ฟังดูอาจจะน่าอิจฉา ถ้าผมจะบอกว่า ช่วงเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่ผมมีโอกาส
ได้ทดลองขับ รถยนต์ระดับพรีเมียม รุ่นหลักๆ ที่ยังมีผู้คนสนใจจะซื้อหามาเป็นเจ้าของกัน
ติดกันทุกช่วงวีคเอนด์
แม้จะต้องเน้นย้ำกันเหมือนเช่นเป็นประจำว่า โปรดอย่าอิจฉาเลยครับ
ความน่าอิจฉาที่คุณๆเห็นกันนี้นั้น มันพ่วงมาพร้อมกับความรับผิดชอบที่หนักอึ้ง
ชวนให้ทึ่ง และหวาดเสียว ตามความแพงของราคารถกันเลยทีเดียว
แต่พอมานั่งนึกดูอีกที…จะมีสักกี่ครั้งในชีวิต ที่คุณจะได้มีโอกาส สัมผัสกับรถยนต์ระดับที่ผู้คนเขาบอกกันว่า "หรู" เหล่านี้มาขับเล่น
สลับสับเปลี่ยนกันในทุกช่วงปลายสัปดาห์ ตลอดทั้งเดือน?
สัปดาห์หนึ่ง ได้ขับ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E200NGT ขณะที่สัปดาห์ถัดมา ก็เปลี่ยนมาขึ้นบังเหียนของ วอลโว S80 ใหม่ 3.2 ลิตร
(ที่ยังอยู่ในแผนเตรียมรีวิวในลำดับถัดๆไป "แน่นอน" และที่ยังไม่เข็นทั้งคู่ออกมา เพราะมันมีรายละเอียดเบื้องลึกให้ต้องศึกษาเยอะ
กว่ารถปกตินิดหน่อยนั่นเองครับ)
แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ จะขับรถแนวไฮโซทั้งที ก็ควรจะลองให้ครบสูตร เราก็ควรจะมารื้อฟื้นความทรงจำกันสักหน่อย
กับคู่แข่งสำคัญของทั้งคู่……บีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 ใหม่
ยิ่งตอนนี้ เขาเพิ่งปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ไปได้พักใหญ่เสียด้วย
แม้ว่าจะมีเสียงบ่น จากเจ้าของรถสุดซวย ผู้เป็นเจ้าของสื่อมวลชนรายหนึ่ง ถึงความไม่จริงใจในการแก้ปัญหา
ของ BMW Thailand กรณี ระบบล็อกประตูไม่ทำงาน จนเจ้าตัวถึงกับประกาศจะเดินหน้าทวงความชอบธรรมกันเลยทีเดียว
แต่นั่นก็ยังไม่ได้ทำให้ความสนใจของรถรุ่นนี้ในสายตาของลูกค้าที่จะซื้อลดลงไปมากนัก
แม้จะไม่ต้องย้อนประวัติกันนานนัก แต่เชื่อเถิดว่า คงมีน้อยคนนักที่จะจำได้ว่า
4 กรกฎาคม 2003 เป็นวันแรกที่โลกได้ยลโฉมภาพคันจริงของ ซีรีส์ 5 ใหม่ E60
ก่อนจะไปพบกับคันจำหน่ายจริง บนแท่นหมุนในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์
ช่วงปลายเดือนกันยายนปีเดียวกัน
11 กุมภาพันธ์ 2004 บีเอ็มดับเบิลยู ไทยแลนด์ เปิดตัวรุ่น E60 ครั้งแรกในเมืองไทย
อย่างฉับไว ภายหลังตลาดโลกเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แม้จะไม่ทันงาน มอเตอร์ เอ็กซ์โป ที่เมืองทองธานี ก็ตาม
จากนั้น ก็มีการปรับปรุงเครื่องยนต์ กระตุ้นตลาดกันอยู่ 2-3 ครั้ง ทั้งการเพิ่มรุ่นย่อย 520i
ตามด้วย 525i เครื่องยนต์ใหม่ ที่ออกมาพร้อมกับ 530i และล่าสุดกับ 520d รถยนต์ขุมพลังดีเซลคันแรก
ที่ BMW Thailand สั่งเข้ามาประกอบขายในเมืองไทย
ส่วนเวอร์ชัน ไมเนอร์เชนจ์ เผยโฉมสู่สายตาชาวโลก เมื่อ
และพร้อมเปิดตัวในเมืองไทย เมื่อ ที่ผ่านมา
นับตั้งแต่เปิดตัวในเมืองไทยมา ซีรีส์ 5 คันนี้ ถือเป็นคันที่ 4 ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัส
นับตั้งแต่ 525i 530i 520d ดีเซล
ในเมื่อก่อนหน้านี้ ผมเคยรายงานการทดลองขับ ซีรีส์ 5 ตัวถัง E60 ทั้ง 3 คันไปก่อนหน้านี้แล้ว ใน…
รีวิวของ 525i เดิม และ 530i ที่ http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/05/V4413078/V4413078.html
และรุ่น 520d ดีเซล ที่ http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/10/V4756958/V4756958.html
ดังนั้น รายงานคราวนี้ จึงขอพูดถึงเฉพาะในสิ่งที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ทั้งในทางที่ดีขึ้น และดูเหมือนว่าจะไม่ได้ดีขึ้น
กล่าวคือเสมอตัว พอๆกับของเดิม
ส่วนเวอร์ชัน ไมเนอร์เชนจ์ เผยโฉมสู่สายตาชาวโลก เมื่อ ช่วงปี 2007
และพร้อมเปิดตัวในเมืองไทย เมื่อ 30 สิงหาคม 2007 ที่ผ่านมา
ความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเต็มตา
ภายใต้ตัวถังที่มีความยาว 4,841 มิลลิเมตร กว้าง (รวมกระจกมองข้าง) 2,030 มิลลิเมตร
สูง 1,498 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อ 2,888 มิลลิเมตร
อยู่ที่ ลายกระจังหน้าโครเมียมที่เด่นชัดขึ้น
เปลือกกันชน ลายใหม่ คาดด้วยแถบโครเมียมเส้นยาว
รวมทั้งล้ออัลลอย ลายใหม่
กระจกมองข้างมีขนาดเล็ก แต่ยังพอมองเห็นได้
แล้วก็ชุดไฟท้ายลายใหม่ ที่สวยงาม สว่างโล่มากขึ้น
หากเบรกเบาะๆ ไฟเบรกก็จะติดขึ้นมาแค่ข้างเดียว
แต่ถ้าเบรกกระทันหัน ไฟเบรกจะขึ้นสว่างแดงโล่ทั้ง 2 ดวง ต่อ 1 ข้าง
สำหรับภายในห้องโดยสารนั้น ความเปลี่ยนแปลงมีเพียงเล็กน้อย
เริ่มจากระบบคอมฟอร์ตแอกเซส (Comfort Access) ที่กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน
ระบบนี้ผู้ขับขี่สามารถปลดล็อคประตูโดยไม่จำเป็นต้องปลดล็อคที่รีโมท
เพียงพกกุญแจคีย์การ์ดเอาไว้กับตัว ก็ใช้มือจับที่เปิดประตู ดึงออกมาได้
และกดปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ได้โดยไม่จำเป็นต้องหยิบกุญแจออกมาจากกระเป๋า
และเมื่อออกจากรถ ระบบจะทำการล็อคอัตโนมัติ
ทันทีที่ กดปุ่มติดเครื่องยนต์ ปีกของเบาะนั่งปรับด้วยไฟฟ้า จะโอบเข้ามากระชับกับลำตัวของผู้ขับขี่
ในตำแหน่งที่ตั้งเอาไว้เมื่อครั้งสุดท้ายที่ใครสักคนขึ้นขับขี่
เสียงของมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ชุดปรับเอนเบาะ ยังคงดังครางน่ากลัว เป็นเบาะนั่งไฟฟ้าของ Ju-On เหมือนเดิม…
เบาะนั่งยังคงให้ความนุ่มสบายได้ดี พนักศีรษะ มีออพชันปรับให้กระขับเข้ากับความต้องการมากยิ่งขึ้น
และทั้งฝั่งคนขับ กับฝั่งผู้โดยสาร มีระบบบันทึกความจำ 3 ตำแหน่ง
เรียกได้ว่า เบาะนั่งฝั่งคนขับและผู้โดยสารนั้น เลือกปรับกันตามความพอใจจริงๆ
ที่วางแขน บริเวณฝาปิดคอนโซลกลาง เลื่อนเข้า-ออกเป็นที่วางแขนได้เฉพาะฝั่งคนขับ
แถมยังมีสวิชต์ ปรับตำแหน่งให้ส่วนรองรับเบาะ บริเวณ
ข้อพับ ยื่นเข้ายื่นออกได้ตามต้องการ
ส่วนด้านหลัง มีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง พร้อมกับ ช่องเสียบหูฟัง AUX บริเวณด้านหลังคอนโซลกลาง
การเข้าออกยังคงเหมือนเดิม ทำได้ไม่ยากเย็นนัก
แต่การเข้าออกที่บอกว่าทำได้ไม่ยากเย็นนัก มิได้หมายความว่า สบายเท่าคู่แข่ง
เพราะเบาะหลังยังคงนั่งแล้วจมลงไปค่อนข้างลึก เพราะออกแบบให้เน้นพื้นที่เหนือศีรษะโล่งสบายที่สุดเท่าที่จะทำได้
ดังนั้นจึงแทบไม่มีความแตกต่างจากความรู้สึกในรถรุ่นก่อนหน้านี้ที่เคยสัมผัสมา
ชุดที่วางแขนตรงกลาง ออกแบบใหม่
ที่วางแก้ว มีฝาเลื่อนเปิด-ปิด ให้ดูหรูหราสมกับราคาที่แพงเอาเรื่องของรถเสียที
ไม่ใช่แค่มีที่วางแก้ว ดู Look cheap เฉกเช่นรถรุ่นที่ผ่านมา
มีม่านบังแดดทั้งที่กระจกบังลมด้านหลัง ซึ่งใช้สวิชต์ไฟฟ้าอัตโนมัติ
และม่านบังแดดที่หน้าต่าง ของประตูคู่หลัง ซึ่งใช้ระบบอัตโนมือของคนนั่ง
ส่วนแผงหน้าปัดนั้น ภาพรวมแล้วยังคงเหมือนเดิม
แต่ ถ้าสังเกตให้ดีๆ จะเห็นว่า พวงมาลัย มีลวดลายประดับมากขึ้น
ใต้แผงควบคุมสวิชต์ระบบปรับอากาศแบบไฟฟ้า แยกฝั่ง ซ้าย-ขวา
มีสวิชต์ เร่งและลดระดับเสียง (โดยไม่ต้องพึ่งพาระบบ i-Drive
ที่แสนจะยุ่งยากในการใช้งาน กว่าจะเข้าถึงรูปแบบการปรับเปลี่ยนที่ต้องการ
ถูกปรับปรุงให้ดูดีมีชาติตระกูลขึ้น
ส่วนคันเกียร์ ที่มีรูปร่างแปลกตา เราจะเก็บไว้พูดคุยกันทีหลัง
ระบบโทรศัพท์ มี Bluetooth มาให้
ไหนๆก็ไหนๆ ก็ต้องทดลองใช้งานกันสักนิด ซึ่งการใช้งานนั้น
ไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าใดนัก ต้องศึกษากันสักนิดนึง
(เครื่อง iPhone นั่น ไม่ใช่ของผมนะครับ)
ส่วนรายละเอียดด้านอุปกรณ์ความปลอดภัย และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆ
ภาพรวมแล้วไม่ถึงกับแตกต่างจากเดิมมากนัก
ในกรณีนี้ ผมขอไม่แนะนำให้ เข้าไปเช็คใน http://www.bmw.co.th
เพราะขนาดสเป็กของเครื่องยนต์ ยังไม่ได้มีการอัพเดทให้ตรงกันกับปัจจุบันเลย
ทางที่ดี เดินไปที่โชว์รูม BMW ไปเลยจะดีกว่า
ส่วนระบบ i-Drive ยังคงไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากเดิมมากนัก
คือยังคงใช้งานยุ่งยากและวุ่นวาย กว่าจะเข้าถึงโปรแกรมที่ต้องการ
ต้อง คลิ๊กๆ หมุนๆ กดๆ กันพอสมควร ไม่เหมาะกับการขับรถไป
ควานหาฟังก์ชันที่ต้องการไป
***** รายละเอียดทางวิศวกรรม และผลการทดลองขับ *****
สำหรับการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ของ ซีรีส์ 5 ตัวถัง E60 ในบ้านเรานั้น
มีการเปลี่ยนแปลงของเครื่องยนต์เกิดขึ้นด้วย และครั้งนี้ ออกจะชวนให้ปวดหัวเอาเรื่อง!
แต่ที่น่าปวดหัวยิ่งกว่าก็คือ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ผมพบว่า ตัวเลขที่ BMW Thailand
แจกมาให้กับสื่อมวลชนนั้น ข้อมูล ไม่ตรงกับเว็บของบริษัทแม่ในเยอรมัน…
จนผมเองไม่แน่ใจว่าจะเชื่อถือ และยึดข้อมูลของใครดี?
จากข้อมูลที่ต้องเช็คกันไปกันมา ทั้งจากใน เว็บของ BMW เยอรมัน และ ฝั่งไทย (ซึ่งไม่ได้อัพเดทข้อมูลเอาเสียเลย)
ไปจนถึงเว็บไซต์ที่ถือว่ารวมข้อมูลของ ซีรีส์ 5 E60 ไว้ละเอียดใช้การได้อย่าง http://www.E60.net
ที่มีผู้แนะนำผมเอาไว้ ในกระทู้รีวิวของ ซีรีส์ 5 ครั้งก่อนๆ ยืนยันได้ว่า E60 รุ่นนี้มีเครื่องยนต์
ที่ประจำการอยู่ใต้ฝากระโปรง นับตั้งแต่วันเปิดตัวในปี 2004 จนถึงวันนี้ ปาเข้าไปถึง 24 แบบ!!
แล้วเวอร์ชันไทยละ?
เดิมที่ 525i ในบ้านเรานั้น ใช้เครื่องยนต์ M54B25 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว "2,494 ซีซี"
190 แรงม้า (BHP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร (23.9 กก.-ม.) ที่ 3,500 รอบ/นาที
จากนั้น จึงมีรุ่น "เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ มาเป็นรหัส N52B25 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว "2,494 ซีซี"
(เฉพาะเวอร์ชันอเมริกาเหนือ แจ้งสเป็กเครื่องรหัสนี้มีขนาดความจุ 3,000 ซีซี! แปลกดีไหม?)
เพิ่มกำลังขึ้นเป็น 218 แรงม้า (BHP) ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร (25.47 กก.-ม.) ที่ 2,750 รอบ/นาที
แต่ในรุ่น 525i ไมเนอร์เชนจ์ นั้น ตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นไป กลับเปลี่ยนมาใช้เครื่องยนต์ใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น
ติดตั้งเครื่องยนต์ รหัสใหม่ N53B30 เป็นบล็อก 6 สูบ เรียง ขนาด "2,996 ซีซี" (หรือตีเสียว่า 3.0 ลิตร)
ให้กำลัง 218 แรงม้า (PS) ที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 250 นิวตัน-เมตร (25.47 กก.-ม.) ที่รอบตั้งแต่ 2,750-4,250 รอบต่อนาที
แล้วรุ่น 530i ละ?
คำตอบก็คือ ทาง BMW Thailand เขาตัดออกไปจากสารระบบเรียบร้อยแล้วครับ!!
ถ้าไม่ตัดออกไปก็คงไม่ไหว เพราะสเป็กใหม่นั้น เครื่องยนต์สำหรับ 530i
กลายเป็นรหัสใหม่ N53B30 6 สูบเรียง DOHC 24 วาล์ว 2,996 ซีซี
272 แรงม้า (HP) ที่ 6,700 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 320 นิวตันเมตร (32.6 กก.-ม.) ที่ รอบต่ำเพียง 2,750 รอบ/นาที
ซึ่งถือว่าแรงทะลุพิกัดแรงม้า ที่ทางรัฐบาลไทยใช้กำหนดไว้ในการเสียภาษี
(ไม่เกิน 220 แรงม้า) ซึ่งจะทำให้ราคาพุ่งพวดพาดขึ้นไป จนแพงเกินกว่าที่ลูกค้าจะอยากจ่าย
สรุปง่ายๆก็คือ
ตัวถัง E60 นั้น 525i เดิมเป็นเครื่อง 2.5 ลิตร
แต่ในรุ่น ไมเนอร์เชนจ์ อัพเกรดมาใช้เครื่องยนต์ 3.0 ลิตร!!
ซึ่งกลับมีตัวเลขแรงม้า เท่ากันกับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ที่ปลดประจำการออกไป!
แล้วถ้าเช่นนั้นทำไมไม่เปลี่ยนมาใช้ชื่อ 530i ไปเลยละ?
ผมก็ตอบได้คำเดียวว่า "ไม่ทราบครับ"
ส่วนทางเลือก ขุมพลังอื่นๆ ก็คือ 520d ยังคงใช้เครื่องยนตด์เดิม 163 แรงม้า
ไมได้เปลี่ยนเป็นเวอร์ชัน 177 แรงม้า ตามตลาดโลกแต่อย่างใด
ขณะที่รุ่น 523i นั้น วางเครื่องยนต์ N53B25 2.5 ลิตร
190 แรงม้า (BHP) ที่ 6,100 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 240 นิวตันเมตร (24.45 กก.-ม.) ที่ 3,500 รอบ/นาที
ซึ่งผมยังไมได้ทำการทดลอง และคิดว่าอาจจะไม่จำเป็น เพราะมีแนวโน้มว่าตัวเลขสมรรถนะ น่าจะใกล้เคียงกัน
ไม่หนีจากกันมากนัก
ทั้ง 520d 523i และ 525i จะ ส่งกำลังด้วย เกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะใหม่
ซึ่งมีหน้าตาเป็น จอยสติ๊ก หรือที่แปลกันได้อย่างน่ารักน่าชังว่า "แท่งหรรษา"
วันที่ไปรับรถ ทันทีที่ขึ้นขับ ผมถึงกับอึ้ง และได้แต่ถามทางเจ้าหน้าที่ของ BMW ว่า แล้วผมจะออกรถยังไง?
เพราะดูคันเกียร์ที่เปลี่ยนใหม่นั่นสิครับ ผมงงในทันทีที่เห็น
เจ้าหน้าที่ ก็บอกเพียงแต่ว่า เหยียบเบรก ก่อนเปลี่ยนเกียร์เพื่อออกรถ
ถ้าต้องการถอยหลัง ให้กระดิกคันเกียร์ ดันขึ้นไปที่เกียร์ R
ถ้ากระดิกกลับลงมา 1 ที จะเป็นเกียร์ N หรือเกียร์ว่าง
แต่ถ้าจะเดินหน้า ก็ให้กระดิกคันเกียร์ลงมา 1 ครั้ง เพื่อเข้าเกียร์ D
แต่ถ้าต้องการเปลี่ยนโหมดการขับขี่เพื่อเล่นและเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์เอง
ให้ผลักคันเกียร์ ไปทางซ้าย แล้วจะโยกขึ้น หรือโยกลง ก็ตามแต่ใจปราถนา
และท้ายที่สุด ถ้าต้องการเข้าจอด เพียงแต่เคลื่อนรถไปยังตำแหน่งที่ต้องการให้เรียบร้อย
แล้วกดปุ่ม P บนหัวเกียร์ เท่านี้ก็สิ้นเรื่อง
หลานท่านอ่านแล้วรู้สึก พิศวง แต่ พอผมลองใช้จริง ก็ไม่ได้น่างุนงงแต่อย่างใด
มันก็คล้ายๆกับการขับรถที่ใช้เกียร์อัตโนมัติทั่วๆไปแค่นั้นเอง
เกียร์ลูกนี้จะทำงานประสานกับระบบควบคุมความเร็วคงที่และระบบเบรก (Cruise control with break function)
ซี่งจะคอยควบคุมความเร็วให้คงที่อยู่ตลอดเวลาแม้จะมีแรงฉุดต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเครื่องยนต์ เช่นขึ้นสะพานที่ลาดชัน
เช่นสะพานพระราม 9 ระบบเกียร์จะเปลี่ยนมาสู่ตำแหน่งที่ต่ำลงโดยอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มความเร็วให้อยู่ในระดับที่ล็อกไว้
รวมไปถึงระบบเบรคที่จะคอยรักษาความเร็วให้คงที่ เช่น ในสถานการณ์เมื่อต้องขับรถลงเขาเป็นระยะทางไกลๆ
เรายังคงทดลองจับเวลาหาอัตราเร่งกัน ด้วยวิธีการเดิม คือ นั่ง 2 คน เปิดแอร์ และเปิดไฟหน้า
และทดลองจับเวลา กันในช่วงกลางคืนเพื่อความปลอดภัยของผู้ร่วมสัญจรบนท้องถนนในยามกลางวัน
ผู้ร่วมทดลองคราวนี้ คือ น้องกล้วย Login "น้องชายคนเล็ก" สมาชิกเว็บไซต์ Pantip.com ห้องรัชดา
ซึ่งเป็นห้องที่พูดคุยกันเรื่องรถยนต์ น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม รวมกับผู้ขับ น้ำหนักตัว 92 กิโลกรัม
รวมแล้ว 140 กิโลกรัม เช่นเ้คย
และต่อไปนี้คือ ตัวเลขที่ได้ เมื่เปรียบเทียบกับ ซีรีส์ 5 E60 คันอื่นๆ
ที่ผมเคยทดลองเก็บข้อมูลเอาไว้
น้ำหนักตัวรถเปล่าๆ ที่ทางโรงงานเคลมมา อยู่ที่ 1,585 กิโลกรัม
ถ้ารวมน้ำหนักบรรทุก และของเหลวเต็มอัตราศึก จะอยู่ที่ 2,070 กิโลกรัม
อย่าแปลกใจ ถ้าคราวนี้ รายงานผลการทดลองขับ จะสั้นกว่ารถหลายๆคันที่คุณๆเคยอ่านกันมา
เพราะ ถ้าให้เปรียบเทียบกันกับ 525i รุ่นเดิม ก็คงต้องบอกว่า เครื่องยนต์ใหม่ ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นนั้น กลับให้สมรรถนะที่ดีขึ้นกว่าเดิมจริง แต่ไม่มากนัก
โดยเฉพาะกับคนที่คุ้นเคยใน 525i รุ่นเดิม อาจจะยังไม่ค่อยรู้สึกมากนัก เพราะตัวเลข อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น ต่างกันแค่ราวๆ 0.4 วินาที โดยประมาณ
จริงอยู่ว่าตัวรถพุ่งทะยานออกไป แต่ก็ยังไม่ถึงกับให้ความแตกต่างจากรุ่นเดิม
จะให้แตกต่างกันก็ใช่เรื่อง เพราะในเมื่อตัวเลขแรงม้า แรงบิด ใกล้เคียงกันกับเครื่องยนต์ N52 ใน 525i รุ่นก่อนปรับโฉม มากขนาดนี้
ทั้งที่มีความจุกระบอกสูบเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ลิตร เป็น 3.0 ลิตร ส่วนหนึ่งคงปฏิเสธได้ยากว่า มีความเกี่ยวข้องกับการตอนแรงม้า
ให้เป็นไปตามข้อกำหนดทางด้านภาษี ทั้งในไทย และประเทศต่างๆ ซึ่งต้องสอดคล้องกับความต้องการของตลาดโลกด้วย
อย่างไรก็ตาม ตั้งข้อสังเกตว่า เมื่อต้องใช้ความเร็วสูงนั้น ตัวรถกลับนิ่งกว่าเดิม และไม่มีอาการว่อกแว่ก แต่อย่างใด
ทั้งที่ในวันทดลอง ลมสงบนิ่ง และกลับกลายเป็นว่า ให้ความมั่นใจได้ดีกว่า ทั้งรุ่นเดิมและ 330d คูเป้ E92 ใหม่ล่าสุด
ที่เพิ่งผ่านมือผมมาก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน
ส่วนสมรรถนะด้านต่างๆ ทั้งในด้านระบบบังคับเลี้ยวแบบ Active Steer ซึ่งยังคงทำหน้าที่ของมันตามเดิมในแบบที่มันเป็น
ระบบเบรก ที่ให้ความมั่นใจ และมีแป้นเบรกที่หนักแน่นและนุ่มนวล ภาพรวมแล้ว ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอื่นใด มากไปกว่า
ซีรีส์ 5 รุ่น E60 คันอื่นๆที่เคยรีวิวไปก่อนหน้านี้
เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ทั้ง Mercedes-Benz E-Class และ Volvo S80 ใหม่แล้ว
E60 525i ใหม่ จะถูกเซ็ตมาเอาใจนักขับที่ชอบความตึงตังเพิ่มขึ้นจากบุคลิกรถยนต์หรูแนวนุ่มๆทั่วไปอีกเล็กน้อย
ถ้าพูดให้เห็นภาพ คงต้องบอกว่า S80 นั่น จะนุ่มเสียจนนิ่มไปในบางช่วง ขณะที่ E-Class จะนุ่มนวลอย่างเป็นกลาง
ขณะที่ E60 525i จะนุ่มนวลแต่เพิ่มความตึงตังขึ้นมาอีกนิดนึง
***** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง *****
เรายังคงใช้วิธีการเดิม เหมือนเช่นเคย
เติมน้ำมัน ออกเทน 95 ที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม เซ็ต 0 ที่มาตรวัด เพื่อวัดระยะทาง จากหน้าปัดรถ
ออกรถมุ่งหน้าขึ้นทางด่วน ที่ด่านพระราม 6 ไปยังสุดปลายทางด่วนสายเชียงราก
และเลี้ยวกลับมาขึ้นทางด่วนอีกครั้ง ใช้ความเร็ว ไม่เกิน 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง
เปิดแอร์ นั่งกัน สองคน น้ำหนักประมาณ 140-150 กิโลกรัม และกลับมาเติมน้ำมันที่ปั้มเดิม หัวจ่ายเดิม
ผ้ร่วมเดินทางของเราก็คือ นายหลุยส์ เจ้าของร้านเป็ดย่างแมนดาริน ทองหล่อ
ผู้ฟังรายการ และผ้ร่วมทดลองรถกับผมอยู่อย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปีที่ผ่านมา
น้ำหนักตัวไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม
คราวนี้ เราเปิดระบบควบคุมความเร็วคงที่ Cruise Control ไปด้ัวย
และผลลัพธ์ที่ได้ เมื่อเปรียบเทียบกับ E60 คันอื่นๆ มีดังนี้
***** สรุป *****
***** เครื่องใหญ่ขึ้น เป็น 3.0 ลิตร แต่แรงขึ้น ไม่มากนัก นิ่งขึ้นในย่านความเร็วสูง และ ผมก็ยังไม่โปรดวัสดุในห้องโดยสาร และระบบ i-Drive อยู่ดี *****
ถ้าจะให้พูดกันตรงๆ ซีรีส์ 5 ใหม่ ใช้เครื่องยนต์ใหญ่ขึ้น แต่กลับให้พละกำลังไม่ต่างจากเดิมมากนัก และในทางกลับกัน
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ก็แตกต่างจากเดิมไม่มากด้วยเช่นกัน
ถ้าพูดกันให้ง่ายเข้า เครื่องยนต์ใหม่นี้ ก็มีทั้งด้านบวก และลบ ซึ่งก็มิได้หมายความว่า ดี หรือไม่ดี
ด้านลบก็คือ มันมีพละกำลังเท่าๆเดิม แต่ ในด้านบวกคือ มันกินน้ำมันพอๆกับรุ่นเดิม ทั้งที่ความจุกระบอกสูบเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน ระบบกันสะเทือนด้านหน้า ให้ความมั่นใจชัดเจนขึ้น ไม่ว่อกแว่ก เหมือนอย่างที่ผมเคยประสบพบมา
ใน 525i เดิม และ 520d คือมันนิ่งพอกันกับ 530i นั่นเอง น้ำหนักเครื่องยนต์ที่กดลงไปบริเวณโครงสร้างอะลูมีเนียมด้านหน้า
น่าจะเพิ่มขึ้นจากเดิมเล็กน้อย ไม่มากนัก แต่กลับให้ผลที่ต่างกันจนสัมผัสได้ แม้เพียงนิดเดียวก็ตาม
ส่วนระบบ i-Drive ก็ยังคงต้อง หมุนๆๆ กดๆๆ คลิ๊กๆๆ เหมือนเดิม กว่าจะเข้าถึงแต่ละโปรแกรม ก็ช่างยากเย็นมิใช่เล่น
แต่ยังดีที่ว่า ถ้าคุณคิดไม่ออก บอกไม่ถูก กดปุ่ม Menu ไปเริ่มต้นใหม่สถานเดียว
ภาพรวมแล้ว ซีรีส์ 5 525i ใหม่ ยังถือว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ สำหรับใครที่ยังมองหาพรีเมียมซีดานขนาดกลาง
ซึ่งต้องการบุคลิกการขับขี่ ที่เอาใจนักขับอยู่บ้าง แต่ต้องแลกมาด้วยพื้นผิวสัมผัสของวัสดุในห้องโดยสาร ที่ยังไม่น่ารื่นมณ์
เท่ากับ mercedes-Benz E-Class และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง Volvo S80 ใหม่ ที่ทำได้ดีกว่าอย่างมาก!
ค่าตัว 4.4 ล้านบาท อันเป็นราคาตั้ง ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับมาตรฐานของพรีเมียมซีดานขนาดกลางไปแล้ว แม้ว่าเมื่อถึงวันออกรถ
ราคาอาจจะถูกลงมากน้อยเท่าใด ก็ขึ้นอยู่กับว่า ลูกค้าจะไปเจรจากับคนขายอย่างไร
รถในกลุ่มนี้ การตัดสินใจไม่ยากเท่าไหร่
แค่ว่า ลองขับแล้ว ชอบคันไหน ก็ซื้อคันนั้น
เพราะทุกคัน ค่าบำรุงรักษาระยะยาว มีแนวโน้ม แพงกระเป๋าฉีกด้วยกันทั้งนั้น
เท่านั้นเลยจริงๆ
ขอขอบคุณ
คุณพิศมัย เตียงพาณิชย์
ฝ่ายประชาสัมพันธ์
บริษัท บีเอ็มดับเบิลยู (ไทยแลนด์) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถยนต์ทดลองขับ
J!MMY
8 มกราคม 2008
8.30 – 10.40 น.
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…