หลังจากได้มีโอกาสสัมผัสเพียงผิวเผินในเวลาแค่ไม่กี่นาทีแม้จะเป็นการขับช่วงสั้นๆกันที่สนามบินดอนเมือง(http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=438) และแล้วการทดสอบแบบกลุ่มย่อยโดยการเชิญสื่อมวลชลไปร่วมทดสอบก็เริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมา ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นกลุ่มแรกในไทยหรือเป็นเว็บไซท์แรกที่รับเชิญก็ไม่สำคัญเท่าไรสำหรับผม แค่การได้ทำหน้าที่ตรงไปตรงมาไม่ได้มีอะไรแอบแฝง ผมกล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าไม่ได้ทำเพื่อผลประโยชน์หรือผลตอบแทนอื่นใด ผมทำหน้าที่สื่อมวลชนได้อย่างเต็มที่ไม่ต้องกลัวข้อครหาใดๆ เอ้านอกเรื่องอีกแล้วเนี่ยว่าจะไม่พูดถึงเขียนถึงก็อดไม่ได้ เฮ้อทุกทีเลย ก็จะให้ทำไงละครับหยุดเสียดสีส่อเสียดบ้างก็ดีนะ
มิตซูบิชิแลนเซอร์เป็นรุ่นที่เท่าไรจำไม่ได้ครับ ก็ผมทดสอบรถไม่ได้มาทำประวัติรถนี่ครับ ฮ่าๆ เรานัดหมายกันในช่วงเช้าที่ปั้มน้ำมันบางจากริมถนนเลียบด่วนเอกมัย-รามอินทรา แม้ว่าจะไม่ไกลจากบ้านผมเท่าไรแต่ปัญหามันอยู่ที่ว่าปั้มไหนเพราะบางจากมีไม่น้อยกว่าสามปั้มในเส้นนี้ โทรสอบถามได้ความว่ามีปั้มเดียวที่มีน้ำมัน E85 เลยโลตัสมานิดหน่อยไม่รอช้ามุ่งหน้าไปทันที เข้ามาถึงก็ได้เจอกับทีมงานพร้อมแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ ทั้งหมด 5 คัน 3รุ่นย่อย 2 เครื่องยนต์ ทั้ง 1.8 กับ 2.0จอดรออยู่ ซักพักเพื่อนพ้องน้องพี่มากันครบ ทีมงานก็มาอธิบายถึงเส้นทางที่เราจะใช้กันในวันนี้จุดหมายปลายทางอยู่ที่จังหวัดกาญจนบุรี รถพร้อมคนพร้อมก็เตรียออกเดินทางกันครับทางทีมงานเติมน้ำมันไว้เรียบร้อยแล้ว
ผมได้รุ่น 1.8 มาขับโดยเพื่อนๆอีกสองท่านมอบหน้าที่ให้เป็นมือแรกครับ ขึ้นรถปรับตำแหน่งต่างๆให้เข้าที่เข้าทางพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งก่อนออกรถเพื่อความปลอดภัย ซึ่งเป็นข้อปฎิบัติในการขับทดสอบ เลยฝากๆไว้หน่อยเถอะคาดเข็มขัดไว้ไม่ว่าจะนั่งหน้าหรือหลัง พอมองมาที่เกจ์วัดระดับน้ำมันมันขึ้นแค่สามส่วนสี่ถังเท่านั้นเอง จึงแจ้งทีมงานพร้อมนำรถเข้าไปเติมใหม่เพื่อจะให้เต็มปรากฎว่ามันเต็มซะแล้ว แสดงว่าเกจ์วัดน่าจะมีปัญหา ไม่เป็นไรครับไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันนี้สามารถแก้ไขได้
เราออกจากปั้มเลี้ยวซ้ายใช้ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา จากนั้นขึ้นสะพานลอยยกระดับข้ามเกษตรนวมินทร์ เชื่อมต่อถนนรามอินทราเลี้ยวซ้ายผ่านแยกหลักสี่ ถนนแจ้งวัฒนะ การจราจรตอนสิบโมงเช้านั้นติดขัดอย่างมากเลยกว่าจะหลุดเข้าถนนราชพฤกษ์แล้ววิ่ง ตรงไปจนถึงถนนหมายเลข 345 เลี้ยวซ้ายมุ่งไปแยกบางบัวทองก็ใช้เวลาค่อนข้างมากทีเดียว สิ่งแรกได้สัมผัสนั้นคือการขับขี่ในเมืองนั้นทำได้อย่างสบาย เครื่องยนต์ 1.8 นั้นให้การตอบสนองได้ดี การทำงานของเกียร์ cvt นั้นราบเรียบทำความคุ้นเคยซักพักก็พอรู้จังหวะว่าควรจะขับยังไ ง หลุดจากแยกบางบัวทอง เลี้ยวขวาอีกครั้งเข้าถนนหมายเลข 340 ผ่านสุพรรณบุรี เลยแยกอำเภอบางปลาม้าวิ่งไปจนเจอถนนเลี่ยงเมืองสุพรรณบุรีแล้วเลี้ยวซ้าย ใช้ถนนเลี่ยงเมืองจนไปถึงสี่แยกตัดถนนหมายเลข 3460 เลี้ยวซ้ายอีกครั้งผ่านตำบลสระแก้วจนไปถึงถนนหมายเลข 333 เลี้ยวขวาไปอำเภอด่านช้าง ถึงสี่แยกอำเภอด่านช้าง ช่วงนี้เองที่การจราจรเบาบ้างสามารถทดสอบอะไรๆได้หลายอย่าง
ทั้งช่วงล่างที่ทำให้รู้สึกถึงความเป็นสปอร์ต เซ็ตช่วงล่างได้เยี่ยมทีเดียวไม่แข็งจนกระด้างหรือนิ่มจนยวบยาบแบบนี้แหละที่ผมชอบ
เครื่องยนต์ขนาด 1.8 ลิตร 139 แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิด 172 นิวตันเมตรที่ 4,200 รอบ/นาที ส่งกำลังผ่านเกียร์ cvt 6 สปีด พร้อม sport mode เปลี่ยนเกียร์ + ,- ได้ แม้บางครั้งอัตราเร่งยังไม่ทันใจเท่าไรต้องมีการเปลี่ยนเกียร์ช่วย อาจเป็นเพราะไม่ชินกับเกียร์ cvt หรือใจร้อนเกินไปก็เป็นได้ เสียงลมปะทะเริ่มเข้ามาในช่วง 140 กม./ชม.การควบคุบรถคอนโทรลได้สบายไม่ถึงกับเครียดเมื่อใช้ความเร็วสูงและน้ำหนักพวงมาลัยให้กำลังดีไม่เบาเกินไป วงเลี้ยวเฉียบคมแม่นยำ ขับไปขับมาได้ลองความเร็วปลายซึ่งผมทำได้ถึง 190 กม./ชม.และยังไหลไปได้อีกแต่ทางไม่อำนวยจึงพอเท่านั้น ยางโยโกฮาม่าขนาด 205/60 R16 นั้นส่งเสียงดังเข้ามาในห้องโดยสารแต่ก็แลกกับการยึดเกาะที่ดี ระบบเบรกเยี่ยมน้ำหนักกำลังดีดิสก์สี่ล้อมาครบทั้ง ABS, EBD, BA มั่นใจได้
เกือบๆจะเที่ยงก็เดินทางถึงอำเภอด่านช้างตรงไปใช้ถนนหมายเลข 3502 มุ่งหน้าสู่โรงงานมิตรผลเยี่ยมชมโรงงานผลิตเอทานอลดูกระบวนการผลิต อีกทั้งเยี่ยมชมไร่อ้อย ใช้เวลาพอสมควรกับโรงแห่งนี้เสร็จแล้วย้อนกลับทางเดิมมุ่งหน้าสู่ร้านอาหารชื่อร้านเรือนข้าหลวงตั้งอยู่ที่บริเวณเขื่อนกระเสียวก็เป็นเวลาประมาณบ่ายสอง ด้วยอารมณ์หิวซัดข้าวไปซะเต็มที่เลยหารู้ไม่ว่าสิ่งท้าทายมันรออยู่ข้างหน้า ทำไมผมถึงบอกแบบนี้รออีกซักพักอ่านต่อไปก็จะทราบครับ หลังจากอาหารเที่ยงหรืออาจจะไม่เที่ยงก็ไม่รู้ละเราขับย้อนกลับมาที่สี่แยกด่านช้างอีกครั้งเพื่อเติมน้ำมัน อ้าวลืมบอกไปรถแลนเซอร์เครื่องยนต์1.8 นั้นเราเติมน้ำมัน E85 มาจากกรุงเทพฯเลยครับ ระยะทางประมาณ232กม.เกจ์วัดก็ตกลงเกือบจะหมดเลยต้องเติมกันกลับเข้าไปก็ทำให้ทราบว่าอัตราการสิ้นเปลืองของ E85ว่าเป็นเท่าไรโดยประมาณ ผลออกมาคือเติมกลับไป31.34ลิตร
แต่อย่าจริงจังกับอัตราสิ้นเปลืองตัวนี้มากเพราะมีทั้งการลองอัตราเร่งและมีการใช้ความเร็วค่อนสูงอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขออกมาไม่ค่อยดีอันนี้ต้องไปลองคิดดูนะครับว่าจะคุ้มกับราคาน้ำมันรึเปล่า ผมไม่คิดให้นะครับ ฮ่าฮ่า พอเติมน้ำมันเสร็จผู้ร่วมเดินทางขอเป็นคนขับบ้างเพราะทราบว่าทางค่อนข้างโหดและเคยวิ่งเส้นนี้มาก่อน ผมเลยย้ายไปนั่งข้างหลังช่วงออกจากปั้มยังไม่เท่าไรทางปกติชิวๆครับ
ครับ แต่ช่วงเข้าอำเภอศรีสวัสดิ์ซึ่งเป็นเขาและทางคดเคี้ยวมากทางค่อนข้างแคบและมีโค้งหักศอกแถมยังมีโค้งเป็นรูปตัว S ซ้อนตัว S เข้าอีกโอ้ยเกือบแย่ครับ ก็ทั้งกินข้าวมาซะเต็มที่แล้วมาเจอทางแบบนี้อีกจุกอยู่ที่คอ แถมด้วยอาการมึนๆเพราะแต่ละโค้งนี่ใช้ความเร็วค่อนข้างสูงเพราะต้องรีบทำเวลาให้ทันแพยนต์ที่จะข้ามไปอีกฝั่งก่อนค่ำอีก รถก็เลยค่อนข้างเหวี่ยงแล้วผมก็นั่งด้านหลังโดนเต็มๆครับคนขับนะสนุกเพราะโค้งเยอะมากแต่คนนั่งแย่เอาทีเดียวกว่าจะถึงที่ท่าที่แพจะพาข้ามไปก็เล่นเอาแย่ครับ จอดรอสักพักก็ขับรถขึ้นแพข้ามไปยังอีกฝั่ง
ขับต่อไปอีกไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทางของวันนี้ที่รายาบุรี รีสอร์ท ไปถึงก็พักผ่อนเอาแรงนั่งสักครู่รู้สึกว่าไม่ไหวเลยต้องหาอะไรร้อนดื่มได้น้ำขิงมาแก้วดีขึ้นเยอะเลยครับ คืนนั้นหลังจากรับประทานอาหารแล้วก็กลับมานอนพักหลับสบายเลย
รุ่งเช้าตื่นขึ้นมาดูวิวริมเขื่อน ซึ่งมีหมอกปกคลุมบริเวณเขาสวยงามมากอากาศกำลังสบาย ออกจากที่พักประมาณสิบโมงมุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯเมืองฟ้าอมร แต่วิ่งกลับอีกเส้นทางนะครับไม่ได้วิ่งย้อนเส้นเดิมไม่งั้นผมตายแน่เลย เราวิ่งออกจากรายาบุรี รีสอร์ท ใช้เส้นทางถนนหมายเลข 3199 ผ่านแยกเข้าเขื่อนศรีนครินทร์ เขื่อนท่าทุ่งนา และอำเภอลาดหญ้า เข้าสู่กาญจนบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 323 ผ่านอำเภอบ้านโป่ง เชื่อมต่อถนนเพชรเกษม หมายเลข4 ผ่านอำเภอ ขึ้นสะพานข้ามแยก ชิดขวาเข้าทางคู่ขนาน ผ่าน Lotus นครปฐม ชิดขวา แล้วเลี้ยวเข้าร้านอาหารลุงลอยป่าลั่น เพื่อรับประทานอาหารเที่ยงกัน ช่วงนี้ผมรับหน้าที่ผู้โดยสารด้านหลัง เบาะนั่งนั้นนั่งสบายไม่แคบและไม่กว้างจนเกินไป เบาะรองหลังทำได้ดีนั่งสบายทีเดียว ใช้เวลาประมาณสองชั่วโมงกว่าก็มาถึงร้านครับ ร้านนี้ใครมีโอกาสผ่านไปนครปฐมผมแนะนำครับเข้าไปลองดูเมนูแนะนำเลยครับมีที่นี่ที่เดียว ปลาคังทอดราดน้ำปลาเด็ดมาก ลูกชิ้นปลากรายผัดฉ่าก็อร่อย นึกแล้วต้องหาโอกาสไปอีก
หลังจากอาหารเที่ยงก็ได้มีโอกาสขับตัว 2.0 มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่สำนักงานใหญ่มิตซูบิชิที่ คลองหลวง ช่วงนี้เองที่เห็นถึงความแตกต่างของประสิทธภาพของเครื่องยนต์ ซึ่ง 2.0 นั้นสามารถตอบสนองความต้องการของผมได้ดีกว่า 1.8 อย่างเห็นได้ชัดในเรื่องของอัตราเร่ง การออกตัว ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นในเรื่องของช่วงล่างและระบบแทบจะไม่แตกต่างกัน และยังมีระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยหรือที่เรียกว่า Paddle Shift ยิ่งเพิ่มความสนุกในการขับขี่เข้ามาอีกด้วย ขับไปจนถึงขึ้นด่วนเชียงรากก็เกิดเมื่อยเท้าขวาทำไงดีละ ก็ใช้ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ครุซคอนโทรล สบายไปครับใช้งานง่ายควบคุมได้จากพวงมาลัย ความสนุกมักจะหมดไวครับขับตัว 2.0 ได้ไม่นานก็มาถึงสำนักงานใหญ่ของมิตซูบิชิจุดหมายปลายทางของทริปนี้
บทสรุปส่งท้ายมิตซูบิชิแลนเซอร์ อีเอ็กซ์( Lancer Ex ) เด่นที่ช่วงล่างที่เซ็ตมาให้ทั้งอารมณ์และความรู้สึกแบบสปอร์ตมั่นใจได้แม้จะใช้ความเร็วสูง พวงมาลัยน้ำหนักดีมีความแม่นยำและเฉียบคมแบบที่เรียกว่าสั่งได้ เบรกมั่นใจได้เอารถอยู่ ส่วนเครื่องยนต์นั้นสำหรับผมขอ 2.0 เท่านั้น เพราะตอบสนองความต้องการของผมได้มากกว่า ส่วนตัว 1.8 ก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไรถ้าคุณไม่ใช่คนเท้าหนัก เพราะตัว 1.8 นั้นสามารถใช้น้ำมันเบนซินทั้ง 91, 95 ,E10 ,E20 หรือ E85 ก็เลือกเอาว่าจะใช้อะไร ส่วนตัว 2.0 นั้นใช้ได้แค่ 91, 95 ,E10 ,E20 เท่านั้น
########################################################################################
เรื่อง เปรมศักดิ์ เพียรพานิชย์
ภาพ มิตซูบิชิ
มูลนิธิกลุ่มอีซ…
“มหกรรมยานยนต์ …
นายณัทธร ศรีนิเ…