เป็นอีกครั้งที่ได้รับเชิญให้ร่วมเดินทางไปทำภาระกิจกับโตโยต้า แต่ครั้งนี้ไม่ธรรมดาเพราะต้องเดินทางไกลถึงประเทศลาว การเดินทางครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อเชิญผ้าพระกฐินพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปทอดถวาย ณ วัดสีพม เมืองคูน แขวงเชียงขวาง
เริ่มต้นเดินทางในวันแรกนั้น คณะของเรามาถึงจังหวัดอุดรธานีในช่วงค่ำหลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้วก็แยกย้ายกันพักผ่อนเพื่อเตรียมพร้อมเดินทางกันในวันรุ่งขึ้น
เช้าวันที่สองจากโรงแรมที่พักมุ่งหน้าสู่โชว์รูมโตโยต้าอุดรธานีเพื่อไปรับก่อนเดินทาง โดยครั้งนี้มีรถที่ทางทีมงานเตรียมไว้ให้เป็นรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ และ ไฮลักซ์ วีโก้ แชมป์ พรีรันเนอร์ ทั้งสองรุ่นนั้นเป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะ แบบขับเคลื่อนสองล้อทั้งหมด ซึ่งมีทั้งหมด 14 คัน ทริปนี้ได้รถคู่ใจมาเป็น วีโก้ หมายเลข 07 พ่วงด้วยตำแหน่งสารถีประจำรถคันนี้ตลอดทริป ส่วนผู้โดยสารนั้นเป็นพี่ก้อง ช่างภาพจากหนังสือพิมพ์บ้านเมืองมานั่งข้างคนขับ
ออกจากโชว์รูมโตโยต้าอุดรมุ่งสู่สะพานมิตรภาพไทย-ลาวคณะของเราก็เริ่มต้นการขับในรูปแบบคาราวานที่นอกจากจะ ฟอร์จูนเนอร์ กับ ไฮลักซ์ วีโก้แล้ว ยังพ่วงรถตามคาราวานอีกสองคันนั้นคือ รถพยาบาล กับ รถเซอร์วิส แถมเข้ามาด้วย เมื่อคาราวานเดินทางมาถึงกลางสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ก็ต้องมีการเปลี่ยนช่องจราจรเพราะที่ประเทศลาวนั้นเป็นการขับรถชิดขาวผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้วก็ได้มีรถตำรวจของลาวนั้นมาขับรถนำให้กับคณะของเราแบบว่าผ่านตลอดทุกแยกกันเลยทีเดียว
เมื่อข้ามเข้ามายังฝั่งลาวแล้วก็แวะไปรับประทานอาหารเที่ยงกันที่ภัตตาคาร ช้างเผือก ในนครเวียงจันทน์หลังจากนั้นก็รอคณะคาราวานจากทางฝั่งลาวมาร่วมสมทบเมื่อพร้อมแล้วก็มุ่งหน้าสู่ประตูชัยเพื่อเริ่มคาราวานในครั้ง ระยะทางในวันแรกแค่ 240 กิโลเมตร แต่ใช้เวลานานกว่า 4 ชั่วโมงเพราะเมื่อพ้นจากตัวเมืองเวียงจันทน์แล้วเป็นแค่ 2 เลนสวนกันและยังแคบอีกบวกกับบางช่วงนั้นสภาพถนนก็ขรุขระไม่สามารถทำความเร็วได้ การแซงแต่ละครั้งก็ลำบากเนื่องจากรถในพื้นที่ใช้ความเร็วต่ำบวกกับคาราวานของคณะเรานั้นยาวพอสมควร อาศัยประสบการณ์ในการขับแล้วฟังการให้สัญญาณการแซงผ่านทางวิทยุสื่อสารจากรถนำขบวน การแซงรถแต่ละครั้งนั้นต้องใช้แตรกันเป็นหลักเพื่อเป็นการบอกให้รถท้องถิ่นรู้
กว่าจะถึงจุดหมายปลายทางในวันแรกก็เกือบค่ำแต่ก็หายเหนื่อยเพราะยังพอมีเวลาให้ดื่มด่ำกับภาพบรรยากาศของ เมือง วังเวียง ที่ยังให้เราเห็นก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าไป
วังเวียง หรือ “กุ้ยหลินเมืองลาว” เมืองที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ทิวเขา สายน้ำซอง ไร่นาแบบขั้นบันได และหมู่บ้านชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆ ซึ่งนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างหลงใหลแวะเวียนกันมาท่องเที่ยวอย่างไม่ขาดสาย หากจะเปรียบเทียบไปบรรยากาศนั้นก็คล้ายกับ อำเภอ ปาย ในบ้านเรา
เมืองวังเวียงนั้น ตั้งอยู่ริมแม่น้ำซอง ห่างจากเมืองหลวงกรุงเวียงจันทน์ 154 กิโลเมตร และห่างจากเมืองหลวงพระบาง 210 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยเทือกเขาสูง มองเห็นสายน้ำกว้างสลับเนินทราย โดยมีเทือกเขาหินปูนเป็นฉากหลัง และถือว่า เป็นแหล่งท่องเที่ยงที่สวยงามของประเทศลาว โดยในยามค่ำคืนก็ได้มีพิธีบายศรีสู่ขวัญก่อนรับประทานอาหารค่ำและยังมีการแสดงพื้นเมืองแถมท้ายก่อนที่จะแยกย้ายกันพักผ่อนที่โรงแรม Intrira
เช้าวันที่สาม ตื่นมารับแสงอรุณพร้อมดูเรือของนักท่องเที่ยวซึ่งส่วนใหญ่นั้นเป็นฝรั่งนั่งไปท่องเที่ยวตามเขาเมื่อได้เวลาขณะของเราก็ออกเดินทางกันต่อ ช่วงนี้ทางที่จะไปนั้นจะเหนื่อยกว่าวันแรกเพราะเป็นช่วงที่ขึ้นเขาและทางก็ยังแคบอีกแถมระหว่างทางฝนก็เทลงอีกยิ่งทำให้คาราวานของเรานั้นต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก จนแล้วจนรอดเราก็มาถึงร้านอาหาร พูเพียงฟ้า บริเวณเทือกเขาภูคูณ แม้ว่าฝนตก ทางคดเคี้ยวก็ไม่ได้เป็นปัญหากับรถกระบะ ไฮลักซ์ วีโก้ ซึ่งช่วงนี้ก็ได้แสดงให้เห็นสมรรถนะของเครื่องยนต์ที่ให้การตอบสนองได้เป็นอย่างดีบวกกับช่วงล่างที่ไว้ใจได้เรียกว่ายิ่งขับยิ่งมั่นใจ ชื่นชมกับบรรยากาศบนเขาไปกินข้าวไปมีความสุขจริง
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จก็มุ่งสู่เมือง โพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ระหว่างทางที่เป็นเขาก็ต้องระวังทางโค้งที่มีทั้งโค้งลึก โค้งหักศอก และโค้งต่อเนื่อง หากเตรียมตัวไม่ดีมีเมารถแน่ครับงานนี้ นอกจากการที่จะต้องระวังโค้งต่างๆแล้วเรายังต้องระวังสัตว์เลี้ยงอีก โดยเฉพาะวัวที่เดินกันแบบไม่กลัวรถเลย เป็นทางคณะเราเองต่างหากที่ต้องระวังวัวจนถึงมีการเบรถแบบกระทันหัน สุดท้ายคาราวานของเราก็โดนจนได้เป็นรถตู้พยาบาลของเราโดนวัววิ่งเข้ามาชนจนหม้อน้ำแตก เดือดร้อนถึงรถเซอร์วิสต้องรีบเข้าไปแก้ไขให้กับรถพยาบาลจนสามารถวิ่งต่อได้จนจบทริปเรียกว่าฝีมือจริงๆ ก่อนถึงเมืองโพนสะหวันอยากจะเล่าประวัติของเมืองให้รู้กันก่อน เชียงขวางนั้นเป็นแขวงหนึ่งที่ถูกทำลายจากพวกจักรพรรดิ์ต่างชาติจนเหลือแต่ซากหักพัง แขวงเชียงขวางตั้งอยู่ภาคกลางของ สปป.ลาว เป็นเขตภูเพียง มีเนื้อที่ทั้งหมด 17,315 ตารางกิโลเมตรมีพลเมืองประมาณ 186,000 คน ประกอบด้วย 6 ตัวเมือง คือ เมืองแปก, เมืองคำ, เมืองหนองแฮดเมืองคูน, เมืองหมอกใหม่ และเมืองพูกูดมีชายแดนติดกับแขวงหลวงพระบาง,แขวงหัวพัน,แขวงบริคำไช,
แขวงเวียงจันทน์ และประเทศ สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเมืองพวน แขวงเชียงขวางเป็นเมืองหนึ่งที่เก่าแก่ที่สุดของลาว ตั้งอยู่ ภาคเหนือของ สปป.ลาว เมืองนี้มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วโลกเนื่องจากเป็นเมืองที่มีร่องรอยประวัติศาสตร์เก่าแก่
และที่สำคัญนั้นก็คือไหหินใหญ่เป็นจำนวนมากมาย กระจายอยู่เป็นกลุ่มก้อนอยู่บริเวณภูเพียงเชียงขวาง มีกษัตริย์ปกครองมาแล้ว 23 พระองค์เป็นอาณาจักรหรือแคว้นหนึ่งที่ใหญ่ในสมัยก่อน เจ้าฟ้างุ้มได้รวบรวมลาวในกลางศตวรรษที่ 14 และเป็นเมืองที่มีร่องรอยวัฒนธรรมโบราณมากมาย มีตำนานพงศาวดารสืบต่อกันมาเมื่อมาถึงเมืองเชียงขวางแล้วเราก็เข้าไปเยี่ยมชมทุ่งไหหินกัน
ทุ่งไหหิน เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองเชียงขวาง ชาวบ้านไปพบเข้าระหว่างไปหาของป่าและล่าสัตว์ ซึ่งภาชนะมีรูปทรงคล้ายไหทำด้วยหินทรายนี้มีขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ น้ำหนักมากที่สุดถึง 15 ตันและใบที่เล็กที่สุดหนักประมาณ 40 – 50 กิโลกรัม กระจัดกระจายอยู่ในระแวกของเมืองโพนสะหวัน และยังมีที่อื่นๆอีกในเมืองเชียงขวางอีกหลายแห่งด้วยกัน ไหหินส่วนใหญ่สกัดมาจากหินทรายที่หาง่ายในท้องถิ่น แต่มีอยู่หลายใบที่มีร่องรอยการชักลากมาจากที่อื่น บางไหมีลักษณะสกัดยังไม่เสร็จก็มี นอกจากนี้ยังค้นพบโครงกระดูกมนุษย์ในไหบางลูก ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันการใช้หินในพิธีศพได้อย่างดีส่วนแผ่นหินกลมๆคล้ายฝาปิดซึ่งพบอยู่ใกล้ๆ กับไหหินนั้นน่าจะเป็นแผ่นหินที่ใช้ปิดไหหินในขณะประกอบพิธีเสร็จสิ้นรอบๆไหหินพบลูกปัดจากจีน เครื่องประดับของชนเผ่าไท และรูปสำริดของเวียตนาม จึงพอจะคาดเดาได้ว่าชนเผ่าที่สร้างไหหินขึ้นมานี้จะต้องมีความเจริญและอารยธรรมสูง นักโบราณคดีรุ่นหลังๆลงความเห็นว่า เจ้าของอารยธรรมชิ้นนี้ อาจจะเป็นฝีมือของพวกจามในเวียตนามที่ล่มสลายไปแล้ว หรือเป็นฝีมือของชาวลาวเทิง ที่อาศัยอยู่ในแขวงอัตตะปือ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศลาว ติดกับชายแดนประเทศกัมพูชา สำหรับทุ่งไหหินนี้ถนนเข้าถึงสะดวก ในเมืองโพนสะหวัน แขวงเชียงขวาง ซึ่งทางรัฐบาลได้กู้ระเบิดออกหมดแล้ว
หลังจากเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวของแขวงเชียงขวางแล้วก็มุ่งหน้าสู่ วัดสันติพาบ เมืองแปก แขวงเชียงขวาง ซึ่งเป็นวัดที่ตั้งองค์กฐิน ก่อนที่ช่วงค่ำนั้นจะมีการแสดงร่วมสมัยเพื่อสมโภชน์องค์กฐิน เมื่อเสร็จพิธีการแล้วก็มุ่งหน้าเข้าสู่ที่พัก XIENG KHOUANG HOTEL ระยะทางที่วิ่งในวันนี้ประมาณ 250 กิโลเมตร เมื่อถึงโรงแรมเข้าเช็คอินเรียบร้อยกำลังจะอาบน้ำเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นคือไฟตกทั้งเมืองครับ อากาศข้างนอกก็หนาวจะอาบน้ำเย็นก็คงไม่ไหวรอแล้วรอเล่าจนเผลอหลับ ตื่นตอนเช้าโชคดีมากมีน้ำร้อนให้อาบไม่งั้นผมแย่แน่ๆเลย
เช้าวันที่สี่ตื่นเช้ามาพร้อมกับอากาศที่หนาว จิบกาแฟร้อนๆก่อนจะเดินทางต่อไปยังวัดสีพม ที่เมืองคูนซึ่งห่างจากวัด สันติพาบ ที่ตั้งองค์กฐินและต้องแห่มาที่วัดนี้ประมาณ 32 กิโลเมตรซึ่งตลอดระยะทางที่มีการแห่องค์กฐินผ่านชาวบ้านทั้งสองฝั่งถนนก็มาร่วมทำบุญกฐินพระราชทานในครั้งนี้ด้วย โดยมี ดร.วีรพงษ์ รามางกูร นายกสมาคมไทย-ลาวเพื่อมิตรภาพ และศ.ดร.บ่อแสงคำ วงดาลา ประธานสมาคมลาว-ไทยเพื่อมิตรภาพ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแถลงข่าว วัฒนธรรม และท่องเที่ยวแห่ง สปป.ลาว เป็นประธานฝ่ายไทยและฝ่ายลาว และได้เชิญ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัดและตัวแทนจำหน่ายใน สปป.ลาว ซึ่งประกอบด้วย บริษัท โตโยต้า ลาวธานี จำกัด บริษัท ลาวโตโยต้า บริการ จำกัด บริษัท โตโยต้า ลาวสะหวัน จำกัด และ บริษัท โตโยต้าจำปา จำกัด เข้าร่วมงานบุญใหญ่ในครั้งนี้ด้วยซึ่งยอดเงินบริจาคครั้งนี้ได้เงินถึง 5,235,788.30 บาท
ซึ่งหลังจากเสร็จสิ้นงานบุญกฐินครั้งนี้ทำให้คณะของเรานั้นอิ่มเอมกับบุญในครั้งนี้ แต่ภาระกิจของเรายังไม่จบต้องขับรถกลับเข้าสู่เมืองเวียงจันทน์ โดยใช้ถนนหมายเลข 1D มุ่งหน้าสู่เมืองปากซันซึ่งได้ชื่อเป็นเส้นทางที่สวยงามมากที่สุดแห่งหนึ่งของเอเชีย แม้สองข้างทางนั้นจะมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแต่ก็ต้องขับวิ่งลัดเลาะไปมาบนเขาแคบๆ หากพลาดนั้นเบื้องล่างก็เหวดีๆนี่เอง ซึ่งเกือบตลอดทางบนเขานั้นก็ไม่เหล็กกั้นกันตกเขาด้วย เมื่อผ่านช่วงเขามาได้เราก็เจออุปสรรคอันใหญ่หลวงนั้นคือต้องขับรถข้ามแม่น้ำปากซัน โดยมีรถเซอร์วิสกรุยทางไปก่อนซึ่งรถในคาราวานของเรานั้นก็ผ่านมาได้แบบสบายๆทั้งๆที่ก่อนลงไปนั้นไม่มีความมั่นใจเลย ก็ใครจะไปเชื่อละครับว่ารถแค่ยกสูงที่มาจากโรงงานแถมเป็นเกียร์อัตโนมัติและเป็นรถขับเคลื่อนสองล้อจะผ่านมาได้เท่ากับว่าเป็นด่านทดสอบสมรรถนะของรถ ส่วนสาเหตุที่ต้องขับข้ามแม่น้ำนั้นเพราะว่าสะพานข้ามยังไม่เสร็จ
ส่วนคาราวานชุดของฝั่งลาวที่ตามมานั้นดูไลน์ผิดไปหน่อยทำให้ติดอยู่กลางแม่น้ำปากซันจนร้อนถึงรถเซอร์วิสอีกครั้งไปช่วยจัดการใช้วินซ์ลากขึ้นมาได้อย่างปลอดภัย จากเหตุการณ์นี้ทำให้คณะของเราเสียเวลาอยู่พอสมควร ทำให้กว่าจะถึงเมืองเวียงจันทน์ได้กินข้าวเย็นก็ปาเข้าไปสองทุ่มหมดแรงกันเลยที่เดียว ดีว่าเช้าวันรุ่งขึ้นนั้นไม่ต้องรีบร้อนมากเพราะนอนอยู่ริมฝั่งโขงข้ามสะพานมิตรภาพรับประทานอาหารเที่ยงแล้วก็ขึ้นเครื่องกลับ เป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจของผมในครั้งนี้
############################################
เรื่อง premsak@caronline.net
ภาพ คาราวานโตโยต้า
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…