ทดลองขับ Ford EVEREST 2.5L 5AT 4×2 จากเรือข้ามฟาก สู่เรือหางยาวติดล้อ ที่คล่องตัวกว่าเดิม!
..by:J!MMY
คุณผู้อ่านเคยนั่งเรือข้ามฟากแม่น้ำเจ้าพระยาไหมครับ?
ไม่ว่าจะขึ้นจากท่าเตียน ไปลงท่าน้ำนนท์ หรือไปขึ้นฝั่งที่โป๊ะท่าพระจันทร์
ยามที่คุณยังนั่งรอเวลาให้เรือ คล่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆ ตัดผ่านกระแสคลื่นของแม่น้ำเจ้าพระยา
ข้ามฝั่งไปยังท่าเรือจุดหมายนั้น มันให้ความรู้สึกได้ถึงน้ำหนักที่คอยหน่วงให้เรือค่อยๆเคลื่อนไปได้
ทั้งเชื่องช้า โคลงเคลง หาความมั่นคงและมั่นใจไม่ค่อยจะได้ กว่าจะถึงฝั่ง ชีวิตมันช่างมีลุ้นอะไรเช่นนี้
นั่นคือความรู้สึกแบบเดียวกับที่ผมเคยได้รับ เมื่อครั้งยังทดลองขับ ฟอร์ด เอเวอร์เรสต์รุ่นก่อน
แต่มาวันนี้ รุ่นที่ 2 ของเอเวอร์เรสต์ กลับทำให้ผมรู้สึกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอย่างน่าฉงน…ตรงกันข้ามกับย่อหน้าข้างบนนี้อย่างเด่นชัด
เอเวอร์เรสต์ รุ่นแรกนั้น พัฒนาขึ้นภายใต้รหัสโครงการ U268 จากพื้นฐานของรถกระบะ ฟอร์ด เรนเจอร์ และมาสด้า ไฟต์เตอร์ รุ่นเดิม ปี 1997-2006
ฟอร์ด เปิดตัว เอเวอร์เรสต์ เป็นครั้งแรกในโลก ที่เมืองไทย ในงานบางกอกอินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชวฺ์ ที่ไบเทค ปี 2003 ในช่วงเดียวกับวาระ
ฉลองครบรอบ 100 ปีของฟอร์ดทั่วโลก โดยมีฐานการผลิตหลักอยู่ที่โรงงาน ออโตอัลลายแอนซ์ (AAT) ระยอง เพื่อส่งขึ้นโชว์รูมในเมืองไทย
และลงเรือไปทำตลาดในกว่า 50 ประเทศทั่วโลก ทั้งในเขต อาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา และ เขตหมู่เกาะแปซิฟิคตอนใต้ ในตอนนั้นมีเครื่องยนต์
ให้เลือกเฉพาะรหัส WL-T 4 สูบ 2,500 ซีซี เทอร์โบ จากเรนเจอร์รุ่นเดิม จากนั้น ก็ทำยอดขายมาได้เรื่อยๆเปื่อยๆ ไม่ได้หวือหวาเหมือนอย่างที่ฟอร์ด
ตั้งใจไว้ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรูปลักษณ์ที่มาในสไตล์เรียบๆ เชยๆ คล้ายๆกับ การนำบั้นท้ายครึ่งคันหลังของ ฟอร์ด เอ็กซ์พลอเรอร์รุ่นแรก มาดัดแปลง
เข้ากับโครงสร้างครึ่งคันหน้าของฟอร์ด เรนเจอร์ รุ่นเดิม แม้จะได้เกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ จาก Prodrive มาช่วยให้การกระจายแรงบิดสู่ล้อขับเคลื่อน
เป็นไปด้วยดียิ่งขึ้น
ต่อมาอีก 1 ปีให้หลัง จึงกระตุ้นตลาดระลอกแรกด้วยการปรับปรุงอุปกรณ์ภายในเล็กๆน้อยๆ ช่วงกลางปี 2004 จนกระทั่งเดือนสิงหาคม 2005 กระตุ้น
ยอดขายแคมเปญของรุ่นขับเคลื่อนสองล้อพื้นฐาน ด้วยราคากระชากใจ 888,000 บาท อยู่พักใหญ่ ซึ่งช่วยให้ยอดขายของเอเวอร์เรสต์ กระเตื้องขึ้นมา
อย่างผิดหูผิดตา แม้เพียงระยะเวลาสั้นๆก็ตาม ถือว่า พอจะประคองตัวในตลาดไปได้เรื่อยๆ แต่เมื่อต้องเจอมรสุมความร้อนแรงจากคู่แข่งทั้ง
โตโยต้า ฟอร์จูเนอร์ หัวหอกหลักของตลาด และ ผู้ท่าชิงรายย่อยๆ ทั้งอีซูซุ มิว 7 มิตซูบิชิ สตราด้า จี-แวกอน และรถยนต์ดัดแปลงจาก ไทยรุ่งยูเนียนคาร์
โหมเข้ามาเป็นระลอกๆเนืองๆ ฟอร์ดจะอยู่เฉยต่อไปคงไม่ได้อีกแล้ว ดังนั้น การปรับโฉมครั้งใหญ่ เพื่อรักษาระดับยอดขาย จึงถูกเตรียมการไว้ล่วงหน้า
มาตั้งแต่ช่วงที่รถรุ่นแรกออกสู่ตลาดไปได้ไม่นานนัก ภายใต้รหัสโครงการพัฒนา "U 268 U"
ภาพสปายช็อตของเอเวอร์เรสต์ใหม่ หลุดเล็ดรอดออกสู่โลกภายนอกครั้งแรก ผ่านทางวีซีดี ที่ฟอร์ดทำขึ้น เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้จำหน่ายและพนักงานขาย
ในช่วงฝึกอบรมและทดลองขับ ก่อนหน้างานเปิดตัวรถกระบะเรนเจอร์รุ่นใหม่ ไม่เกิน 1 เดือน (ประมาณเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม 2006) และนั่นเป็น
ช่องทางให้ภาพชุดนี้หลุดรอดออกมาสู่สายตาสาธารณะชนในวงจำกัด ที่เว็บไซต์ www.fordclub.net กลางเดือนมิถุนายน 2006 ก่อนที่การเปิดตัว
จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2006
รูปลักษณ์ภายนอกของเอเวอร์เรสต์ บิ๊กไมเนอร์เชนจ์ ที่สร้างขึ้นภายใต้โครงสร้างแชสซีเดิม แม้จะดูแตกต่างไปจากเดิมอย่างเด่นชัด แต่ยังคงไว้ซึ่ง
กลิ่นอายของบุคลิกดั้งเดิมไว้อย่างเหนียวแน่น เพราะงานนี้ ทีมวิศวกรที่โรงงาน ออโตอัลลายแอนซ์ ไทยแลนด์ ได้รับคำสั่งมาให้นำรูปลักษณ์ของรุ่นปัจจุบัน
มาขัดเกลาด้วยชิ้นส่วนตัวถังด้านหน้า และชุดไฟหน้าจากเรนเจอร์ใหม่ ปรับเปลี่ยนลวดลายของระจังหน้า กันชนหน้า พร้อมชุดไฟตัดหมอกหน้าแบบใหม่
ผสานกับแนวเส้นตัวถังที่ยังคงเน้นความเหลี่ยมสันเป็นหลักเหมือนเดิม หากแต่ปรับปรุงให้มีอิทธิพลจาก ฟอร์ด เอ็กซ์พลอเรอร์ รุ่นที่ 3 ซึ่งยังทำตลาดใน
เมืองไทยอยู่อย่างเงียบๆ เพื่อให้ดูร่วมสมัยอย่างลงตัวมากยิ่งขึ้น
ขณะที่บั้นท้าย ยังคงถอดแบบออกมาจากรุ่นเดิม
แม้ว่า บานประตูทั้ง 4 จะถูกออกแบบกรอบกระจกหน้าต่างขึ้นมาใหม่ก็ตาม
แต่ก็ยังคงความต่อเนื่องของเส้นสายจากหน้า จรดหลัง และจากรุ่นรุ่นก่อน สู่รุ่นปัจจุบัน
การก้าวเข้าออกห้องโดยสารคู่หน้า ให้ความรู้สึกไม่ได้แตกต่างไปจากรถร่วมโครงสร้างตระกูลเดียวกัน
ไม่ว่าจะเป็น ฟอร์ด เรนเจอร์ ทั้งรุ่นก่อน และรุ่นปัจจุบัน รวมทั้ง มาสด้า ไฟต์เตอร์ และ บีที-50 ใหม่
ข้อดีของ เอเวอร์เรสต์คือ การที่คุณสามารถหันก้น ไปวางแหมะไว้ที่เบาะนั่ง แล้วหันทั้งตัว เข้าไปนั่งในรถได้เลย
ผิดจาก โตโยต้า ฟอร์จูเนอร์ ที่คุณต้องออกแรงโหนตัวและปีนขึ้นรถไปหย่อนก้นลงบนเบาะ
เบาะนั่งคู่หน้า ออกแบบขึ้นร่วมกับมาสด้า โดยใช้เทคโนโลนียีด้านสรีรศาสตร์ขั้นสูง HMI (Human Machine Interface)
ยังใช้โครงสร้างเบาะแบบเดิม แต่ปรับแนวการออกแบบ รวมทั้งการขึ้นรูปฟองน้ำเสียใหม่ รวมทั้งลายหนังหุ้มเบาะแบบใหม่
จึงไม่น่าแปลกใจว่า ยังคงจุดเด่นดั้งเดิมของรถตระกูลนี้เอาไว้จากรุ่นที่แล้ว นั่นคือ เบาะนั่งสบาย ไม่เมื่อย ไม่ปวดหลัง
แม้จะนั่งขับไปในระยะทางไกลๆ
แต่ถ้าจะพูดกันตามตรงก็คือ ตำแหน่งท่านั่งขับ ของเอเวอร์เรสต์ แทบไม่ต่างอะไรกับไฟต์เตอร์/เรนเจอร์/เอเวอร์เรสต์ ตัวเก่าเลย
ทั้งมุมองศาพวงมาลัย ลักษณะของเบาะนั่ง ตำแหน่งของคันเกียร์ ตำแหน่งที่วางแขน บนแผงประตู และที่คอนโซลกลาง ฯลฯ
โครงสร้างเสาหลังคาคู่หน้า ไปจนถึงเสาหลังคากลาง B-Pillar ใช้ร่วมกันกับ เรนเจอร์/บีที 50 รุ่น 4 ประตู
แต่ชิ้นส่วนตัวถัง ถัดจากเสาหลังคากลาง B-Pillar ไปจนถึงด้านหลังรถ ถูกออกแบบขึ้นเป็นพิเศษ โดยยึดแนวทางของเส้นสายตัวถัง
จากเอสยูวีตระกูลฟอร์ด โดยเฉพาะ รุ่น เอ็กซ์พลอเรอร์ ซึ่งถือเป็น เอสยูวีรุ่นยอดนิยมของฟอร์ดในสหรัฐอเมริกา
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ช่องทางเข้าออกของผู้โดยสารแถวสองและสาม จึงให้ความสะดวก คล่องตัว ในการขึ้นลง เข้าออกจากตัวรถอย่างน่าชมเชย
เพราะไม่มีส่วนยื่นใดๆ มาบดบังการเข้าออกจากตัวรถ จนศีรษะไปโขกถูก
แต่อย่างใด
ขณะที่เบาะนั่งแถว 2 ก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกัน
ยังคงความหนานุ่ม นั่งได้สบาย ไม่ค่อยเมื่อยเท่าใดนัก แม้จะต้องชันขาอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่เรื่องน่าวิตกแต่อย่างใด
จุดขายหลักของเอเวอร์เรสต์อีกจุดหนึ่ง
อยู่ที่การพับเบาะหลังเข้าออกได้ แบบ SYNCRONIZED
คือ ดึงคันโยก จนสุด เพียงครั้งเดียว
ชุดพนักพิงหลังจะพับลงมา พร้อมกับชุดเบาะจะยกคะมำไปข้างหน้า
เพื่อความสะดวกในการก้าวเข้าออกจากเบาะแถว 3
ถึงกระนั้น ยังต้องทำใจกับเบาะนั่งแถว 3 ซึ่งแม้ว่าจะนั่งได้สบายกว่าคู่แข่ง แต่ก็ยังต้องชันหัวเข่ามากพอสมควร ทำให้เบาะหลังของรถประเภทนี้
ยังคงเหมาะสำหรับการถอดออกมาทำชิงช้าหน้าบ้านแต่เพียงอย่างเดียว เช่นเดิม เหมือนกับคู่แข่งทุกคันในตลาดกลุ่มนี้
เอาน่า อย่างน้อย เบาะแถว 3 ของเอเวอร์เสต์ ยังนั่งได้สบายดี
ศีรษะไม่ชนเพดาน และแม้จะชันขาเยอะหน่อย แต่ก็ยังนั่งสบายกว่า
มิตซูบิชิ จี-แวกอน คู่แข่งที่ตอนนี้เหมือนจะเงียบหายไปไหนก็ไม่อาจทราบได้
แต่ถ้าคิดจะถอดเบาะแถว 3 ของเอเวอร์เรสต์ ออกมาทำชิงช้าแล้วละก็ คุณคงต้องใช้เวลาเอาเรื่อง เพื่อที่จะพบว่า นอกจากจะพับและยกขึ้น
เพื่อเพิ่มพื้นที่วางสัมภาระด้านหลังแล้ว มันไม่สามารถถอดได้โดยง่ายนัก เพราะเขาไม่ได้ออกแบบมาให้ถอดออกจากตัวรถเลย
การพับเบาะ ก็ดึงที่คันโยกฝั่งซ้าย เช่นเดียวกัน
แต่ถ้ายกเบาะ ต้องมาจัดการกับคันโยกเล็กๆสลักล็อกตรงกลาง
ใต้เบาะ ตรงจำแหน่งที่ยึดกับตัวถัง ดังในรูปนี้นั่นเอง
บานประตูห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
มีฝาปิดเล็กๆ เมื่อดึงออกมา จะพบ ถังใส่น้ำฉีดล้างกระจกสำหรับใช้งาน
ร่วมกับชุดใบปัดน้ำฝนด้านหลัง และมีที่เปิดประตูจากด้านในติดมาให้ด้วย
ช่วยอำนวยความสะดวก เป็นทางออกจากตัวรถได้ ในภาวะฉุกเฉิน
หรือจะก้าวขึ้นลงจากจุดนี้ ก็ทำได้สะดวกดี
สปอยเลอร์ด้านหลัง พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 มีมาให้ครบทุกรุ่น
ภายในห้องโดยสารจะถูกกปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยใช้ชุดแผงหน้าปัดแบบเดียวกันกับเรนเจอร์ / มาสด้า บีที-50 รุ่นปัจจุบัน ทว่า ในขณะที่เวอร์ชันกระบะ
จะตกแต่งภายในด้วยพลาสติกสีเงิน แนวอะลูมีเนียมร่วมสมัย แต่เอเวอร์เรสต์ จะยังคงยึดการตกแต่งแผงหน้าปัดด้วย ลายไม้ เช่นเดิม เพียงแต่
เปลี่ยนมาใช้ลายไม้แบบด้าน ตามสมัยนิยมเท่านั้น
ชุดมาตรวัด ยังคงเป็นแบบเดียวกันกับ รุ่นท็อปของเวอร์ชันกระบะ เรนเจอร์ / บีที-50 ใช้พื้นสีดำ ตัวเลขสีเขียวเป็นสีสำหรับเรืองแสงในยามค่ำคืน
ชุดมาตรวัด สามารถปรับระดับความสว่างได้ จากก้านหมุนบนมาตรวัดโดยตรง
แผงควบคุมกลาง ยังคงเหมือนกับเวอร์ชันกระบะ
ตกแต่งด้วยสีเงินเป็นหลัก และเรืองแสงด้วยสีเขียว
วิทยุ-ซีดี 6 แผ่น ให้คุณภาพเสียงที่ ใช้ได้
แต่เมื่อใช้งานจริง ปุ่มควบคุม ค่อนข้างจะทำให้ผู้ขับขี่
ละสายตาจากพวงมาลัยนานเหมือนกัน
รุ่น LTD เกียร์อัตโนมัติ ทุกรุ่น จะให้ลำโพงมา 6 ชิ้น
ขณะที่รุ่น XLT จะมีมาให้ 4 ชิ้น
ใต้แผงควบคุม มีช่องจ่ายไฟ สำหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าประเภทต่างๆ
เครื่องปรับอากาศ มี 2 ชุด
ทั้งด้านหน้า สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า
และยังมีช่องปรับอากาศ พร้อมสวิชต์ปรับระดับแรงลม
สำหรับเบาะแถว 2 กับ 3 มาให้ ลมแรงใช้ได้
พร้อมไฟอ่านหนังสือ ที่อาจจะแยงสายตาบ้างในตอนกลางคืน
ถ้าคุณเผลอขึ้นไปจ้องมัน….
จะเปิดทำงานได้ ก็ต่อเมื่อ กดสวิชต์ ใต้คอพวงมาลัยฝั่งซ้ายเสียก่อน
เบรกมือ ยังคงเป็นแบบดึงเข้าหาตัว ยกชุดมาจากรถกระบะ เรนเจอร์ – บีที-50 ง่ายต่อการบริหารจัดการอะไหล่ ทั้งในการผลิต และการบริการหลังการขาย
แม้ว่าชาวบ้านชาวช่องเขาจะเปลี่ยนไปใช้แบบคันโยก ดึงขึ้นข้างลำตัว ไปหมดแล้วก็ตาม
อีกจุดขายหนึ่งที่ยกชุดมาจากเวอร์ชันกระบะ ก็คือ ถาดลิ้นชัก ที่ซ่อนรูปได้
ใช้เก็บซ่อนของกระจุกกระจิกได้บ้าง ไม่มากนัก ส่วนช่องใส่สมุดคู่มือ
มีขนาดใหญ่โตใช้ได้
กล่องเก็บของ ที่คั่นกลางระหว่างผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า
ออกแบบ เป็น 2 ชั้น ชั้นบน ไว้เท้าข้อศอกได้แบบเหลื่อมๆ
ส่วนด้านล่าง ใส่ กล่อง ซีดีเพลง ได้ประมาณไม่เกิน 10 กล่อง
นอกจากนี้ ยังมีสวิชต์เปิด-ปิดการทำงานของระบบเตือนสิ่งกีดขวางขณะถอยหลังเข้าจอด Reverse Sensing system หรือที่เรียกว่า Park-sensors นั่นเอง (เฉพาะรุ่น LTD)
รวมทั้งสวิชต์ เปิดฝาถังน้ำมัน แบบกดปุ่มไฟฟ้า
ที่ดูไฮโซกว่าคู่แข่ง ติดตั้งบนแผงหน้าปัดบริเวณขวามือ ของพวงมาลัย
ด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย เอเวอร์เรสต์ใหม่ มีมาให้ครบครัน
ทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า และด้านข้าง รวม 4 ใบ (เฉพาะรุ่น LTD)
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า แบบ ELR 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ (Pre-tensioner & Load Limiter)
ส่วนแถวกลาง เป็นแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง (ตรงกลาง)และเบาะแถว 3 เป็นแบบ ELR 2 จุด ทั้ง 2 ตำแหน่ง
นอกจากนี้ยังมี คานกันกระแทกด้านข้าง มีกุญแจอิมโมบิไลเซอร์
และแผงไล่ฝ้ากระจกหลัง เป็นอุปกรณ์มาตรฐานของทั้ง 4 รุ่นย่อย
และอีกความพิเศษระดับไฮโซที่คู่แข่งยังไม่มีมาให้
คือ ไฟส่องสว่างใต้กระจกมองข้าง ที่ผมเรียกว่า ไฟส่องกบ…
เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกแก่เจ้าของรถผู้ซุ่มซ่าม ทำกุญแจตก หรือแม้แต่ทำสบู่ตก ข้างๆรถ เป็นประจำ
[b]*** รายละเอียดทางวิศวกรรม และผลการทดลองขับ***[/b]
ขุมพลังยกมาจากเรนเจอร์ใหม่ โดยยืนพื้นด้วยเครื่องยนต์ดีเซล ไดเร็กต์อินเจ็กชัน ใหม่จากเรนเจอร์ / บีที-50 ทั้ง 2 ขนาด
ในรุ่นขับเคลื่อนล้อหลัง 4×2 ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา XLT และเกียร์อัตโนมัติ LTD จะมีให้เลือกเพียงแบบเดียว
คือรหัส WLC 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว 2,499 ซีซี เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ พร้อมระบฉีดจ่ายเชื้อเพลิง คอมมอนเรล 143 แรงม้า
(PS) ที่ 3,500รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 33.62 กก.-ม. ที่ 1,800 รอบ/นาที
ส่วนขุมพลังรุ่นใหญ่ WEC "DURATORQUE 380 นิวตันเมตร" เพิ่มความจุกระบอกสูบเป็น 2,953 ซีซี
156 แรงม้า (PS) ที่ 3,200 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 38.72 กกม.ม. ที่ 1,800 รอบ/นาที จะเฉพาะรุ่น 4×4
ทั้งรุ่นเกียร์ธรรมดา XLT และเกียร์อัตโนมัติ LTD เช่นกัน คงต้องรอกันอีกสักพักกว่าที่ฟอร์ดจะพร้อมให้เราได้ทดลองขับกัน
ในรุ่นที่ทดลองขับนั้น ติดตั้ง เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ลูกใหม่ล่าสุด มาให้
ซึ่งฟอร์ด เคลมว่า มีการเปลี่ยนเกียร์ที่นุ่มนวลขึ้น ใช้กล่องสมองกล TCM
(Transmission Control Module)ที่เรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม และการลงน้ำหนักเท้าของผู้ขับขี่ ว่าจะขยี้คันเร่งหนัก-เบาเพียงใด อีกทั้ง เสื้อเกียร์ ทำจากอลูมีเนียมหล่อขึ้นรูป ดังนั้น รองรับแรงบิดมหาศาล ทั้งระดับ 330 นิวตันเมตร ในรุ่น 2,500 ซีซี
และ 380 นิวตันเมตร ในรุ่น 3,000 ซีซี ได้สบายๆ
จากการทดลองหาอัตราเร่ง ด้วยวิธี นั่ง 2 คน เปิดแอร์เฉพาะตอนหน้า และเปิดไฟหน้า
เพื่อให้ตัวรถมีภาระเต็มที่ ตามการใช้งานจริง ตัวเลขที่ได้ มีดังนี้
[b]อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.[/b]
ครั้งที่
1 16.12 วินาที
2. 16.07 วินาที
3. 16.06 วินาที
4. 15.98 วินาที
เฉลี่ย 16.05 วินาที
—————————————–
[b]อัตราเร่ง 80-120 กม./ชม.[/b] หรือช่วงเร่งแซงทั่วไป
กดคันเร่งจนจมสุดทันที จาก 80 กม.ชม. มีดังนี้
ครั้งที่
1 12.17 วินาที
2. 12.14 วินาที
3. 11.89 วินาที
4. 11.79 วินาที
เฉลี่ย 11.99 วินาที
—————————————–
เมื่อใช้เกียร์สูงสุด คือ เกียร์ 5
ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,000 รอบ/นาที
ความเร็ว 110 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องยนต์ 2,200 รอบ/นาที
—————————————–
[b]ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ [/b]
กดคันเร่งสุด ลากจนถึงรอบเครื่องยนต์ตัดเพื่อเปลี่ยนเกียร์
อ่านตัวเลขจากมาตรวัดในรถ
เกียร์ กม./ชม @ รอบ/นาที.
1 38 @ 3,800
2. 55 @ 3,800
3. 85 @ 3,800
4. 125 @ 3,600
5 155 @ 3,100
—————————————–
[b]ความเร็วสูงสุด จากมาตรวัดบนหน้าปัด[/b]
รุ่น 2.5 ลิตร 5AT 4×2
155 กิโลเมตร/ชั่วโมง ที่ 3,100 รอบ/นาที ที่เกียร์ 5
ไม่ว่าจะเป็นการขับขี่ในชีวิตประจำวัน เดินทางไกล หรือจะทำการทดลองอัตราเร่ง
ถ้าไม่บอกว่าใช้เครื่องยนต์ 2,500 ซีซี อยู่ ผมก็เผลอไผลนึกไปแล้วว่า น่าจะเป็นรุ่น 3,000 ซีซีมากกว่า
เพราะอัตราเร่งนั้น ทำได้ดีสมตัว สำหรับรถยนต์ที่มีน้ำหนักตัวเปล่ามากถึง 1,894 กิโลกรัม
(ไม่รวมของเหลว และน้ำหนักบรรทุกอื่นๆ)
และด้วยคุณงามความดีจากพละกำลังมหาศาลของเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี
ผสานการทำงานกับ เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ ที่ให้ความนุ่มนวลในการเปลี่ยนเกียร์
ได้อย่างดี แม้ในบางครั้งอาจมีอาการกระตุกอยู่บ้าง ในบางจังหวะ ก็ตาม
นั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ รุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อหลังของเอเวอร์เรสต์
ให้ความคล่องตัวจนเกินคาด โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง
เมือใดที่ต้องการออกตัว เร่งแซง แค่คิด แล้วกดคันเร่ง ภาพรวมถือว่าทำได้ดี
แม้ว่าเสียงของเครื่องยนต์ที่ครางเข้ามาให้ได้ยินในห้องโดยสารนั้น ค่อนข้างจะดังเอาเรื่อง
และชวนให้คิดถึงเสียงของเครื่องยนต์ติดท้ายเรือหางยาว ที่วิ่งรับส่งผู้โดยสารในคลองแสนแสบ
เสียงจะคราง ในลักษณะที่ชวนให้นึกถึงเสียงของรถยนต์ที่ใช้เกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผัน CVT
คือดังอย่างต่อเนื่อง และเสียงค่อยๆไต่บันไดเสียงจนสูงขึ้นอย่างช้าๆ
แต่ด้วยพละกำลังมหาศาล ที่เหลือเฟือ และให้ความยืดหยุ่นสูง
ทำให้พอจะแลกกับการทนรำคาญเสียงเครื่องยนต์ที่ดังเล็ดรอดเข้ามาได้
ส่วนหนึ่งต้องยกความดีให้กับแรงบิดจากเครื่องยนต์ 2,500 ซีซี คอมมอนเรล เทอร์โบ ที่ให้ความยืดหยุ่น
ได้อย่างดี การตอบสนองของคันเร่งไฟฟ้านั้น ทำงานได้ไว เกือบจะสมบูรณ์แบบ
ระบบกันสะเทือนยังคงเป็นแบบเดิม หน้า-อิสระปีกนกคู่ ทอร์ชันบาร์ พร้อมเหล็กกันโคลง หลัง-แหนบซ้อนพร้อมโช้คอัพ
แต่ถูกปรับปรุงให้นุ่มนวลขึ้นอีกเล็กน้อย จากรุ่นเดิมที่เคยยงโย่ยงโย่ง แบบเรือข้ามฟากกลางแม่น้ำเจ้าพระยา
นิ่มนวลจนออกแนวย้วยไปสักนิดเมื่อวิ่งทางไกล ไปบนถนนที่เป็นคลื่น จนกระทั่งสมบูรณ์ยิ่งขึ้น มีความนุ่มนวลกำลังดี
เมื่อเจอถนนแบบลอนคลื่น อย่างบางนา-ตราด ก็ไม่โคลงมากมายเท่ารุ่นก่อน แต่ยังพอเหลืออาการเดิมๆไว้ให้คิดถึงพอสังเขป
ที่สำคัญ โค้งทางลงทางด่วน บริเวณ พระราม 6 ซึ่งเป็นรูปตัว S ใครจะเชื่อว่า ด้วยยางเดิมๆ ติดรถที่ใจเสาะและพร้อม
ส่งเสียงร้องระงมได้อย่างง่ายดายนั้น เอเวอร์เรสต์ใหม่ จะพาผมทะยานสู่โค้งที่ว่านี้ ด้วยความเร็วได้ถึง 70 กิโลเมตร/ชั่วโมง!
นับว่า ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ สำหรับรถที่มีความสูง และจุดศูนย์ถ่วง สูงๆ อย่างนี้
ระบบบังคับเลี้ยว ยังคงเป็นแบบลูกปืนหมุนวน Ball and Nut
ดังนั้น เมื่อเทียบกับคู่แข่งในเรื่องความแม่นยำในการตอบสนองแล้ว
ทำใจได้เลยว่า ยังไม่ดีพอเท่าคู่แข่งแน่ๆ
อีกทั้งแรงสะบัดเมื่อพวงมาลัยคืนตัวกลับมาอยู่ในตำแหน่งล้อตรง
จะแรงเอาเรื่อง ดังนั้น การสาวพวงมาลัยแบบที่หลายๆคนคุ้นชินกันนั้น
คงต้องรอให้พวงมาลัยของ เอเวอร์เรสต์ ตีนิ้วเราเอง
แต่แม้ว่า ระบบพวงมาลัย จะขลุกขลิกหลุกหลิก ตามแบบฉบับ Ball and Nut
ทว่า เมื่อส่วนผสมทั้งหมดนี้ ถูกจับมารวมเข้าด้วยกัน
กลับกลายเป็นว่า เอเวอร์เรสต์ ให้ความคล่องตัวไม่แพ้รถยนต์นั่งขนาดกลางทั่วๆไปเลยทีเดียว
ถ้าจำเป็นต้องมุดซ้ายป่ายขวา ไปตามสภาพการจราจรที่เคลื่อนตัวไปได้อย่างช้าๆ สลับหยุดนิ่ง
เอเวอร์เรสต์ จะทำให้คุณรู้สึกอัศจรรย์ใจในความคล่องแคล่ว ทั้งที่เจ้าตัวก็มีความยาว 5 เมตรเศษๆ
คล่องตัวชนิดผิดแผกไปจากเอเวอร์เรสต์รุ่นก่อนอย่างน่าแปลกใจมิใช่น้อย
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของระบบเบรกเอบีเอส และระบบกระจายแรงเบรก อีบีดี ยังคงมีมาให้ตามพิกัด
นั้น แม้จะหยุดรถได้อย่างดีพอให้วางใจได้ ทว่า แป้นเบรกนั้น ลึกไปสักหน่อย การเพิ่มน้ำหนักเท้าลงบนแป้นเบรก
ให้มากขึ้นกว่าที่เคยขับในรถปกติทั่วไปสักนิด ไปจนถึง การกะระยะเบรกให้ห่างจากรถคันข้างหน้าอีกสักหน่อย
น่าจะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ เพราะเราต้องไม่ลืมว่า ถึงจะใช้ชุดหม้อลมเบรก และระบบกลไกต่างๆ
เหมือนๆ กับเวอร์ชันกระบะ และมีการปรับเซ็ตให้รองรับการใช้งานสำหรับเอเวอร์เรสต์ แล้ว ยิ่งรถมีน้ำหนักตัวมาก
เท่าใด ระยะเบรกจนถึงจุดหยุดนิ่งจะเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย
[b]***การทดลองอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง***[/b]
เรายังคงทดลองกันโดยใช้เส้นทางเดิม เหมือนที่เคยใช้มาตลอด
ขึ้นทางด่วนจากด่านพระราม 6 ไปลงที่ปลายสุดเส้นทาง ณ เชียงราก
แล้วเลี้ยวกลับ มาขึ้นทางด่วนที่เชียงราก ตรงดิ่งกลับมายังทางลงพระราม 6 อีกครั้ง
กลับมาเติมน้ำมันที่ปั้ม บางจาก ที่หัวจ่ายเดียวกันกับเมื่อครั้งเติมน้ำมันก่อนออกเดินทาง
โดยไม่ลืมเซ็ต 0 บนหน้าปัด Trip-A
ผู้ร่วมทดลองก็ยังคงเป็นน้องกล้วย เช่นเคย น้ำหนัก 48 กิโลกรัม + ผู้เขียน 90 กิโลกรัม
รวมแล้ว ประมาณ 138 กิโลกรัม
เปิดแอร์ และใช้ความเร็วไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในช่วงรถว่างหลังจากหลุดพ้นด่านเก็บเงินงามวงศ์วานแล้ว
รถคล่องตัว ทำความเร็วได้ต่อเนื่องจนถึงสิ้นสุดการทดลอง
ระยะทางที่แล่นไป บนมาตรวัด 88.9 กิโลเมตร
น้ำมันที่เติมกลับเข้าไป 7.653 ลิตร
[b]อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ย 11.61 กิโลเมตร/ลิตร[/b]
นับว่าไม่เลวเลยทีเดียว สำหรับเอสยูวีที่มีน้ำหนักตัวมากขนาดนี้
ถ้าพูดกันตรงๆก็คือ เมื่อเทียบกับผลการทดลองเก่าๆที่เคยทำมา
พบว่า ประหยัดกว่า ฟอร์จูเนอร์ ดีเซล เกียร์ธรรมดา (10 กิโลเมตร/ลิตร)และรุ่นเบนซิน 2,700 ซีซี (9.02 กิโลเมตร/ลิตร)ถือ่า ประหยัดกว่าเล็กน้อย
[b]*** สรุป ***[/b]
[b][i]จากเรือข้ามฟาก สู่เรือหางยาวติดล้อ ที่คล่องตัวเกินคาดคิด[/i][/b]
ด้วยกำลังเครื่องยนต์ ที่แรงขึ้น ให้แรงบิดมหาศาลขึ้น รวมทั้งการถ่ายทอดกำลังที่นุ่มนวลขึ้น
การเซ็ตระบบกันสะเทือนที่ลงตัวมากยิ่งขึ้น ทำให้ เอเวอร์เรสต์ใหม่ แปรสภาพจากเรือข้ามฟากอันแสนจะอุ้ยอ้าย
กลายเป็น เอสยูวี ที่ให้ความรู้สึกเดียวกับยามที่คุณนั่งอยู่ในเรือหางยาวท้องแบน ที่แล่นฉิว ในคลองแสนแสบ
ไปอย่างไม่น่าเชื่อ
ความคล่องตัวที่รถรุ่นใหม่ มีให้มากกว่ารุ่นก่อน อย่างน่างุนงง
แน่นอนว่า ด้วยพละกำลังจากเครื่องยนต์ ผสานการทำงานกับเกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ
มีส่วนช่วยอย่างมาก ที่เพิ่มศักยภาพให้เอเวอร์เรสต์ใหม่ คล่องตัวผิดไปจากรถยนต์ขนาดใหญ่ทั่วไปเช่นนี้
แต่คงต้องแลกด้วยเสียงครางของเครื่องยนต์ ที่แม้จะดังเล็ดรอดเข้ามาในห้องโดยสารน้อยกว่ารุ่นเดิม
กระนั้น ยังถือว่า ดังกว่าเพื่อนฝูงเขาอยู่ดี
จุดเด่นอื่นๆ ของเอเวอร์เรสต์ใหม่ อยู่ที่ความอเนกประสงค์ เพื่อการเดินทางสำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกจำนวนมาก
ด้วยขนาดห้องโดยสารที่ใหญ่โต และควรคู่กับำว่า "โอ่โถง" อย่างแท้จริง ชนิดที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำสหรับใช้ในงานโฆษณาแบบลอยๆ
เหมือนอย่างที่รถทั่วๆไปชอบหยิบยกมาใช้กันจนฟังแล้วชวนให้เอียนหู
กระนั้น เอเวอร์เรสต์เอง ก็ยังมีจุดที่ต้องปรับปรุง ทั้งในด้านรูปลักษณ์ภายนอก ที่ยังเน้นความเหลี่ยมสัน
ชนิดที่แม้จะปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นแล้ว แต่ก็ยังไม่โดนใจผู้บริโภคทั่วไปเท่าใดนัก
เว้นแต่ลูกค้าเฉพาะกลุ่ม ที่มองหาความคุ้มค่าเป็นหลัก
อีกทั้งการตอบสนองของพวงมาลัยนั้น จริงอยู่ว่า พวงมาลัยลูกปืนหมุนวน
ก็ยังคงทำหน้าที่ของมันได้ดี แต่น่าจะเข้าท่ากว่า ถ้าจะยกระดับตัวเอง หันไปใช้
ระบบแร็คแอนด์พีเนียน เหมือนอย่างชาวบ้านชาวช่องเขา รวมถึงการปรับแต่งระบบเบรก
ให้มีการตอบสนองที่น่าประทับใจกว่าที่เป็นอยู่อีกสักนิด
มาถึงขั้นนี้แล้ว
ถ้าคิดว่า ไม่อยากจะเล่นรถยนต์ยี่ห้อติดตลาด
ถ้าคิดว่ารับได้กับการบริการหลังการขาย ที่ยังต้องขยันส่งคอมเมนท์ๆ ให้ขยันปรับปรุง
เข้าไปเยอะๆ กว่ายี่ห้ออื่นอยู่สักหน่อย
ถ้าคิดว่า อยากได้ความสบายของทุกคนในครอบครัวเป็นเรื่องหลัก และได้อัตราเร่งกับความคล่องตัวมาเป็นของแถม
และถ้าคิดว่า จิตนิยม ใจชมชอบ ในรูปลักษณ์ความบึกบึนเพื่อครอบครัวไปทั้งคันเช่นนี้
และคิดว่า เมื่อได้ลองขับแล้ว เกิดชอบอกชอบใจขึ้นมา
ค่าตัว 999,000 บาท ในรุ่น เกียร์ธรรมดา XLT
และ 1,119,000 บาท ในรุ่น เกียร์อัตโนมัติ LTD
สำหรับรุ่น ขับเคลื่อนสองล้อหลัง ที่มาพร้อมเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร คอมมอนเรล เทอร์โบ
ก็ไม่น่าทำให้เกิดข้อกังขาใดๆกับการตัดสินใจของคุณอีกต่อไป
เว้นเสียแต่ว่า ภรรยาจอมขี้บ่นคนข้างกายคุณคนนั้นจะส่ายศีรษะ………..ในฐานะของคนออกตังค์
———————–///———————–
ขอขอบคุณ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท ฟอร์ด เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด
สำหรับความเอื้อเฟื้อรถยนต์ทดสอบในครั้งนี้
——————————–
สำหรับผู้ที่สงสัยว่า แล้วเวอร์ชันกระบะ จะเป็นอย่างไร
ขอเชิญอ่านบทความทดลองขับ Mazda BT-50 ประกอบไปด้วย
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/12/V4991573/V4991573.html
——————————–