่าขำเอามากๆสำหรับผม ไม่คิดว่าจะต้องทำกันถึงขนาดนี้นั้นก็คือ ต้องถอดเครื่องประดับทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นนาฬิกา สร้อยข้อมือ รวมถึงเข็มขัดอันเป็นที่หวงแหนของผมออกด้วย เหตุที่หวงก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ กลัวกางเกงเจ้ากรรมมันจะหลุดต่อหน้าสาวๆแถวนั้นนะซิครับ หากหลุดขึ้นมาจริงๆ ขายหน้าเค้าแย่เลยครับ ทำไมต้องทำกันถึงขนาดนี้ด้วยนะ ไม่เข้าใจเลย แต่ก็เอาเถอะครับ มันเป็นวิธีที่จะรักษาความปลอดภัยของเค้า ไอ้เราก็ต้องปฏิบัติตาม ทั้งๆที่ไม่เห็นด้วยเลยก็ตาม
หลังจากผ่านด่านมาได้ก็ต้องเดินเท้ากันต่อ โดยระยะทางนั้นก็เป็นกิโลเห็นจะได้ เล่นเอาหลายคนออกอาการเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดกว่าจะถึง ประตู A1D ซึ่งอยู่ทางปีกซ้ายของอาคารผู้โดยสาร เมื่อมาถึงก็ต้องรอกันที่หน้าประตูเกือบชั่วโมง กว่าจะได้ขึ้นเครื่อง เพราะเค้าให้ขึ้นเครื่องได้ตอน 13.30 น.
เที่ยวบินที่เราต้องเดินทางกันในวันนี้ คือเที่ยวบินที่ TG112 ของการบินไทย โดยใช้เครื่องบิน Airbus A300 ได้ที่นั่งแถว 47J ซึ่งนั่งอยู่ติดกับทางเดิน ทางฝั่งขวาของเครื่อง โดยมองออกไปทางหน้าต่างก็จะเห็นปีกเล็กน้อย ผมเห็นว่าสวยดีจึงได้แอบถ่ายมาให้ได้ชมกัน
เดินทางมาถึงเชียงใหม่เวลาประมาณ 15.00 น. ก็ต้องนั่งรถบัสเดินทางเข้าที่พักกันต่อ โดยคืนนี้ผมจะได้นอนที่โรงแรมสุดหรูกลางเมืองเชียงใหม่ นั้นคือโรงแรมแชงกรีล่า หลายท่านเมื่ออ่านมาถึงตรงนี้คงเกิดข้อสงสัยว่า ไหนหล่ะทดลองขับรถ ไม่เห็นมีเลย นี่เหมือนมาเที่ยวกันมากว่า ยังครับยัง วันนี้ผมได้เห็นแต่ตัวรถทั้งภายนอกและภายในเท่านั้นครับ ยังไม่ถึงคิวที่จะได้ขับแต่อย่างใด เนื่องจากวันที่กรุ๊ปผมเดินทางไปถึงในช่วงเย็นนั้น เป็นช่วงเวลาที่กรุ๊ปก่อนหน้านี้ ที่เดินทางมาวันเดียวกับผม แต่เป็นช่วงเช้านั้น กำลังทำการทดลองขับกันอยู่ วันนี้เลยยังไม่ได้ขับครับ
20 พฤศจิกายน 2552 – ขอรวบรัดตัดตอนมาวันนี้เลยแล้วกันนะครับ เดี๋ยวจะเบื่อกันเสียก่อน กับการทดลองขับ NEW MAZDA 2 การทดลองขับในครั้งนี้เป็นการทดลองขับในแบบคาราวาน ในเส้นทางทั้งในเมือง และนอกเมือง เพื่อจะแสดงให้เห็นว่า MAZDA 2 นั้นตอบสนองได้ทุกเส้นทาง
หลังจากฟังสรุปเส้นทางกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันเป็นขบวนคาราวาน ที่ผมคิดว่ายาวมากๆ โดนรถที่เตรียมไว้ให้นักข่าวขับกันนั้น มีทั้งสิ้น 25 คัน นี่ยังไม่รวมรถของทีมงานอีก แถมยังมีรถตำรวจ คอยนำเส้นทาง แล้วยังมีรถพยาบาลปิดท้ายขบวนอีก รวมทั้งสิ้นก็น่าจะ 30 กว่าคันเห็นจะได้ สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับคนเชียงใหม่ไม่น้อย แล้วก็ยังสร้างปัญหาให้กับการจราจรพอสมควร
การทดลองขับในครั้งนี้ ทางผู้จัดได้แบ่งออกนักข่าวออกเป็น คันละ 2 คน โดยให้คนขับที่ 1 ขับไปตลอดเส้นทางในขาไป และเปลี่ยนเป็นคนขับที่ 2 ในตอนขากลับ โดนเส้นทางนี้แบ่งออกเป็นสองจุดด้วยกัน คือจากโรงแรมที่พัก มุ่งหน้าร้านไอเบอรี่ ของพี่โน้ตอุดม โดยเส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านการจราจรที่หนาแน่นและถนนที่ค่อนข้างแคบในบ้างช่วง แต่มาสด้า 2 ซึ่งมีพวงมาลัยแบบไฟฟ้า สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากต้องการเบรก ก็มั่นใจด้วยระบบเบรก ABS ที่มาพร้อมกับระบบ EBD ที่กระจายแรงเบรกแบบอิเล็กเทรอนิกส์อีก เรียกได้ว่าใช้ในเมืองได้อย่างไม่มีปัญหาเลยครับ
หลังจากกินไอศกรีมที่ร้านไอเบอรี่ ของพี่โน้ตอุดม เรียบร้อยแล้วก็เดินทางกันต่อ โดนเส้นทางที่จะไปนั้นเป็นเส้นทางที่จะออกนอกเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่ จุดหมายนั้นคือวนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี ที่อยู่ในอำเภอแม่แตง โดนเส้นทางดังกล่าวเป็นเส้นทางที่ออกนอกเมืองจึงใช้ความเร็วได้พอสมควร เครื่องยนต์ 1500 CC. มีแรงม้าอยู่ในครอบครอง 103 แรงม้า ที่ 6,000 ต่อนาที ทำอัตราเร่งได้ดีพอสมควร ตอนออกตัวอาจจะไม่หวือหวานัก แต่พออยู่ในเกียร์ 2 แล้วนั้นให้ความรู้สึกหลังติดเบาะได้พอสมควร
เส้นทางในทดลองขับในครั้งนี้เป็นเส้นทางที่มีโค้งไม่มากมายอะไรนัก แต่แต่ละโค้งนั้นทำความเร็วได้พอสมควร จึงทำให้รู้สึกสนุกไปกับการขับขี่ ช่วงล่างของมาสด้า 2 นั้น จะให้ความรู้สึกที่หนึบ แน่น หาความนิ่มไม่ได้ แต่ก็ไม่กระด้างเท่าไหร่นัก สำหรับผมแล้วผมชอบแบบนี้มากกว่า หากจะหาความนิ่ม คงจะต้องไปหาจากรถคันอื่น
การขับรถเป็นคาราวานนั้น สำหรับผมนั้น ไม่ค่อยได้อะไรมามากนั้น จะช้าหน่อยเพื่อที่จะกดคันเร่งให้เต็มที่ก็ไม่ได้ เพราะมีคันหลังที่ตามเรามาอีก หากกดคันเร่งไป เดี๋ยวก็ต้องถอนและก็เบรกแล้ว เนื่องจากติดคันหน้า จะแซงก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะเสียรูปขบวนเค้าอีก ได้แต่เก็บความรู้สึกเพียงเล็กน้อยนี้มาเล่าสู่กันฟังเพียงเท่านั้นครับ หากจะให้ดี ขอลองอีกสักทีเป็นการส่วนตัวถ้าจะดีครับ คิดว่ามาสด้า 2 นี้น่าจะขับสนุกแน่ๆ หากได้มาขับกันในกรุงเทพฯ
หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแบบชาวเหนือกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วที่วนอุทยานน้ำตกบัวตองและน้ำพุเจ็ดสี ก็ถึงเวลาที่จะต้องขับรถกลับไปที่โรงแรมแชงกรีล่า จริงๆผมจะต้องได้เป็นคนนั่งโดยมีพี่นักข่าวอีกท่านเป็นคนขับ แต่พี่นักข่าวท่านนั้น ทำกระเป๋าตังค์หล่นหาย ถามว่าไปทำหายที่ไหนก็บอก บอกแต่ว่าหากรู้ก็คงไม่หายดิ ฮ่าฮ่าฮ่า เอ่อก็จริงอย่างที่พี่เค้าว่า เอาเถอะครับพี่ จะเอาไงก็เอา พี่ท่านก็เลยต้องไปธุระที่อำเภอเสียหน่อย เพราะเดี๋ยวจะขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯไม่ได้ เนื่องจากไม่มีบัตรประชาชน เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ผมต้องขับรถกลับอีกรอบ และขับกลับไปคนเดียว ก็ดีครับ ได้อยู่กับรถที่แสนจะดูดีในสายตาผมอีกสักหน่อย
แต่ขากลับกลับไม่สนุกเอาเสียเลย เนื่องจากคันข้างหน้าผมไปอีกสองคัน ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น ขับช้าผิดปกติ ใช้วิทยุสื่อสารที่มีกันทุกคันเรียกก็แล้ว ก็ยังขับช้าอีก ช้าจนหัวขบวนต้องลดความเร็วลงเพื่อที่จะรอคันที่ว่านี้ ทำให้เสียอารมณ์ไปพอสมควร
เล่าบรรยากาศในการทดลองขับมาจะจะถึงช่วงท้ายแล้วยังไม่ได้พูดถึงภายในกันบ้างเลย ขอทิ้งท้ายด้วยภายในของเจ้ามาสด้า 2 นี้หน่อยก็แล้วกัน
ภายในนั้นจริงๆอุปกรณ์ที่ให้มานั้น จัดอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมอยู่แล้วนะครับ แต่วัสดุที่ใช้นั้น อาจจะเรียกได้ว่า ไม่ได้หรูหราเอาเสียเลย อาจจะเป็นเพราะมาสด้าเอง ที่จะแสดงให้เห็นว่ามันคือรถสปอร์ตก็เป็นได้ อันนี้ก็แล้วแต่คนชอบนะครับ ส่วนเบาะนั่งด้านคนขับและคนนั่งด้านหน้านั้น นั่งสบายให้ความรู้สึกสปอร์ตเล็กๆ คนตัวใหญ่กว่าผมนั่งก็ยังบอกว่าสบาย หากคุณสูงไม่ถึง 185 ซม. และหนักไม่เกิน 83 กก.ผมว่าเรื่องนี้หายห่วงครับ
จะห่วงก็แต่ที่นั่งด้านหลังนั้นแหละครับ หากคนนั่งด้านหน้า ขนาดตัวเท่าผม คนที่นั่งด้านหลังอึดอัดแน่ครับ ผมว่ารถขนาดนี้เหมาะกับการนั่ง 2 คนทางด้านหน้าจะดีกว่าครับ หากจะนั่งด้านหลังก็ต้องเป็นคนตัวเล็กหน่อยถึงจะดีครับ เอ..หรือขนาดตัวของผมมันผิดปกติเองหว่า…. เพราะฉะนั้น ก่อนที่ท่านผู้อ่านจะซื้อรถอะไรก็ตามนะครับ เรียกคนที่จะต้องนั่งรถคันนี้เป็นประจำไปด้วยก็จะดีครับ ลองนั่งมันทุกที่นั้นแหละครับดีเลย แต่หากว่าขับรถคนเดียวอยู่เป็นประจำอยู่แล้วนั้น ก็ซื้อไปเถอะครับ เอาที่เราชอบที่สุด นั่งสบายที่สุดเป็นพอครับ
เดินทางกลับมาถึงโรงแรมที่พักก็เกือบจะ 15.00 น.แล้วครับ เดี๋ยวก็ต้องเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯกันแล้ว ขากลับก็ยังคงกลับด้วยสายการบินไทยเหมือนเดิมด้วยเที่ยวบินที่ TG115 แต่คราวนี้ไม่ได้กลับด้วยเครื่อง Airbus A300 เหมือนตอนมาครับ แต่จะกลับกรุงเทพฯด้วยเครื่อง BOEING 777 ซึ่งเป็นเครื่องลำใหญ่กว่าแทนครับ ถึงกรุงเทพฯก็18.50 น.แล้วครับ เหนื่อยเอาการเหมือนกันครับสำหรับวันนี้ ไว้โอกาสหน้าเดินทางไปทดลองขับรถรุ่นไหน ยี่ห้ออะไรอีก จะนำมาเล่าให้ฟังใหม่นะครับ
**************************************************************************
สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…