"IS 250 จะโค่น ซีรีส์ 3 ใหม่ E90 ได้หรือเปล่านะ?"
น้อง นิก ผู้ที่ใช้นามแฝงในห้อง pantip.com กลุ่มรัชดา อันเป็นกลุ่มที่พูดคุยกันในเรื่องรถยนต์ว่า "Lecter the Ripper "
มีคำถามข้างบนนี้อยู่ในใจ มานานแล้ว นับตั้งแต่ที่รถรุ่นนี้เปิดตัวในบ้านเรา เมื่อ 1 ปีก่อน
แต่ ผมมีเวลาเพียง 3 วัน 2 คืน ที่จะต้องค้นหาคำตอบ ของคำถามนี้ จากการทำความรู้จัก
กับน้องนุชสุดท้องในตระกูลเล็กซัส แบรนด์ระดับหรู สำหรับรถยนต์จากค่ายยักษ์ใหญ่อันดับ 2 ของโลก
ที่มุ่งมั่นแซงหน้า จีเอ็ม ขึ้นแท่นเบอร์ 1 แทนในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า อย่างโตโยต้า
ผมรู้สึกว่า กับรถที่เต็มไปด้วยความคาดหวังในเรื่องคุณภาพที่สูงส่งขนาดนี้ เวลาที่มี น้อยไปสักหน่อย
แต่โชคดีของผมมากๆ ที่รถคันนี้ ยังพอจะเหลือสภาพและความรู้สึกของรถใหม่ป้ายแดง
ให้ผมได้ทดลองขับกันอยู่บ้าง แม้ว่าจะแล่นมาแล้วถึง 25,000 กิโลเมตร ผ่านกี่มือกี่เท้าบ้างก็ไม่ทราบ
จนมีเสียงเบรกอี๊ดๆ จะดังขึ้นที่ล้อหลัง และปัญหาเบรกหน้านิดหน่อยบ้างก็ตาม
แต่มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่ผมเคยเจอใน GS300
ผมไม่รู้ว่า คำตอบที่ผมเจอ จะตอบโจทย์ดังกล่าวได้มากน้อยแค่ไหน
ทุกวันนี้สิ่งที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น พยายามทำอยู่ เพื่อให้อยู่รอดได้ท่ามกลางการแข่งขันจากคู่แข่งหน้าใหม่
ที่มาแรงทั้งเกาหลี จีน และอินเดีย
คือการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆมากมาย เพื่อยกระดับให้รถยนต์ของตน
มีสมรรถนะที่เทียบชั้นใกล้เคียงกันได้กับรถยุโรปยุคใหม่ๆ ที่พยายามจะเร่งฝีเท้าหนี บนเวทีการพัฒนารถยนต์ระดับสากล
แต่ยิ่งชาวยุโรปจะเร่งเครื่องหนีเท่าไหร่ ชาวอาทิตย์อุทัย ยิ่งพยายามไล่กวดตามมาติดๆ อย่างกระชั้นชิดมากขึ้น
และตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนอีกหนึ่งรายการ เห็นจะเป็นความพยายามของโตโยต้า ที่ตั้งใจจะสร้างให้ เล็กซัส IS ใหม่
ก้าวขึ้นไปทาบรัศมีกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 มากขึ้น นี่เอง
เล็กซัส IS เป็นรถยนต์ในกลุ่ม พรีเมียม คอมแพกต์สปอร์ตซีดานขับเคลื่อนล้อหลังขนาดเล็กที่สุดในตระกูลโตโยต้าขณะนี้
เป็นรุ่นเปลี่ยนโฉมมาจาก โตโยต้า อัลเทสซา (Altezza) หรือ เล็กซัส IS ตัวถังแรก ในอดีต อัลเทสซา รหัสรุ่น GXE-10 และ SXE-10
เป็นคอมแพคท์สปอร์ตซีดานขับเคลื่อนล้อหลัง ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนตุลาคม 1998 โดยส่งออกสู่ตลาดอเมริกาเหนือและยุโรปในชื่อ
เล็กซัส IS 200 จัดเป็นคู่แข่งที่เทียบชั้นโดยตรงของบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ออดี้ เอ 4 และเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส และทันทีที่เปิดตัวก็คว้ารางวัล
รถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปีของญี่ปุ่นปี 1998-1999 ไปครองได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
แต่แม้จะได้รับความนิยมอย่างสูงในช่วงเปิดตัว จนทำให้ยอดขายทะลุเป้าไปอยู่ระดับ 5,000 คัน/เดือนในช่วง 4 เดือนแรกที่เปิดตัว ถึงกระนั้น
หลังจากเดือนมีนาคม 1999 เป็นต้นมา ยอดขายก็เริ่มลดลงอย่างช้าๆ มาอยู่ที่ระดับ 3,000 คันในเดือนถัดมา และเมื่อปีที่แล้ว ตัวเลขก็ลงต่ำมาถึง
ระดับ ต่ำกว่า 1,000 คัน/เดือน แม้การเปิดปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ไปแล้ว ช่วงเดือนสิงหาคม 2000 ก็ยังต้องเพิ่มรูปแบบตัวถัง ด้วยตัวถัง สปอร์ตแวกอน 5 ประตู
ใช้ชื่อในญี่ปุ่นว่า อัลเทสซา จิตะ (Altezza Gita) และทำตลาดต่างประเทศในชื่อ เล็กซัส ไอเอส สปอร์ตครอส (SPORTCROSS) ในเดือนมกราคม 2001
ที่ดีทรอยต์ออโตโชว์ และเริ่มทำตลาดในญี่ปุ่นเมื่อเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน หวังให้ช่วยประกบคู่กัดจากยุโรปทั้ง อัลฟา 156 สปอร์ตแวกอน,
เมอร์เซเดส-เบนซ์ ซี-คลาส เอสเตท,บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 ทัวริง และออดี เอ 4 อาวันท์
แต่สถานการณ์กลับยังไม่กระเตื้อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการออกแบบ ที่ดูยังไง ก็ยังไม่อาจหลุดออกจากรูปแบบการร่างเส้นสายของรถยนต์โตโยต้าทั่วๆไป
รวมทั้งสมรรถนะ ที่อาจทำได้ยังไม่ดีถึงกับที่นักขับฝีเท้าจัดคาดหวังกันนัก แม้จะเพิ่มขุมพลัง ตระกูล JZ เข้าไป ออกขายในชื่อ เล็กซัส IS300 ก็ยังแค่พอจะช่วย
ให้สถานการณ์ในตลาดอเมริกาเหนือกระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง
พอในปี 2005 โตโยต้า จึงส่ง เล็กซัส IS ใหม่ ขึ้นโชว์รูมในญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ช่วงเดือนสิงหาคม อันเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่โตโยต้า เปิดตัวแบรนด์เล็กซัส
ในตลาดญี่ปุ่นพอดี ดังนั้น โตโยต้า จึงตัดสินใจ ปลดชื่อ อัลเทสซา ออกจากสารระบบ เพื่อเปิดทางให้ IS ใหม่ ทำตลาดได้เต็มตัว
เมื่อเทียบขนาดตัวถังกับ รุ่นก่อนแล้ว IS ใหม่ มีขนาดใหญ่ขึ้นจากเดิมในทุกด้าน ทั้งความยาวที่เพิ่มขึ้นจาก 4,400 เป็น 4,575 มิลลิเมตร
กว้างเพิ่มขึ้นจาก 1,725 เป็น 1,800 มิลลิเมตร เพิ่มความสูงจาก 1,410 เป็น 1,425 มิลลิเมตร ละเพิ่มระยะฐานล้อให้ยาวขึ้นจาก 2,670
เป็น 2,730 มิลลิเมตร
รูปลักษณ์ภายนอกของรุ่นใหม่ รังสรรค์ขึ้นขึ้นภายใต้ธีมการออกแบบ L-FINESSE ซึ่งเป็นธีมออกแบบที่โตโยต้ากำหนดขึ้นเป็นพิเศษ
สำหรับรถยนต์ที่ติดตราเล็กซัสทุกรุ่นนับตั้งแต่ปี 2005 ถึงจะดูผ่านๆ คล้ายบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 แต่ทุกจุดทุกมุมของ IS ใหม่
เฉียบคมและมีเอกลักษณ์ในตัวเองอยู่ไม่น้อย
จุดเด่นบนเส้นสายตัวถัง อยู่ที่ด้านหน้าของรถ ซึ่งเฉียบคม แต่หากดูภาพรวมแล้วอาจจะขัดกับแนวเส้นสายของทั้งคันไปบ้าง
ไฟหน้าแบบ HID ปรับมุมองศาตามการเลี้ยวของพวงมาลัย อัตโนมัติ AFS (ADAPTIVE FRONT LIGHTING SYSTEM)
แต่ลำแสงไฟหน้านั้น ส่องได้ไม่ไกลเท่าที่ควร แต่พอเปิดไฟสูง กลับพุ่งไปไกล จนขึ้นไปถึงป้ายบอกทางในระยะไกลๆ แต่ถ้ายังไม่สะใจ ยังมีไฟตัดหมอกแถมมาให้อีกต่างหาก
…ขณะเดียวกัน แนวเส้นขอบกระจกประตูคู่หลัง เล่นแนวเส้นให้เฉียบคม จนแปลกตา…
แต่พอดูเลยมาจนถึงไฟท้าย
ใครบอกว่าโตโยต้า ไม่มีเอกลักษณ์ในการออกแบบเลย?
ผมเถียงคนนึงละ!
เพราะถ้าสังเกตให้ดี บนตัวถังของ IS250
คุณจะพบเอกลักษณ์หนึ่งของโตโยต้า ฝังอยู่เต็มลูกตา
ถ้ายังดูไม่ออก ดูที่การจัดเรียงตำแหน่งของชุดไฟท้ายสิครับ
นี่มันรูปแบบการจัดเรียงตำแหน่งไฟท้ายของ
โคโรลล่า DX KE70 รวมทั้ง โคโรน่า และ เซลิการุ่นเก่าๆ ชัดๆ!
ห้องโดยสารในรุ่นเดิมออกแบบในแนวสปอร์ต แต่รุ่นใหม่ เปลี่ยนแนวทางมาเน้นความเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความหรูหรา
มากกว่าแนวทางสปอร์ต
เบาะนั่งคู่หน้านั้น แม้จะเป็นคนละชุดกันกับ GS300 แต่แทบจะเรียกได้ว่ายกความสบายมาจาก GS300 กันเลยทีเดียว
ดังนั้น จึงคาดหวังถึงความนุ่มนวล นั่งสบาย และไม่ปวดหลัง จากเบาะชุดนี้ได้เลยอย่างไม่ต้องลังเล
อีกทั้งเบาะคู่หน้ายังปรับด้วยไฟฟ้า เฉพาะด้านคนขับ มีปุ่มตั้งความจำตำแหน่งเบาะได้ถึง 3 ตำแหน่ง
นานทีปีหน โตโยต้าจะทำเบาะนั่งรถออกมา ให้นั่งสบายไม่ปวดหลังซะที
แต่คุณต้องจ่ายเงินอย่างต่ำๆ ก็สูงถึง 2.99 ล้านบาท เพื่อแลกกับโตโยต้า 1 คันที่จะทำให้คุณนั่งแล้วไม่ปวดหลัง?
เพียงเพราะว่าแปะตราเล็กซัส?
เปล่า ผมว่าโตโยต้า พยายามเติมคุณค่าลงมาในรถยนต์ที่ต้องพะยี่ห้อเล็กซัสเอาไว้ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ให้สมราคาที่สุดเท่าที่ทำได้ ต่างหาก
ตำแหน่งนั่งขับ ทีมวิศวกรของโตโยต้า ทำการบ้านในเรื่องหลักสรีระศาสตร์มาค่อนข้างดี
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ตำแหน่งเกียร์ ถูกวางไว้ในระดับที่เหมาะสม คือตั้งไว้ ในระดับสูงกำลังดี
ไม่สูงจนเกินไป หรือเตี้ยจนเกินไปแบบนิสสัน ทีด้า, แลนด์โรเวอร์ ฟรีแลนเดอร์ ฯลฯ
ตำแหน่งของคันเกียร์ ที่ผมคิดว่าเหมาะสมสำหรับสรีระในการขับขี่ของทุกๆคน
ที่ชื่นชอบการขับรถนั้น เท่าที่ผมเจอมา มีเพียงรถไม่กี่คันเท่านั้น ที่จะอยู่ในข่ายนี้
เช่น บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 มาสด้า 3 โตโยต้า แคมรี ใหม่ เล็กซัส GS300
และแน่นอนว่า มี IS250 ใหม่ อยู่ในรายฃื่อนี้ด้วย
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าที่นั่งคู่หน้า จะให้ความสบายกับคนขับและตุ๊กตาหน้ารถ
ทว่า เบาะนั่งด้านหลังนั้น กลับเป็นเรื่องตรงกันข้าม
ถึงแม้การเข้าออกทำได้ในระดับใกล้เคียงกันกับ มาสด้า 3
แต่พื้นที่โดยสารด้านหลัง ก็คับแคบได้ใจ ไม่ต่างอะไรกับ บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 3 เอาเสียเลย
แน่ละครับ พื้นที่ห้องโดยสารที่ไม่อาจขยายอกไปได้มากนัก คือข้อเสีย อันกลายมาเป็นข้ออ้างสำคัญ ที่ทำให้
ผู้ผลิตรถยนต์ส่วนใหญ่ หันไปพัฒนารถยนต์ขับเคลื่อนล้อหน้ากันมากขึ้น ในช่วงตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1970
จนถึง ทศวรรษที่ 1990 การยืดขยายระยะฐานล้อ ให้ยาวออกไปนั้น สำหรับรถขับเคลื่อนล้อหลัง
มันมีผลต่อความยาวของขนาดท่อนเพลาขับเคลื่อนที่ต้องยาวขึ้น และส่งผลให้การออกแบบ และจัดวาง
ระบบขับเคลื่อน เจออุปสรรคหลายอย่าง ไม่ง่ายดายเท่ากับ รถขับเคลื่อนล้อหน้า ซึ่งแทบจะตัดปัญหานี้ทิ้งออกไปเลย
แต่อย่างไรก็ตาม เบาะนั่งด้านหลังนั้น นั่งสบายกว่า บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์-3 ตัวใหม่ E90 อยู่บ้าง
เพราะถ้าปรับตำแหน่งเบาะนั่ง เลื่อนไปข้างหน้าในระดับที่ คนขับ มีความสูงประมาณ 170 เซ็นติเมตร
ขับได้พอดีๆ สบายๆ แล้วนั้น ยังมีพื้นที่เหลือระหว่างหัวเข่า และด้านหลังของพนักพิงเบาะหน้าอยู่พอสมควร
ทว่า เท้าทั้งสองข้างของคณจะถูกล็อกเอาไว้กับด้านใต้ของเบาะรองนั่งคู่หน้าไปโดยปริยาย
ส่วนที่วางแขนตรงกลางพับลงมาได้นั้น…
เมื่อเปิดฝาออก จะมีช่องใส่ของจุกจิกเล็กๆน้อยๆ
และยังมีช่องทาง เปิดทะลุถึงห้องเก็บของด้านหลัง สำหรับสัมภาระชิ้นยาวๆ อีกด้วย
แผงหน้าปัด แม้จะแตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังไม่ทิ้งแนวทางการออกแบบช่องแอร์จากรุ่นเดิม
ที่ให้คอนโซลกลาง เป็นแบบสี่เหลี่ยม ส่วนด้านข้างทั้งสองฝั่งเป็นแบบวงกลม ประดับประดาด้วยสารพัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวก
ชุดมาตรวัด เป็นแบบออพติตรอน ที่ออกแบบได้สวยงามไม่แพ้ เล็กซัส GS300 หรือ LS460 นั้น
เมื่อกดปุ่มติดเครื่องยนต์ เข็มความเร็ว และเข็มวัดรอบ จะกวาดจากซ้ายสุดไปขวาสุด……
….ก่อนที่จะเริ่มสว่างครบถ้วน
มีจอแสดงผล และแจ้งเตือนการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆอยู่ตรงกลาง
รวมทั้งบอกตำแหน่งเกียร์ ในความจริง
ลูกเล่นของชุดมาตรวัดชุดนี้ แตกต่างจากชุดมาตรวัดของรถหลายๆคันที่ผมเคยทดลองขับ
นั่นคือ คุณเห็นวงแหวนสีน้ำเงินๆ บริเวณตัวเลขความเร็วและรอบเครื่องยนต์นั่นไหมครับ
ถ้าเมื่อใดที่คุณลากรอบเครื่องยนต์มากเกินไปกว่า 6,500 รอบ/นาที อันเป็นช่วงเช้าสู่เขตแดนเรดไลน์อันตรายต่อเครื่องยนต์
จะมีวงแหวนสีแดง สว่างขึ้นที่ฝั่งมาตรวัดรอบ เพื่อเตือนให้คุณรีบเปลี่ยนเกียร์ได้แล้ว อย่าลากรอบไว้นานเกินไป
ทำตัวเหมือน Shift Light ดีๆนี่เอง
และเช่นเดียวกัน หากคุณใช้ความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
วงแหวนสีแดง ที่มาตรวัดความเร็ว จะสว่างขึ้น เตือนว่า คุณกำลังขับเร็วเกินไปแล้ว
และควรจะลดความเร็วลงมาได้แล้ว
การเข้าออกจากรถนั้น ต้องอาศัย กุญแจเป็นแบบรีโมทคลื่นวิทยุ KEYLESS ENTRY…
ซึ่งมีรีโมท ที่มีสารรูปไม่ได้หรูสมฐานะของแบรนด์เอาเสียเลย รถก็ออกแบบมาซะหรูเชียว
แต่รีโมทนี่ ขอโทษเถอะ ออกแบบมาได้ Look cheap ราวกับรีโมทสัญญาณกันขโมย ABT เลยแหะ
เมื่อขึ้นมานั่งแล้ว ก็ต้องกดปุ่มติดเครื่องยนต์
ใช้มุขเดียวกับยาริส คัมรี พรีอุส และ รถรุ่นอื่นๆของโตโยต้า / เล็กซัสครับ
ถ้าไฟสีส้มๆ ติดอยู่ กดติดได้เฉพาะเปิดให้อุปกรณ์ไฟฟ้าในรถทำงานเท่านั้น
ต้องเหยียบเบรก ไฟเขียวถึงจะติด และเมื่อนั้น คุณถึงจะกดปุ่มจนเครื่องยนต์ติดทำงานเดินเบาได้
ฝั่งขวาสุดนั้น เป็นสวิชต์ปรับระดับสูง-ต่ำ และระยะใกล้-ไกลของพวงมาลัย
เป็นสวิชต์ไฟฟ้า ที่ปรับได้ละเอียดดีตามสมควร
นอกจากนี้ IS250 ยังติดตั้งสวิชต์สั่งตัดการทำงานของระบบควบคุมการทรงตัว ป้องกันล้อหมุนฟรี ขณะออกตัว Traction control
และมีระบบควบคุมเสถียรภาพขณะเข้าโค้งหรือบนทางลื่น VSC มาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
และมีปุ่มควบคุมระบบเกียร์ Super ECT (ว่ากันต่ออีกครั้งข้างล่าง)
เซ็นเซอร์ของระบบปัดน้ำฝน ในโหมดอัตโนมัติ ทำงานได้ดี ไม่งี่เง่าติงต๊อง เหมือนรถบางรุ่น
ชุดเครื่องเสียง โดย Mark Levinson การันตี คุณภาพเสียงได้
แต่ เมื่อลองฟังกันแล้ว ผมว่า คุณภาพเสียงที่ขับออกมา
สูสีกับเครื่องเสียง McIntosh ในซูบารุ เลกาซี ชนิดที่สูสีกันมากๆ เลยทีเดียว
จนผมไม่รู้จะตัดสินให้ใครเหนือกว่าใครดี เพราะผมไม่ใช่นักฟังหูทอง
แค่ครูพักลักจำ สมัยยังทำเพลงออกอัลบั้มกับผองเพื่อน ก็แค่นั้น
รู้แต่ว่า เมื่อใส่แผ่นเพลงแผ่นใหม่อย่างของ CeCe Peniston ชุดรวมฮิตแล้ว
ผมต้องปรับเสียงเบสให้ลดลงมาจากเดิมนิดหน่อยเพื่อไม่ให้เสียงเบสออกมาในแนวแบบที่ชาวบ้านชาวช่องเขาเรียกกันว่า "ตึ๊บๆ"
เพราะเสียงเบสที่หนักเกินไปนั้นมันทำลายประสาทการรับรู้ของหูเราด้วย นี่คือสิ่งที่นักฟัง รู้ แต่ พวกวัยรุ่นแต่งรถชอบฟังเครื่องเสียงทั่วไป
ยังไม่ค่อยจะรู้เท่าไหร่ สังเกตได้จากงานมอเตอร์โชว์ ที่เราจะเห็นร้านเครื่องเสียงพยายามอวดศักดากันด้วยเสียงเบสที่กระหึ่มขนาดว่า
เดินอยู่ห่างไกล ใจยังเต้นระรัวเป็นเสียงเบสที่ขับออกมานั่นละ ไม่ใช่เรื่องดีนะครับนั่นหนะ
ระบบปรับอากาศแบบแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา เย็นเร็วตามสไตล์ DENSO
และมีช่องเป่าแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง ติดตั้งบนกล่องเก็บของที่คอนโซลกลาง
พร้อมที่เขี่ยบุหรี่
แถมมีสวิชต์ ฮีตเตอร์ อุ่นเบาะ และพัดลมเพิ่มความเย็นให้เบาะนั่งคู่หน้าอีกด้วย
เช่นเดียวกัน ตำแหน่งของที่วางแขนนั้น สามารถเลื่อนขึ้นหน้า-ถอยหลังได้ ตามต้องการ
อันเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน
แต่น่าแปลกที่ ทำช่องวางแก้ว แยกออกจากกัน ทั้ง 2 ตำแหน่ง
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่า ทีมวิจัยตลาด คงไปวิจัยแล้วว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ ขับรถคนเดียว
นานๆทีจึงจะมีตุ๊กตาหน้ารถมาร่วมเดินทางด้วย เลยทำช่องวางแก้วหลัก ให้เห็นชัด ใช้ง่าย
อยู่ในตำแหน่งใกล้คันเกียร์ ซึ่งพอวางขวดน้ำ หรือแก้วน้ำเข้าจริง ก็อาจก่อความรำคาญขณะขับขี่ไปด้วย
และวางข้อศอกซ้ายไปด้วยพอสมควรเหมือนกัน
ส่วนช่องวางแก้วอีกช่องหนึ่ง ซ่อนอยู่ด้านใต้ ที่วางแขนแบบฝาปิดกล่องเก็บของในตัว เมื่อเปิดออก จะพบว่า มีแสงสีฟ้า
สำหรับส่องสว่างด้วย พอกาแฟแก้วใสหมดลง เราก็จะเห็นความงามของก้อนน้ำแข็งได้อย่างไม่น่าเชื่อ…
และเมื่อเปิดดูอีกหน่อย จะพบช่องเสียบ AUX เชื่อมต่อกับเครื่องเล่น MP3 หรือ iPod ได้ พร้อมกับช่องต่ออุปกรณ์ไฟฟ้าขนาด 12 โวลต์
ลิ้นชักใส่ของนี่ดูจะมีขนาดมาตรฐาน ราวกับจะโขกออกมาเป็นพิมพ์เดียวกับเล็กซัสรุ่นอื่นๆเลยด้วยซ้ำ
มีสวิชต์มือหมุน ปรับระดับความสว่างของชุดมาตรวัดในยามค่ำคืน
ถัดลงมา เป็นสวิชต์ เพื่อสั่งเปิด/ปิด การทำงานระบบต่างๆ ต้องใช้ควบคู่กับจอ Multi-information display ตรงกลางด้านบนชุดมาตรวัด
สวิชต์เปิดฝาถังน้ำมันเป็นแบบล็อกไฟฟ้า
มีสวิชต์ฉีดล้างทำความสะอาดไฟหน้า
ส่วนสวิชต์ที่เขียนว่า Shade นั้น….
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…