ทดลองขับ HYUNDAI SONATA 2.0 และ 2.4 ลิตร ; เนี่ยนะ รถเกาหลี !!??… By : J!MMY
ทุกคนคงรู้จัก เกาหลีใต้
ไม่ว่าจะรู้จักผ่านทาง นางในวังที่ชื่อ แดจังกึม
ผ่านทาง เครื่องใช้ไฟฟ้าซัมซุง ที่ฝรั่งมังค่า เค้าพากันอ่านว่า "แซมซัง"
เราก็คงต้องยอมรับว่า ในระยะหลังๆมานี้ เกาหลีใต้เป็นประเทศที่เติบโตขึ้นมาได้ด้วยความขยันขันแข็ง
ทางอุตสาหกรรม อาจจะมีการเดินขบนประท้วงของสหภาพแรงงานอยู่บ้าง
แต่ในภาพรวม ก็ยังถือว่า มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและต่อเนื่อง
กระนั้น เคยไหม ที่คุณจะมีประสบการณ์ไม่ดีกับสินค้าจากประเทศเกาหลี
หลายคน เคย หลายคนไม่เคย
แต่ผม เข้าข่ายทั้ง 2 กรณี
ไม่ใช่เพราะแค่ฟังจากปาก หากแต่พบเจอมากับตัวเองเลยทีเดียว
ถ้าด้านที่ไม่เคย ก็คงจะพอพูดได้เหมือนกันว่า จอ LCD ของซัมซุง ขนาด 17 นิ้ว
ที่เป็นจอมอนิเตอร์ ของคอมพิวเตอร์เครื่องที่ผมใช้เขียนบทความให้คุณได้อ่านกันอยู่นี้
ตั้งแต่ซื้อมาเมื่อ 2 ปีก่อน มันก็ไม่เห็นจะก่อปัญหาใดๆให้ผมเลย แม้แต่ครั้งเดียว
และนั่นฟังดูดีใช่ไหมครับ?
แต่ถ้าคุณลองมาฟังประสบการณ์ในด้านที่ผม "เคยเจอด้านไม่ดีกับตัวเองมาแล้ว" ก็คงจะไม่แปลกใจ
ผมพูดได้อย่างเต็มปาก ทั้งจากคุณภาพในการออกแบบ และการประกอบของรถตู้ Kia Pregio
ที่มีชิ้นส่วนหลุดติดมือผมออกมา แค่ผมไปถูกเนื้อต้องตัวเขาเท่านั้น
หรือกลิ่นอันแปลกประหลาดจากรถตู้ Kia Carnival ของลูกค้าอย่างคุณ Rinnie ที่ผมยังจำได้อย่างดี
จนถึงตอนนี้ว่า นั่นคือกลิ่นที่ ไม่ใช่กลิ่นของรถใหม่อย่างที่มีการกล่าวอ้าง ก่อนการเจรจายุติเรื่องราวกันได้ด้วยดีแน่ๆ
ไปจนถึงคุณภาพการขับขี่ ของรถอย่าง Ssangyong แม้ว่า SUV รุ่น Kyron นั้น ยังพอจะรับได้
อยู่บ้างในบางเรื่อง แต่สำหรับ เจ้าหนูยักษ์รุ่น Starvic ที่มีใบหน้าคล้ายโถส้วม นั้น นอกเหนือจากห้องโดยสาร
ที่ตกแต่งราวกับเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวแล้ว ผมรับไมได้จริงๆกับสมรรถนะการขับขี่ที่แย่ แค่พอเอาไว้รับส่งบุตรหลานจากโรงเรียน
ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ใครที่ยังพอจะจำได้ ก็ลองกลับไปหารีวิวเก่าๆของผมใน พันทิบดอทคอม คลังกระทู้เก่าของห้องรัชดา อ่านกันเอาเอง
และคงจะบอกได้แต่เพียงว่า นั่นคือการเขียนถึงอย่างสุภาพที่สุดแล้ว (และถึงวันนี้ ผมยังรอโอกาสที่ซางยอง
จะปรับปรุงผลงานของเขา เพราะผมยังรอที่จะเอ่ยคำชมรถของพวกเขาอีกครั้ง ถ้ามันถูกสร้างมาดีจริงๆในอนาคต)
แต่…นับจากวันที่ ตุลาคม เป็นต้นมา…ความคิดของผมก็มีอันต้องเปลี่ยนไป….
เพียงเพราะการกลับมารถยนต์เกาหลี ที่ชื่อ ฮุนได….
ในมือผม ขณะกำลังเขียนบทความอยู่นี้
คือ โบรชัวร์ ภาคภาษาไทย ชิ้นแรก ที่ผู้จำหน่ายรายเดิมของฮุนไดในบ้านเรา
เคยทำออกมาแจกลูกค้า ในช่วงแรกของการเข้ามาเปิดตลาดในเมืองไทย
เมื่อช่วงปี 1992
ในวันนั้น ฮุนได เปิดตัวในบ้านเราอย่างป็นทางการ ด้วย รถยนต์ 3 รุ่นแรก วางให้ครบทุกกลุ่มตลาดเท่าที่จะทำได้
ทั้ง Excel สำหรับการเอาใจกลุ่มลูกค้าที่งบไม่มากนัก แต่อยากได้รถป้ายแดงคันแรกในชีวิต สมรรถนะพอใช้งานได้สบายๆ
ตามด้วย Elentra รุ่นแรก ซึ่งมาเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าเดียวกันกับ Toyota Corolla Nissan Sentra (หรือ Sunny ในญี่ปุ่นนั่นละ)
Mitsubishi Lancer (โฉม E-Car) และ Honda Civic ด้วยงานออกแบบจากฝีมือของ สำนักออกแบบในอิตาลีชื่อดัง
และ ซีดานขนาดกลางรุ่น Sonata อันเป็นรถยนต์รุ่นสำคัญในตลาดกลุ่ม ซีดาน D-Segment
ปัจจุบัน หลังจากที่ผู้จำหน่ายรายเดิมอย่างพระนครยนตรการ หมดสัญญาไป เพราะมีความไม่ลงรอยกัน ในด้านความคิด
เกิดขึ้นกับทางบริษัทแม่ ดังนั้น ช่วงเวลาที่หายไป ทำให้บรรดาผู้ใช้รถยี่ห้อนี้ ต่างพากันทำใจ ว่าคงไม่อาจจะพึ่งพาใครได้
นอกเหนือจากตัวเอง และอู่ซ่อมรถที่ตนพอจะไว้ใจได้ รวมทั้งแหล่งอะไหล่จากเศียงกงรถเกาหลี ย่าน ขนส่งสายใต้
พร้อมกับความหวังที่ว่า วันหนึ่ง ฮุนได จะกลับเข้ามาเดินหน้าทำตลาดบ้านเราต่ออีกครั้ง
แล้วในที่สุด วันนี้ ฮุนไดก็กลับมา ภายใต้การทำตลาดของ "ฮุนได มอเตอร์ ประเทศไทย"
แม้จะไม่อาจเรียกได้ว่า บริษัทแม่ มาทำเอง อย่างเต็มปากนัก แต่ บริษัท โซจิทสึ ซึ่งเป็น เทรดดิง คัมพานี
รายใหญาจากญี่ปุ่น ซึ่งเชี่ยวชาญในธุรกิจรถยนต์และอะไหล่มาเป็นเวลานาน และเคยเป็นผู้บุกเบิกตลาดให้กับ
ฮุนไดในหลายประเทศมาแล้ว คือ พันธมิตรทางธุรกิจที่ฮุนได มอเตอร์ เกาหลีใต้ ไว้วางใจที่สุด ให้ปูทางเพื่อการกลับมาผงาด
อีกครั้งของฮุนไดในประเทศไทย
แถมคราวนี้ กลับมาด้วยการงัดไม้เด็ด มาสร้างกระแสในตลาดบ้านเรา ด้วยการประกาศขยายการรับประกันรถใหม่
จากเดิมที่เราคุ้นเคยกันตามระยะ 3 ปี 1 แสน กิโลเมตร จากทุกค่าย แต่ฮุนได ประกาศว่า จะรับประกันรถใหม่ของตน
"5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง!" หวังเรียกความมั่นใจให้กับลูกค้าใหม่กันอย่างเต็มที่
การกลับมาใหม่ครั้งนี้ ฮุนได พยายามไม่เหยียบย่ำซ้ำรอยเท้าเดิม เพราะประเดิมด้วย 3 รถยนต์รุ่นใหม่
ในตำแหน่งการตลาดที่แตกต่าง คือวางตัวเองให้มีภาพลักษณ์ที่ดีกว่าเดิม
นั่นคือ ซีดานรุ่น โซนาตา เอสยูวี รุ่น ซานตา เฟ 2.2 CRDi และ ฮุนได คูเป้ (พัฒนาการต่อเนื่องจากเจ้า ทิบูรอน)
ก่อนที่ รถตู้ ฮุนได H-1 ตามมาเปิดตัว เปิดราคา ในงาน มอเตอร์เอ็กซ์โป เพียง 999,000 บาท ในรุ่นเกียร์ธรรมดา
เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร เทอร์โบ คอมมอนเรล 174 แรงม้า เท่า นิสสัน นาวารา
แต่ตัวถังแบบนั้น เล่นเอา โตโยต้า คอมมิวเตอร์ และเบนซ์ วีโต้ ออกอาการอึ้งกิมกี่กันได้เลย
สรุปแล้ว รวม 4 รุ่น ซึ่งฮุนได วางเกมแบบนี้ เพราะคิดแล้วว่า ระยะยาว จะต้องวางตัวเองให้เป็นแบรนด์ติดตลาด
ในเมืองไทยให้ได้ ซึ่งนี่คือการบ้านข้อใหญ่ที่ฮุนไดจะต้องทำ
แต่ แน่นอนว่า รุ่นแรกที่จะขอประเดิมรีวิวกัน คงต้องเป็นซีดานรุ่นหลักสำหรับบุกตลาดทั่วโลกอย่าง โซนาตา
โซนาตา คลอดออกจากสายการผลิตครั้งแรก เมื่อ 2 กรกฎาคม 1988 และถือเป็นรถยนต์รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของฮุนได
ที่สร้างขึ้นโดยใช้พื้นฐานทางด้านเทคโนโลยีของตนเองเป็นหลัก ด้วยทุนสร้างสูงถึง 30 ล้านวอน (ในขณะนั้น) และใช้เวลา
ในการพัฒนายาวนานกว่า 4 ปี (แม้ว่าเครื่องยนต์ จะยังคงเป็น มิตซูบิชิ 4G63 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,000 ซีซี
เหมือนที่วางใน Galant GTi ในบ้านเรา ก็ตาม)
ปัจจุบันนี้ โซนาตา ออกสู่ตลาดมาแล้ว 3 เจเนอเรชัน ส่วนในบ้านเรา โซนาตา ที่มีแล่นอยู่บนถนนเมืองไทยนั้น มีด้วยกัน
ทั้งรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ใหญ่ของ ตัวถังแรก รุ่นปี 1993 จนถึง ตัวถัง 2 รุ่นปี 1998 ตัวถังที่ 3 หลุดเข้ามาบ้างไม่กี่คัน ในฐานะรถฑูต
ส่วนรุ่นใหม่ที่เห็นนี้ คือเจเนอเรชันที่ 4 และยังไม่ได้ผ่านการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์แต่อย่างใด
เส้นสายตัวถังภายนอกมาในแนวเรียบง่าย แต่ถ้าลองเอาตรา โตโยต้า ไปแปะ หรือตราฮอนด้า ไปแปะ
คุณจะเชื่อได้ในทันทีว่า มันคือรถยี่ห้อนั้นๆ เพราะแนวเส้นตัวถัง สากลนิยมมาก
มากเสียจนกระทั่งไม่มีเอกลักษณ์ใดที่เป็นตัวของฮุนไดเองเลย
โซนาตาใหม่ในเมืองไทยนั้น มีกระจังหน้า 2 แบบ
หากเป็นลาย 2 เส้นนี้ คือรุ่น 2,400 ซีซี
แต่ถ้าเป็นลายมาตรฐานแบบนี้ หมายถึงรุ่น 2,000 ซีซี
ฝากระโปรงหน้า ถูกออกแบบให้มีแนวสันขอบอย่างที่เห็นนี้ ด้วยเหตุผลเพื่อช่วยให้อากาศที่ไหลผ่าน
ร่องบนฝากระโปรง ช่วยกดด้านหน้ารถลงไป ช่วยเพิ่มความนิ่งในขณะขับขี่ด้วยความเร็วสูงอยู่
งานออกแบบของโซนาตา ใหม่ ถือเป็์นความร่วมมือกัน
ระหว่างทีมออกแบบของฮุนได ทั้งในเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา
และที่แฟรงค์เฟิร์ต เยอรมนี
เมื่อเปิดประตูเข้าสู่ภายในห้องโดยสาร เบาะคู่หน้า คุณจะพบกลิ่นแปลกๆ กลิ่นเดียวกับที่คุณจะพบได้จาก
ห้องโดยสารของ ซางยอง นั่นละครับ…. มันเป็นกลิ่นที่รถเกาหลีใต้และรถแท็กซี่ยุคใหม่ๆชอบใช้เหลือเกิน
ภายในห้องโดยสารนั้น จะตกแต่งด้วยโทนสีที่แตกต่างกันไป
หากเป็นรุ่น 2.4 ลิตร จะตกแต่งด้วยโทนสีเบจ ตัดกับลายไม้
แต่ถ้าเป็นรุ่น 2.0 ลิตรแล้ว
ภายในห้องโดยสาร จะเปลี่ยนมาใช้โทนสีน้ำเงิน คาดด้วยลายคาร์บอนไฟเบอร์แทน
ด้วยเหตุผล ของความพยายามที่จะเน้นบรรยากาศการขับขี่ให้สนุก
แต่พอเอาเข้าจริง โทนสี สามารถหลอกตา และสร้างความรู้สึกได้ว่าวัสดุ
ที่ใช้ตกแต่งในห้องโดยสารของรุ่น 2.0 ลิตรนั้น
ดูไม่สมกับค่าตัว 1 ล้านบาทต้นๆ ของตัวรถ ทั้งที่ทั้ง 2 รุ่น
ใช้วัสดุเหมือนกันแทบทุกประการ ต่างกันแค่ สี เท่านั้น
เบาะนั่งคู่หน้า ถือว่า รองรับแผ่นหลังได้ดีในระดับหนึ่ง
ระบบปรับตำแหน่งด้วยไฟฟ้านั้น มีมาให้เฉพาะฝั่งคนขับเท่านั้น
ไม่มีระบบตั้งหน่ายความจำตำแหน่งมาให้
แต่อย่างไรก็ตาม
ใช่ว่า เบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้า จะมีเฉพาะรุ่น 2.4 ลิตรเท่านั้น
เพราะมีมาให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่น 2.0 ลิตร ตัวท็อปด้วยเช่นเดียวกัน
หากสังเกตจากมุมนี้ จะพบว่า ด้านข้างแผงควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ จะมี ขอเกี่ยวพับเก็บได้
เอาไว้สำหรับ แขวน หรือห้อย สิ่งของต่างๆตามต้องการ
คอนโซลกลาง ถัดจากคันเกียร์ลงมา มีช่องใส่แก้วน้ำ 2 ช่อง
ซึ่งใช้งานไม่ถึงกับดีนัก เพราะไม่สามารถล็อกขวดน้ำ ขนาด 7 บาท
ให้อยู่กับร่องกับรอยได้
ส่วนกล่องเก็บของพร้อมฝาปิดแบบมีที่พักข้อศอกในตัวนั้น
เอาเข้าจริงแล้ว ที่พักแขนอยู่ในระดับพอใช้งานได้
และกล่องเก็บซีดี ซึ่งมี 2 ชั้ีนนั้น มีขนาดไม่เล็กและไม่ใหญ่มากเกินไป
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า เป็นแบบ 3 จุดพร้อมระบบ Buckle Pretensioner ยอมให้ตัวผู้ขับขี่ รั้งไปด้านหน้าเล็กน้อย
เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เพื่อลดการบาดเจ็บ บริเวณหน้าอก
ตำแหน่งเบาะคนขับนั้น มีพื้นที่เหนือศีรษะเหลือเยอะพอ
ให้สร้างความปลอดโปร่งระหว่างขับขี่ได้ อีกทั้งการเข้าออกจากรถก็ไม่ต่างอะไรกับรถทั่วๆไป
การเข้าออกจากประตูคู่หลัง ถือว่าทำได้ดี
ไม่ได้คับแคบแต่อย่างใด
บริเวณคอนโซลกลาง จะมีช่องที่เขี่ยบุหรี่ มาให้
และอุโมงค์เพลาขนาดใหญ่ ซึ่งยังคงมีให้เห็นอยู่
เบาะนั่งด้านหลัง ทั้งในรุ่น 2.0 และ 2.4 มีที่พักแขน พร้อมช่องวางแก้วน้ำพร้อมฝาปิดในตัว และพนักศีรษะ
สำหรับผู้โดยสารตรงกลางเบาะหลัง แถมยังมี สวิชต์ ล็อกกันการเปิด-ปิดได้ มาให้ที่ด้านหลังของชุดพนักพิงอีกด้วย
ซึ่งรถทั่วๆไปที่ขายในบ้านเราไม่ค่อยมีให้เห็นกัน
กระนั้น เมื่อนั่งเข้าจริงๆแล้ว เบาะนั่งด้านหลัง จะให้ความสบายแค่เฉพาะ พนักพิง รวมทั้ง ที่วางแขน ส่วนเบาะรองนั่งนั้น
ยังสั้นเกินไป และชวนให้นึกถึงเบาะรองนั่ง ของ แอคคอร์ดรุ่นที่แล้ว ที่ผมไม่ประทับใจขึ้นมาตะหงิดๆ ต่อให้มีพื้นที่วางขาเหลือเท่าใดก็ไม่ีประโยชน์
คงเพราะว่า ทีมวิศวกรฮุนได จงใจศึกษา แอคคอร์ด รุ่นเดิมมากไปหน่อย เลยทำเบาะรองนั่งมาให้สั้น
พอกันกับแอคคอร์ดรุ่นเดิม จนนั่งไม่สบายเท่าที่ควร ไม่ต่างกันทั้งคู่!!!
เบาะนั่งด้านหลัง ทั้งในรุ่น 2.0 และ 2.4 สามารถแบ่งพับได้ในอัตราส่วน 60 : 40 เพื่อเพิ่มพื้นที่ห้องเก็บของด้านหลังให้ใหญ่โตขึ้น
แผงหน้าปัดของรุ่น 2.4 ลิตร ตกแต่งด้วย โทนสีเบจ ตัดกับเทา-น้ำตาลกลางๆ คาดด้วยลายไม้ ดูลงตัวกว่าที่คิด แม้ว่างานออกแบบ จะทำให้ภาพรวมของ
อุปกรณ์ต่างๆ ดูเตียนโล่งไปหน่อย แถมยังตกแต่ง บริเวณแผงควบคุมตรงกลาง และ ช่องแอร์ ด้วยพลาสติกชนิดแข็ง ที่ดูไร้ราคาจนไม่รู้สึกว่าเป็นรถระดับราคาคันละล้านบาทต้นๆ ก็ตาม
แต่นั่นก็ยังไม่เลวร้ายไปกว่าการเลือกโทนสีน้ำเงิน มาตัดกับลายคาร์บอนไฟเบอร์
ในห้องโดยสารของรุ่น 2.0 ลิตร ซึ่งยิ่งกดความรู้สึกของลูกค้ามากขึ้นไปอีก
ชุดมาตรวัดส่องสว่างกำลังดีในยามค่ำคืน
สิ่งที่ผมสงสัยก็คือ
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเกาหลี เขานัดกันหรือเปล่า
ว่าจะต้องใช้แสงสีเขียว ในการประัดับตกแต่งชุดมาตรวัดกัน
แทบทุกเจ้าก็ใช้โทนสีนี้กัน
ชุดมาตรวัด มีความเพี้ยนอยู่บ้าง เช่นความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนมาตรวัด จับความเร็วจริงจาก GPS ได้ 105 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เข็มน้ำมัน ก็ยังไม่ถึงกับแม่นยำนัก คือพอใช้งานได้ ตามประสารถทดลองประกอบ
ทั้งรุ่น 2.0 และ 2.4 ลิตร จะมีพวงมาลัยเป็นแบบ มัลติฟังก์ชัน มีปุ่มควบคุมชุดเครื่องเสียง ที่ฝั่งซ้าย
แต่ในรุ่น 2.4 ลิตร จะมีระบบควบคุมความเร็วคงที่อัตโนมัติ Cruise Control ที่ฝั่งขวา
นอกจากนี้ ยังมี สวิชต์ปรับระดับความสว่างของไฟบนแผงหน้าปัด
และสวิชต์ ปิดระบบ ควบคุมเสถียรภาพ ESP (Electronic Stability Program) ซึ่งมีมาให้เฉพาะรุ่น 2.4 เท่านั้น
อีกด้วย
ชุดกุญแจที่ให้ ยังเป็น กุญแจพร้อมรีโมทคอนโทรลแบบเดิมๆ
ที่เน้นใช้งานง่ายเป็นหลัก ไม่ซับซ้อนวุ่นวาย
ชุดเครื่องเสียง ของทั้งรุ่น 2.0 ตัวท็อป และ 2.4 ลิตร
เป็นแบบจอทัชสกรีน ที่ต้องออกแรงในการสัมผัสจอมากกว่าปกติ จนไม่อยากเรียกว่าสัมผัส
มันควรจะเป็นการ กดบดขยี้ลงไปมากกว่า
ในรถคันทดลองขับนั้น ที่แม้จะมีคุณภาพเสียงโอเค แต่ตัวเครื่องก็เพี้ยนได้อย่างไม่น่ารื่นรมณ์เลย
เพี้ยนยังไง
คือในรถคันทดลองขับทั้งสองคันนั้น ชุดเครื่องเสียง ติตั้งมาแปลกๆ คือ ถ้าคุณเพิ่มระดับเสียงดัง จากระดับต่ำสุด
คือ 0 ไปที่ 1 มันควรจะค่อยๆดังขึ้นช้าๆเรื่อยๆ จนถึงระดับ 20 อะไรก็ว่าไป ใช่ไหมครับ
แต่ในโซนาต้า ทดลองประกอบคู่นี้ เครื่องเสียงเปิดมาปุ๊บ จาก 0 พอบิดไปเพียงกริ๊กเดียวเท่านั้น
เสียงมันดังพรวดพราดออกมา จนบางครั้งดังเกินต้องการ…ในทันที
แต่อย่างว่า ในเมื่อรถคันที่เราลองนั้น ทั้งคู่ เป็น "รถทดลองประกอบ" ดังนั้น ทำได้ขนาดนี้ก็บุญแล้วละครับ
ปัญหาจากการทดลองประกอบเรื่องเดียวที่เราเจอคือ ชุดเครื่องเสียง
ได้รับการยืนยันจากทางฮุนไดว่า "เวอร์ชันขายจริง ปัญหานี้ ถูกแก้ไขไปเรียบร้อยแล้ว"
ระบบปรับอากาศ เป็นสวิชต์ แบบดิจิตอล ไม่มีระบบแยกฝั่ง มาให้แต่อย่างใด
ทว่า เย็นค่อนข้างเร็ว
มีช่องใส่ของจุกจิกมาให้อีกเล็กน้อยพอสมควร
มองขึ้นไปบนเพดาน
เราจะพบ ช่องใส่แว่นตา และสวชิต์ไฟในห้องโดยสาร ซึ่งสว่างพอดู
แถม แผงบังแดดนั้น มาแบบเดียวกับรถยุโรปเลย
คือมีแผ่นเลื่อน ให้ดึงเข้าดึงออก บังแสงแดด ได้เพิ่มขึ้น
กระจกแต่งหน้า นั้น แทนที่จะทำไฟส่อง ติดไว้กับตัวแผงบังแดดเลย
กลับแยกชิ้นออกไปฝังตัวบนวัสดุบุหลังคาแทน
กระจกมองหลังเป็นแบบตัดแสงอัตโนมัติ ทุกรุ่น
กล่้องคอนโซลกลาง มี 2 ชั้น มีขนาดลึกพอสมควร สำหรับใส่แผ่นซีดี และของจุกจิกได้ในระดับหนึ่ง
ลืมบอกไปว่า เครื่องเสียงที่ให้มาใน โซนาตา นั้น
เล่น แผ่นภาพยนตร์ DVD และแผ่นเพลง MP3 ได้นะครับ
และในระหว่างขับขี่ไป ภาพก็ยังจะแสดงไปโดยไม่มีการดับหน้าจอลงเพื่อความปลอดภัยแต่อย่างใด
สวิชต์ฝาถังน้ำมัน และสวิชต์ เปิดฝากระโปรงหลัง เป็นสวิชต์ไฟฟ้า ติดตั้งที่
แผงประตูฝั่งคนขับ ตอนล่าง
ในรุ่น 2.4 ลิตร มีม่านบังแดดด้านหลังมาให้ด้วย
อุปกรณ์ด้านความปลอดภัย นอกจากเข็มขัดนิรภัยอย่างที่กล่าวไปแล้ว
ยังมีถุงลมนิรภัยคู่หน้ามาให้เป็นมาตรฐาน ทุกรุ่น
มาพร้อมกับสวิชต์ ปิด-เปิดการทำงานของถุงลมฯฝั่งด้านข้างคนขับ
ที่ลิ้นชักใส่ของ อย่างที่เห็นนี้
และโดยเฉพาะรุ่น 2.4 ลิตร จะมีถุงลมนิรภัยด้านข้างอีก 2 ใบ และม่านลมนิรภัยมาให้ อีก 2 ใบ
เป็น 6 ใบ ติดตั้งในโครงสร้างตัวถังนิรภัย ที่ผ่านมาตรฐานการทดสอบการชน
ระดับ 5 ดาว จากหน่วยงานด้านความปลอดภัย NHTSA ของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาโดยตรง
***** รายละเอียดทางวิศวกรรม *****
เครื่องยนต์ที่วางอยู่ใน โซนาตาใหม่ เวอร์ชันไทย เป็นเครื่องยนต์ บล็อก 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว ตระกูล Theta
ทั้งคู่ติดตั้งระบบแปรผันวาล์ว CVVT (Continuously Variable Valve Timing) ขับเคลื่อนด้วย โซ่ไทม์มิง
พร้อมระบบแปรผันท่อทางเดินไอดี VIS (Variable Intake Manifold System)
เสื้อสูบทำจากอะลูมีเนียม ลูกสูบ เคลือบด้วย Molybdenum
มีทั้งขนาด 1,975 ซีซี หรือตีเป็น 2,000 ซีซี
144 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 18.85 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที
และขนาด 2,359 ซีซี หรือปัดขึ้นเป็น 2,400 ซีซี
161 แรงม้า (PS) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 22.31 กก.-ม.ที่ 4,500 รอบ/นาที
ซึ่งถือว่า แรงบิดสูงสุด อยู่ในรอบค่อนข้างสูงเหมือนกัน
เกียร์อัตโนมัติเป็นแบบ 4 จังหวะ ที่ฮุนไดเรียกว่า H-Matic iDMA (Intelligent Dual Mode Automatic Transmission)
มีตำแหน่งบวก-ลบแบบขั้นบันได สำหรับให้ผู้ขับขี่เลือกเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ได้เอง รวมทั้งยังมีระบบสมองกล HIVEC
เพื่อเรียนรู้พฤติอกรรมการขับขี่ และปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ ให้ช้าหรือเร็วขึ้น คล้ายๆกับระบบ INVECS ของ มิตซูบิชิ นั่นเอง
พร้อมระบบ Variable Pressure Control System ควบคุมแรงดันไฮโดรลิกในระบบ เพื่อช่วยลดการสูญเสียกำลังโดยเปล่าประโยชน์
ฮุนได นั้น ตั้งใจทำคันเกียร์ บวก-ลบ ให้ออกห่างไปจากตัวผู้ขับขี่ ตามแต่ละเวอร์ชันพวงมาลัยซ้าย หรือ ขวา
ซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกประหลาดไปสักหน่อย นั่นหมายความว่า ร่องคันเกียร์ ของรุ่นพวงมาลัยซ้าย และขวา
จะอยู่ในทิศทางตรงกันข้ามกันทุกร่อง
อยากให้สังเกตดูอัตราทดเกียร์ลูกนี้ให้ดีครับ
ถามว่าทำไม นั่นก็เพราะเดี๋ยวคุณจะได้พบกับตัวเลขของความเร็วสูงสุด
ในแต่ละเกียร์ ที่แตกต่าง
เรายังคงทดลองขับ จับเวลา หาอัตราเร่งกัน
โดยใช้มาตรฐานเดิม คือ มีผู้ขับขี่ กับผู้จับเวลา รวม 2 คน
เปิดแอร์ และเปิดไฟหน้า ใช้ช่วงเวลากลางคืน บนถนนโล่ง
เพื่อความปลอดภัย
ตัวเลขที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่งทั้งหลาย ในกลุ่ม ซีดานขนาดกลาง D-Segment ด้วยกัน มีดังนี้ครับ
ก่อนอื่น ขอปรับแก้ตัวเลขในตารางนิดนึงนะครับ
ตัวเลข ความเร็วสูงสุด ของรุ่น 2.4 ลิตร นั้น เกิดขึ้นที่ เกียร์ 3 ครับ ทำได้ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง
แต่ในเกียร์ 4 นั้น รอบเครื่องยนต์ ไม่ใช่ 6,450 รอบ/นาทีนะครับ
ที่ถูกต้องคือ 4,250 รอบ/นาที ครับ
เมื่อดูจากตัวเลขแรงม้าและแรงบิด แล้วก็พอจะให้เข้าใจได้ว่า เหตุใดตัวเลขในช่วงออกตัวจากจุดหยุดนิ่งจนถึง 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ของโซนาตา ถึงดูเหมือนว่าจะด้อยกว่าคู่แข่งอยู่นิดนึง แต่สัมผัสจากการขับขี่จริง รวมทั้งตัวเลขการเร่งแซง 80-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง
กลับแทบไมได้ต่างจาก แอคคอร์ด โฉมล่าสุดที่เพิ่งจะตกรุ่นไปมากนัก คือ ตอบสนองได้อย่างทันอกทันใจในระดับที่ซีดานขนาดกลางทั่วไป
ควรจะเป็นกันเลยทีเดียว
แน่ละ เป้าหมายในการพัฒนาโซนาตาใหม่นั้น เห็นได้ชัดว่า ฮุนไดเอง พยายามจะยกระดับให้
ซีดานรุ่นขายดีของตน มีสมรรถนะที่ใกล้เคียงกับ ฮอนด้า แอคคอร์ด โฉมที่แล้ว ให้มากที่สุด
เท่าที่จะเป็นไปได้ในทุกด้าน โดยเน้นไปในการยกระดับ ความรู้สึกจากตำแหน่งหลังพวงมาลัยเป็นสำคัญ
เอาเข้าจริงแล้ว รุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร ให้ความสนุกในการขับขี่ ได้เหนือกว่ารุ่น 2.0 ลิตร อย่างชัดเจน เร่งแซงได้ทันใจ
การตอบสนองภาพรวมถือว่าทำได้ดีเกินกว่าที่คิดเอาไว้
ขณะที่รุ่น 2.0 ลิตร ก็ยังคงมีอาการรอรอบ ให้เห็นอยู่บ้าง และถ้าต้องการอัตราเร่งกันอย่างฉับพลัน การกดคันเร่งจนจมมิด
คือวิธีการที่ดี ที่จะช่วยเรียกพละกำลังออกมา นอกเหนือจากการเปลี่ยนไปเล่นตำแหน่งเกียร์ บวก-ลบ
แต่ถามว่าถึงขั้นเลวร้ายหรือไม่ ก็เปล่า เพียงแต่ รุ่น 2.4 ลิตรนั้น อัตราเร่งเหนือกว่าในทุกด้านจริงๆ
เกียร์ทำงานได้นุ่มนวล แทบไม่มีอาการกระตุกกระชาก ขับขี่นุ่มนวล แต่มั่นคงและมั่นใจได้
คันเกียร์ เปลี่ยนได้นุ่มนวล ราวกับรถยุโรป แต่อาจจะมีบางจังหวะที่ตอบสนองช้าไปนิดนึง
หากต้องการเร่งแซงอย่างปัจจุบันทันด่วนขึ้นมา
ด้านระบบกันสะเทือนนั้น เรียกได้ว่า ผิดความคาดหมายไปเยอะเลยทีเดียว
รูปแบบของระบบกันสะเทือนหน้า ยังคงเป็นแบบปีกนกคู่ พร้อมเหล็กกันโคลง
พอถอดล้อออกมาดู รูปแบบที่คุ้นตา ชวนให้นึกถึงระบบกันสะเทือนหน้าของ ฮอนด้า บางรุ่น
ส่วนด้านหลัง เป็นแบบมัลติลิงค์ ที่มีจุดยึดต่างๆ เพิ่มมากขึ้นกว่าในรุ่นเดิม
จากรูปนี้ จะเห็นถึงการเปรียบเทียบโครงสร้างของระบบกันสะเทือน โดยด้านซ้ายเป็นของ โซนาตารุ่นเก่า ที่บ้านเราไม่มีขาย (แต่มีแล่นอยู่ คันสองคัน)
กับระบบกันสะเทือนของโซนาตา รุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกสู่ตลาดเมืองไทย จะเห็นได้เลยว่า ด้านหน้านั้น แม้จะยังพอคล้ายกันอยู่บ้าง
แต่ด้านหลังนั้น แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง! ทั้งการแยกชุดช็อกอัพ และสปริงไว้ต่างหากออกจากกัน
จุดยึดซับเฟรม เข้ากับตัวถังที่เพิ่มขึ้น ฯลฯ
คราวนี้ ผมมีโอกาสได้แขกรับเชิญพิเศษ มาร่วมแจมกันด้วยครับ
คุณพิชัย ปัญญาเสวนมิตร หรือ พี่เสว ผู้ชำนาญการด้านระบบกันสะเทือนและระบบเบรก
อีกทั้งยังเป็นผู้นำเข้าและจำหน่าย ผ้าเบรก Dan-Block และ Zytec มาลองรถด้วยกัน
เราผลัดกันขับ และมองหาจุดดีกับจุดด้อยของตัวรถออกมา
ความเห็นหนึ่งที่น่าสนใจจากพี่เสว ก็คือ
ความเร็วในช่วง 120 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น อาจจะรู้สึกไม่ถึงกับดีนัก
แต่พอขึ้นไปไต่ระดับที่ 140-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ตัวรถกลับนิ่ง
และลดความตึงเครียดจากการขับขี่ ในช่วงความเร็วต่ำกว่านี้ลงไป
ได้มากเลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ออกจะแปลกสักหน่อย
เพราะรถทั่วๆไป ยิ่งเร็วยิ่งเรียด แต่โซนาตาใหม่ ถ้าเร็วในระดับเหมาะสม
แม้จะเร็วกว่าคันอื่นๆ ก็จะไม่เครียดมากเท่าที่คันอื่นตอบสนองสู่ผู้ขับขี่
ส่วนหนึ่ง ปฏิเสธไมได้ว่า เป็นผลมาจาก น้ำหนักพวงมาลัย ที่จัดอยู่ในเกณฑ์กำลังดี
ทั้งรุ่น 2.0 และ 2.4 เซ็ตมาในแบบเดียวกัน ไม่เบาไป ไม่หนักเกินไป แถมยังนิ่ง
ในระดับที่น่าประทับใจเกินคาดคิด
คือชวนให้นึกถึงการขับขี่แบบเดียวกับ แอคคอร์ด รุ่นที่เพิ่งจะตกรุ่นไป
แต่โซนาต้า จะทำได้ดีกว่าในช่วงความเร็วสูง
ทำได้ดีขนาดไหน?
ถ้าผมจะบอกว่า พวงมาลัยยังนิ่งสนิทมากๆ
ทั้งที่คุณกำลังแล่นไปด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ขนาดว่า พี่เสวลองปล่อยมือนิดเดียว พวงมาลัยก็ยังนิ่งอยู่!!
คุณจะเชื่อไหม?
ครับ โซนาตา ทำได้ และทำได้ดีีเสียด้วย!
อย่างไรก็ตาม เราพบว่า เมื่อคุณกำลังหักเลี้ยวพวงมาลัย เพื่อพารถเข้าโค้ง
แอคคอร์ด หรือแคมรี รุ่นก่อนนั้น หรือรถขับล้อหน้าทั่วๆไป
ความรู้สึกต่างๆจะถูกส่งขึ้นมา เพื่อให้คุณรับรู้ว่า รถกำลังเลี้ยวไปทั้งคัน
น้ำหนักจะถ่ายไปยังหน้ารถค่อนข้างเยอะ
แต่โซนาตาใหม่นั้น กลับผิดแผกออกไป คือ เมื่อคุณเลี้ยวเข้าโค้ง ไม่ว่าจะเป็นโค้งแบบไหน
หรือที่ความเร็วเท่าไหร่ คุณจะสัมผัสได้เลยว่า เมื่อคุณหักพวงมาลัยเลี้ยว
พวงมาลัยจะพาให้ส่วนหัวของรถเลี้ยวนำไปก่อน
จากนั้น เคบินห้องโดยสารตอนกลางของรถ บริเวณที่คุณนั่งบังคับรถอยู่ ก็จะเลี้ยวตามมา
และบั้นท้ายรถจะเลี้ยวตามเป็นการปิดท้าย
อย่าคาดหวังว่าจะเห็นอาการหน้าดื้อขณะเลี้ยวโค้ง เพราะโซนาตาใหม่ แทบไม่มีอาการแบบนั้นปรากฎให้คุณเห็นเลย
นั่นหมายความว่า ตัวรถนั้น มีความเป็นกลางพอสมควร
ก็แน่ละ พอผมได้ดูรูปของ การจัดวางตำแหน่งคนขับ กับตัวรถแล้วผมไม่แปลกใจเลยว่าทำไมผมถึงรู้สึกเช่นนั้น
เพราะฮุนได เล่นวางตำแหน่งคนขับ ของโซนาตา ไว้กึ่งกลางพอดีๆ ระหว่าง ล้อหน้า กับล้อหลัง นั่นเอง
รถที่ทำออกมาในลักษณะนี้ และให้บุคลิกการตอบสนองของระบบกันสะเทือนที่ใกล้เคียงกันนี้
บอกได้เลยครับว่า มีน้อยคันมากๆ สาหรับรถซีดานตลาดๆทั่วไป ที่ผมเคยเจอมา ก็จัดอยู่ในกลุ่ม
รถที่มีเสียงสรรเสริญจากลูกค้าและสื่อมวลชนทั่วโลก
ในเรื่องระบบกันสะเทือนด้วยกันทั้งสิ้น
เปอโยต์ 405 นั่นละหนึ่ง
โฟล์กสวาเกน พัสสาท นั่นละสาอง
ออดี้ A4 ตัวแรก นั่นละสาม
โตโยต้า โซลูนา วีออส รุ่นก่อน นั่นละสี่
และ ฮุนได โซนาตา ใหม่ ก็เป็นหนึ่งในนั้น!!
แต่ในขณะที่ระบบกันสะเทือนนั้น ดีเด่น
ทว่า ยาง ซึ่งควรจะทำหน้าที่ส่งเสริมสมรรถนะของตัวรถให้เด่นออกมาได้มากกว่านี้
กลับทำหน้าที่ของตนได้ไม่ดีเท่าที่ควร
มิชลิน ENERGY คือยางติดรถยนต์ ที่ผมมักจะตั้งข้อกังขากับมันเสมอ
และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน
ขณะที่พี่เสว พาเราเข้าโค้ง บนสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม มุ่งหน้าไปทางสุขสวัสดิ์ ด้วยความเร็วระดับที่ยังไม่ถึงลีมิทของตัวรถด้วยซ้ำ
พี่เสวจับอาการได้ว่า แก้มยางด้านหลัง กลับทนการบิดตัวไม่ไหว จึงดีดตัวกลับ และส่งผลให้รถ เกิดอาการบั้นท้ายกระเดิดเล็กน้อย
และเมื่อเราลองรีเช็คอาการอีกครั้งบนวงแหวน บางนา-ตราด – พระราม 2 ช่วงขากลับไปทางบางนา
ด้วยความเร็วระดับ 150-160 กิโลเมตร/ชั่วโมง เราพบว่า ขณะที่พี่เสว ส่ายพวงมาลัยเบาๆ ซ้ายนิด ขวานิด
สลับกันไปอย่างนี้ สักพักตัวรถยังคงนิ่ง ด้านหน้าของรถ อาจจะออกอาการส่าย แต่ก็เพียงนิดเดียวเท่านั้น
ทว่า อาการดิ้นนั้นกลับเกิดจากยางคู่หน้าเป็นหลัก ดังนั้น เราจึงสรุปกันว่า ปัญหานี้ เกิดขึ้นเพราะยาง
ไม่ใช่ที่ตัวระบบกันสะเทือนซึ่งเซ็ตมาดีอยู่แล้ว
ดังนั้น คำแนะนำของผมคือ เมื่อซื้อรถโซนาตามาแล้ว หากคุณอยากได้ความมั่นใจเพิ่มขึ้นจากการขับขี่
คุณควรหายางติดรถยนต์ที่ดีกว่านี้ มาสวมเข้ากับรถคันใหม่ของคุณแทน มิชลิน ENERGY
และผมว่า Pilot Preceda น่าจะเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า
(ภาพนี้ ถ่ายหลังจากพบอาการดังกล่าวแล้ว ไปเพียงนิดเดียว)
ส่วนระบบเบรกนั้น ติดตั้ง ดิสก์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS ระบบ กระจายแรงเบรก EBD มาให้
ในวันที่เราได้มีโอกาสไปทดลองขับ First Impression ที่สนามบริดจ์สโตน สระบุรีนั้น
ผมได้ทดลองดูการตอบสนองคร่าวๆแล้ว ทั้งที่ความเร็ว 60 และ 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง บนพื้นลื่น
ตาโจ้ เปรมศักดิ์ เพียรพาณิชย์ วิทยากรร่วมในรายการวิทยุ กลับให้ได้ ไปให้ถึง ของเรา
พาโซนาตาคันสีดำนี้ หยุดลงจาก 60 กิโลเมตร/ชั่วโมง และเริ่มเหยียบเบรก บริเวณ ไพลอน ที่ 1 (ด้านขวามือ ไกลที่สุด)
มาจนถึงจุดนี้ รถหยุดนิ่งพอดี บนพื้นถนนลื่น และเหยียบเบรกแบบกระทันหัน
คุณว่าระยะทางเบรกสั้นไหมละครับ?
ถ้ายังไม่ชัดเจนพอ งั้นเรามาลองดูตัวเลขจากเครื่อง G-Meter กันดีกว่าครับ
จากการทดลอง เบรกกระทันหัน จากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง จนถึงจุดหยุดนิ่งนั้น
โซนาตา 2.0 ลิตร ใช้ระยะทาง 44.5 เมตร และเวลาประมาณ 3 วินาที นิดๆ
แม้ว่าการตอบสนองของแป้นเบรกจะดี จนน่าพอใจเลยทีเดียว
น้ำหนักแป้นเบรกดี แต่ระยะเบรก ก็ถือว่า ทำได้ในระดับพอไว้วางใจได้
***** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง *****
เรายังคงใช้วิธีการเดิม เหมือนเช่นเคย
เติมน้ำมัน ออกเทน 95 ที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม ออกรถมุ่งหน้าขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6
ไปยังสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก และเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ใช้ความเร็ว ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ นั่งกัน สองคน น้ำหนักประมาณ 150-160 กิโลกรัม และกลับมาเติมน้ำมันที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม
แต่ครั้งนี้ ผลที่ได้ มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกแล้ว กับเครื่องยนต์ 2,400 ซีซี ทำไมถึงทำตัวเลขออกมาได้ดีผิดหูผิดตาขนาดนี้?
ผมกับน้องถัง น้องที่ร่วมทดลองรถด้วยกันกับผม ซึ่งเป็นผู้ร่วมทดลองในครั้งนี้ว่า
เราจะทำการทดลองซ้ำอีกครั้งหรือไม่
น้องถังตอบเลยว่า ไม่ต้อง ไม่จำเป็น ใช้ตัวเลขนี้ไปเลยดีกว่า
ตัวเลขที่ได้ คุณผู้อ่านดกันูเอาเองนะครับ
ผมเขียนไว้ไม่ผิดแน่นอน…..
แต่ เพื่อให้เป็นข้อมูลอีกด้านหนึ่ง
คงต้องขอนำตัวเลข จากมาตรวัดแสดงข้อมูลบนแผงหน้าปัดของ โซนาตา 2.4 ลิตร
มาแจ้งให้ทราบกันไว้ว่า
เมื่อสิ้นสุดการทดลองขับ
ตัวเลขออกมาอยู่ที่ 9.7 ลิตร / 100 กิโลเมตร ครับ
***** สรุป *****
ซีดานจากเกาหลีคันนี้ ดีกว่าที่คิดใน"เกือบ"จะทุกด้าน
เหลือก็แค่สร้างแบรนด์ให้กลับมาแข็งดังเดิมเท่านั้นเลย
ช่วงนี้ กระแสภาพยนตร์ เรื่อง "รักแห่งสยาม" ค่อนข้างรุนแรงมาก มากจนผมเองก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ชื่นชอบภาพยนตร์เรื่องนี้
จนต้องไปดูถึง 2 รอบ และกำลังจะมี รอบที่ 3 กับ 4 ในอีกไม่เกิน 1 เดือนนี้
ถามว่าทำไมผมถึงชอบหนังเรื่องนี้มาก?
ผมว่ามันมีความลงตัว ในประเด็นวามขัดแย้งต่างๆที่รุนแรง แต่ด้วยความสามารถของคุณมะเดี่ยว
ผู้กำกับของเรื่องนี้ สามารถเกลี่ยทุกอย่างให้สมดุลย์ และลงตัวได้อย่างเหลือเชื่อ บนพื้นฐานความเสี่ยงทางธุรกิจ
และเสียงตอบรับจากคนดู
ผมกำลังจะบอกคุณว่า อย่าตัดสินใจจะไม่ไปชมภาพยนตร์เรื่องนี้ เพียงแค่ฟังใครบอกเล่าว่า มันเป็นหนังรักของเกย์
เพราะ…มันไม่ใช่ซะทีเดียว และมันมีเนื้อหา และการสะท้อนแง่มุมของสังคมคนหัวเมืองหลักหลายๆแห่งทั่วประเทศไทยในปัจจุบันนี้
ได้อย่างถึงแก่น และท้าทายต่อทุกความคิดอย่างถึงที่สุด…
เพราะเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับ การแสดงออกถึงความรักของคนในครอบครัวในยุคสมัยนี้
ที่มันขาดหายไป และความพยายามเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่กับความเจ็บปวดอันเป็นปัจจุบัน
คือประเด็นที่ตีคู่กันมา กับประเด็นความรักของเด็กหนุ่มวัยกำลัง ค้นหาตัวเองทั้ง 2 คน
ราวกับ รถแข่ง ในสนามแดร็ก รังสิต คลอง 5 ที่เข้าเส้นชัยพร้อมๆกัน
โดยเฉือนกันทิ้งแค่ปลายจมูกรถเท่านั้น!!
หลายๆคนกำลังสงสัยว่า ที่ผมเขียนมาข้างบนนี้ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ ฮุนได โซนาตา คันนี้?
ครับมันเกี่ยวแน่ ถ้าผมจะบอกว่า
รถคันนี้ มันก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับหนังเรื่อง "รักแห่งสยาม" หรอกครับ
อยากให่้คุณ ลองเปิดใจให้กว้าง…..
คุณอาจจะเคยคิดว่า รถเกาหลี ในแบบเดิมๆที่คุณรู้จักมา ว่า มันห่วย
ประกอบไมได้เรื่อง ขับก็เฮงซวย อะไหล่ก็ไม่ดี หรืออะไรทำนองนี้
ผมจะบอกว่า ถ้าเป็นไปได้ แค่คุณ ไปลองขับรถคันนี้ดูสักครั้ง
เพราะรถคันนี้ เชื่อว่าจะทำให้คุณ ลืมทุกสิ่งที่คุณเคยคิดเกี่ยวกับรถเกาหลีไปซะจนหมด!
เอาละ แม้ว่า มันจะเป็นรถที่ยังมีจุดที่น่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นได้อีก โดยเฉพาะทั้งเรื่องของวัสดุการตกแต่งในห้องโดยสาร
ที่ Look Cheap จนต้องรอรุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เข้ามาลบภาพนี้ออกไป รวมทั้งสมรรถนะของเครื่องยนต์
ที่ยังอาจต้องให้เวลาและประสบการณ์ สั่งสมจนฮุนได สามารถก้าวขึ้นมามีเทคโนโลยีที่ดีพอจะสร้างเครื่องยนต์
4 สูบ ชั้นดีได้ เหมือนเช่นที่พวกเขา กำลังจะสร้างปรากฎหารณ์ใหม่ กับเครื่องยนต V8 ในรถยนต์ พรีเมียมสปอร์ต ขับเคลื่อนล้อหลัง
แบรนด์ใหม่อย่าง Genesis ที่เพิ่งแถลงข่าวออกมาเมื่อ 1 สัปดาห์ก่อนหน้าบทความนี้จะเสร็จสิ้นลง
แต่ โซนาตาคือผลผลิตที่ ฮุนได กำลังท้าทายความคิดของโลก ต่อความเปลี่ยนแปลงอันเกิดขึ้นจากความขยันขันแข็ง
และใจร้อน ซึ่งเป็นนิสัยประจำชาติของชาวเกาหลี ในความพยายามจะยืนหยัดต่อสู้บนเวทีอุตสาหกรรมรถยนต์ระดับสากล
เพราะสมรรถนะของ โซนาตา นั้น ไม่ได้เลวร้ายเหมือนเช่นที่หลายคนเคยประสบมากับรถเกาหลียุคก่อนๆ
ทว่า วันเวลาที่ห่างหายไปจากตลาดรถเมืองไทย ฮุนไดเอง
ก็ไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากมายจากในสหรัฐฯ และยุโรป อันเป็น 2 กลุ่มตลาดหลัก
ที่ฮุนได ตั้งใจจะบุกฝ่าด่านอรหันต์เข้าไปให้ได้
จนวันนี้ สมรรถนะของโซนาตานั้น ทาบรัศมีรถญี่ปุ่นได้อย่างเนียนแล้ว!
ผมจะไม่แปลกใจว่า ในวันที่โซนาตารุ่นนี้เปิดตัว
นิตยสารรถยนต์ในเยอรมันฉบับหนึ่ง
เอารถคันนี้ไปจอดกลางจตุรัสแห่งหนึ่งในเยอรมัน
ปิดยี่ห้อไว้ ถามความเห็นผู้คนที่เดินผ่านไปมา
พอบอกว่าเป็นฮุนไดเท่านั้นละ แทบทุกคน ต่างพากันตกใจ และไม่เชื่อสายตาตัวเอง
แต่สำหรับผมแล้ว…พอจะเข้าใจได้บ้างละว่า
ปฏิกิริยาของผู้คนนั้น มักจะตั้งความคาดหวังไว้กับสินค้าของเกาหลี และจีน ไว้ต่ำกว่า
จากประสบการณ์เดิมๆของพวกเขา ที่เจอปัญหามาจากสินค้าเหล่านี้
รวมถึงคำบอกเล่าปากต่อปากในอดีต
พอมาเจอการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมครั้งใหญ่แบบนี้
ทุกคนก็ย่อมต้องอึ้งกันเป็นธรรมดา
เพราะหลายคนไม่ได้คาดหวังกับคุณภาพสินค้าจากเกาหลีมากนักมาก่อน
เอาละ ถ้าคุณคิดจะทดลองขับ
ขอแนะนำให้คุณ เริ่มต้นจากรุ่น 2.0 ลิตรก่อนดีกว่า
เพราะถ้าคุณขยับไปลองขับ รุ่น 2.4 ลิตรเป็นคันแรก เมื่อคุณกลับมาขับรุ่น 2.0 ลิตร
อาจจะเกิดอาการหงุดหงิดตะขิดตะขวงใจได้ เพราะรุ่น 2.4 ลิตร เมื่อได้เครื่องยนต์ที่มีสมรรถนะดีกว่า
แต่อย่างไรก็ตาม
ปัญหาเดียวของฮุนไดในตอนนี้ สำหรับการบุกตลาดในเมืองไทยคือิ
จะทำอย่างไร ให้ผู้บริโภคมั่นใจว่า
คราวนี้ ฮุนไดจะมาอยู่ และมาใช้ชีวิตในประเทศไทย ยาวนาน
ไม่ทิ้งร้างหายไป เหมือนคราวก่อน
ยังมีคนกลัวอยู่ และนี่คือ ภาระกิจสำคัญที่ฮุนไดจะต้องเร่งทำ เพื่อกอบกู้ความเชื่อมั่นกลับมาให้ได้…
เรา หลายๆคน จะรอดูวันนั้น…..
———————————————————-///—————————————————-
ขอขอบคุณ
คุณวิกรานต์ อมาตยกุล
และคุณเหมียว
บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
ที่เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
J!MMY
10 ธันวาคม 2007
5.00 น. – 14.00 น.