เมื่อเร็วๆนี้ บริษัทเมอร์เซเดสเบนซ์ประเทศไทย ได้จัดรถปลั๊กอินรุ่นใหม่ล่าสุด E 350e พร้อมกับรถปลั๊กอินรุ่นอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 12 รุ่นที่มีจำหน่ายในเมืองไทย รวมทั้งหมด 19 คันให้สื่อมวลชนได้ทดสอบ ภายใต้แบรนด์ EQ ( Electric Intelligence by Mercedes Benz ซึ่งเป็นแบรนด์เกี่ยวกับเทคโนโลยี่ใหม่ของเบนซ์ โดยใช้เส้นทางกรุงเทพฯ-พังงา
ในโอกาสนี้ได้เดินทางไปมอบเงินสนับสนุนทางการศึกษาและอุปกรณ์เครื่องเขียนที่ต่อยอดมาจากกิจกรรมจัดทำชุดเครื่องเขียนเพื่อเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ที่จัดขึ้นที่ “เมอร์เซเดสเบนซ์ มีบ็อกซ์” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ให้แก่เด็กนักเรียนที่โรงเรียนเยาววิทย์ จังหวัดพังงา
โดยมีไฮไลท์ คือ E 350 e รถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป เมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา
ซึ่งมี3 รุ่น ได้แก่ E 350 e AMG Dynamic, E 350 e Exclusive และ E 350 e Avantgarde
และรถ รุ่นอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกัน อีกมากมาย เช่นThe C 350 e จำนวน 4 รุ่น
The S 500 e จำนวน 3 รุ่น
The GLE 500 e จำนวน 3 รุ่น ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ที่ได้รวบรวมรถยนต์ในกลุ่มปลั๊กอินไฮบริดครบทุกรุ่น โดยมีรถทั้งหมด 19 มาให้ได้ทดสอบสมรรถนะกันอย่างเต็มที่ตลอดเส้นทางความยาวกว่าแปดร้อยกิโลเมตรจากกรุงเทพฯ จนถึงจังหวัดพังงา
เมื่อมีรถหลากหลายรุ่นการขับขี่ก็ต้องก็จับสลากว่าใครจะได้คันไหน เพื่อความเสมอภาคกัน
คันแรกที่ดิฉันจับได้ก็คือตัว S 500 e AMG Premium ซึ่งคันนี้ได้ขับไปแล้วและได้ลงบทความไปแล้ว พร้อมกับรุ่น C 350 e Plug-In Hybrid
ก็ขอลิ้งค์บทความที่ได้เขียนไปแล้วนะคะ
ผู้หญิงขับรถ First Drive ลองขับ S500 e Plug –In Hybrid : โดยธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
ครั้งนี้จะขอพูดถึงตัวใหม่ล่าสุดนะคะ ก็คือตัว E350e Plug-in Hybrid
E350e เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ เครื่องยนต์ขนาด 1,991 ซีซี แรงม้าสูงสุด 211 แรงม้าที่ 5,500 รอบต่อนาที และ อีก 88 แรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้า และแรงบิดอยู่ที่ 350 นิวตันเมตรที่ 1,200 -4,000 รอบ และมีแรงม้าจากมอเตอร์ไฟฟ้าอีก 440 นิวตันเมตร
เกียร์แบบอัตโนมัติ 9 จังหวะ ( 9 G Tronic )พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย
อัตราเร่งแซงดีนะคะ 0-100 อยู่ที่ 6.2 วินาที
รูปร่างภายนอก ของ E350e
E350e มี 3 รุ่นคือ Avantgarde ,Exclusive และ AMG Dynamic
รุ่น avantgarde ไฟหน้า แบบ LED
สำหรับรุ่น Exclusive และ AMG Dynamic ไฟหน้าจะเป็นแบบ Multibeam LED โดยโคมหน้าแต่ละโคมจะประกอบด้วยหลอดไฟ LED 84 หลอด มีระบบปรับโคมไฟหน้ารถตามการเลี้ยวของพวงมาลัย มีระบบเพิ่มความส่องสว่างขณะเลี้ยวโค้ง และระบบปรับไฟสูงต่ำอัตโนมัติ
รุ่น Exclusive กระจังหน้าแบบคลาสสิค พร้อมตราสัญญลักษณ์เมอร์เซเดสเบนซ์ติดอยู่เหนือฝากระโปรงหน้า สำหรับคนที่ชอบขับไปก็เห็นโลโก้เบนซ์ไปด้วยเหมือนเบนซ์รุ่นก่อนๆ
ส่วนอีก 2 รุ่น เป็นกระจังหน้าสีเงินเสริมโครเมี่ยมพร้อมตราสัญลักษณ์เมอร์เซเดสเบนซ์ติดอยู่ที่กระจังหน้า ออกมาแนววัยรุ่นหน่อย
ชุดไฟขับขี่กลางวันก็ดูแปลกตาดี
ภายใน
โดยสำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e ได้รับการออกแบบให้เบาะที่นั่งตอนหลังสามารถพับลง แบบ 1/3 และ 2/3 เพื่อความสะดวกในการบรรจุสัมภาระ
ซึ่งรุ่น The E 350 e Avantgarde และ The E 350 e Exclusive ภายในได้รับการตกแต่งสไตล์หรูหรา มาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง ARTICO พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชั่นหุ้มหนัง nappa
ในขณะที่รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับเบาะนั่งหุ้มหนัง nappa, พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นแบบสปอร์ตท้ายตัดหุ้มหนัง nappa,
นอกจากนี้ สำหรับรุ่น The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับหน้าจอแสดงผลข้อมูลแบบ widescreen cockpit เพิ่มความพิเศษ
สำหรับรถยนต์รุ่น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับระบบแสดงผลข้อมูลการขับขี่บนกระจกบังลมหน้า (Head-up Display)
ในส่วนของระบบมัลติมีเดียนั้น The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับระบบเสียง รอบทิศทาง Burmester® นอกจากนี้ ทั้ง 3 รุ่นยังมาพร้อมกับ ระบบ COMAND Online พร้อม Controller, ระบบควบคุมและสั่งงานด้วย Touchpad
ระบบสั่งการด้วยเสียง (LINGUATRONIC) เฉพาะภาษาอังกฤษ
ฟังก์ชั่นเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการ iOS (Apple CarPlay™) และ Android (Android Auto) รวมถึงการติดตั้งระบบแผนที่นำทาง
พร้อมเพิ่มสุนทรียภาพในการโดยสารด้วยระบบไฟสร้างบรรยากาศในห้องโดยสารที่ปรับสีได้ถึง 64 สีอีกด้วย
ความปลอดภัยและเทคโนโลยี
E 350 e มาพร้อมกับระบบ “Mercedes-Benz Intelligent Drive” เพื่อให้ผู้ขับขี่ และผู้โดยสารได้รับความปลอดภัยสูงสุด ด้วยระบบการช่วยเหลือและระบบความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ โดยระบบดังกล่าวมีพื้นฐานมาจากแนวคิดการปกป้องก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุเข้าไว้ด้วยกันภายใต้ระบบควบคุมอัจฉริยะเพียงหนึ่งเดียวที่ทำงานสอดประสานกัน
ไม่ว่าจะเป็น ระบบช่วยการนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ (Parking Pilot including Active Parking Assist) และระบบชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไร้สาย (Wireless charging for mobile phone) มีที่ชาร์ตแบตโทรศีพท์แบบไร้สาย อยู่ใต้คอนโซลกลาง เอาโทรศัพท์ใส่เข้าที่ช่องก็ชาร์ตได้เลย
The E 350 e Avantgarde จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพด้านหลังขณะถอยรถ ในขณะที่ The E 350 e Exclusive และ The E 350 e AMG Dynamic จะมาพร้อมกับกล้องแสดงภาพ รอบทิศทาง รวมถึงระบบช่วยรักษาระยะห่างจากรถที่อยู่ด้านหน้า (Distance Pilot DISTRONIC) และระบบช่วยเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา (Blind Spot Assist) ที่ติดตั้งขึ้นเป็นครั้งแรก ในรถยนต์รุ่นนี้อีกด้วย
เมื่อถึงช่วงของการได้ขับขี่ก็เป็นวันที่ 3 แล้วก็คือวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ ก็ได้ขับคันนี้ไปยังโรงเรียนเยาววิทย์ที่จังหวัดพังงา เส้นทางเจอทั้งสภาพฝนตกและบางช่วงก็มีการทำถนน รถคันี้นให้การขับขี่ที่สนุกสนาน การเกาะถนนดี พวงมาลัยกระชับมือ
มีของเล่นในรถเยอะ ไม่ว่าจะเป็นจอหน้าที่แสดงผลการขับขี่ เราสามารถกดเปลี่ยนสีให้เป็นแบบธรรมดาที่สบายตาหรือ แบบสปอร์ตสีก็จะจัดจ้านขึ้นมา
ส่วนการขับขี่ก็สามารถเลือกว่าจะชอบขับแบบไหน แบบ Comfort สบายๆนุ่มนวล หรือแบบSport และ Sport + ซึ่งก็ออกตัวขับขี่ปรู๊ดปร๊าดมากยิ่งขึ้น และเลือกการขับขี่ได้แบบที่เราชอบ อย่างเช่นขับขี่แบบ Sport แต่ยังอยากนั่งสบายแบบ Comfort เราก็ตั้งโปรแกรมที่เขาให้มา รถก็จะปรับตามสภาพที่เราตั้ง
การเปลี่ยนเกียร์ของเกียร์ 9 จังหวะ ก็นิ่มนวลไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนเกียร์
การขับขี่เราจะขับขี่ในหมวดไฮบริด เราก็เลือกไปที่ไฮบริด ซึ่งเป็นการทำงานผสานกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
หรือจะใช้ไฟฟ้า ในระบบ EV โหมด ก็สามารถทำได้ไกลถึง 33 กิโลเมตร สามารถวิ่งด้วยความเร็วถึง 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกโหมดการทำงานของระบบ plug-In HYBRID ได้ถึง 4 โหมด
HYBRID: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20 % ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต ( S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว มอเตอร์ไฟฟ้าไม่ทำงาน
E-MODE: ขับเคลื่อนโดยใช้มอเตอร์ไฟฟ้าอย่างเดียว ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 33 กิโลเมตร โดยไม่คายไอเสีย ระยะทางขึ้นอยู่กับความเร็วและและระดับพลังงานของแบตเตอรี่
E-SAVE: ในขณะที่ใช้ E-SAVE เพื่อจะเดินทางเข้าเมืองที่มีการจราจรหนาแน่น ก่อนเดินทางก็ชาร์จแบตเตอรี่จนเต็ม(ชาร์จไฟบ้าน) ระดับกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่ก็จะบันทึกค่าเอาไว้ และรถยนต์จะใข้ระบบเครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน พอถึงช่วงจราจรหนาแน่นในเมือง ก็สามารถปรับเปลี่ยนมาเป็น E –MODE คือใช้แต่พลังงานไฟฟ้าอย่างเดียว โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง การทำงานของระบบนี้ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้านที่คันเร่งที่เท้า หากกดแป้นคันเร่งเกินแรงต้านเมื่อใด เครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ในการขับเคลื่อนรถยนต์ทันที ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงในการขับขี่ และรักษามลภาวะด้วย เพราะไม่มีไอเสีย
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลาง เมื่อขับเคลื่อนเครื่องยนต์จะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลย แรงหมุนของเครื่องยนต์จะแปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าไปสะสมในแบตเตอรี่ และจะมีการแปลงพลังงานที่เกิดจาการชะลอความเร็วหรือเบรก ไปเป็นพลังานไฟฟ้าสะสมไว้ในแบตเตอรี่ เมื่อชาร์จไฟเต็มก็จะเปลี่ยนไปเป็นระบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
และในการเดินทางครั้งนี้ เราก็ได้มีการขับประหยัดน้ำมันกันโดยปรับไปที่ E-Mode ซึ่งได้ทำการชาร์จไฟจนเต็มไว้แล้ว
แต่ก็เจอสภาพถนนช่วงเซาท์เทิร์นซีบอร์ด ฝนตกหนักมาก และเมื่อฝนซาลงเราก็เร่งใช้ความเร็วกันถึง 120และ 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ซึ่งคันที่ทำคะแนนได้ดีสุดคือรถกินน้ำมันน้อยสุด ของE350 e คือ 14.49 กิโลเมตร/ลิตร ระยะทางที่ใช้ ไฟฟ้าในการวิ่งได้ 23 กิโลเมตร
ส่วนตัว S500e :ที่ดิฉันขับช่วงประหยัดน้ำมัน คันที่ทำคะแนนได้ดีสุดไม่ใช่คันดิฉันนะคะ ทำได้ ประมาณ 11.62 กิโลเมตร/ลิตร ระยะทางที่ทำได้ 32 กิโลเตร
ก็ดูแล้วว่าขับโดยใช้ฟ้าอย่างเดียว ผลน่าพอใจ เพราะขับแบบที่เราใช้ในชีวิตประจำวันกันเลย
ราคา
• The E 350 eE350e Plug-In Hybrid Avantgarde ราคา 3,490,000 บาท
• The E 350 eE350e Plug-In Hybrid Exclusive ราคา 3,790,000 บาท
• The E 350 eE350e Plug-In Hybrid AMG Dynamic ราคา 4,090,000 บาท
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…