เมื่อเร็วเร็วนี้ ได้มีโอกาสเดินทางไปกับ มาสด้า CX-8 ตัวใหม่ ซึ่งเป็นรถแบบครอสโอเวอร์ อเนกประสงค์ โดยเดินทางจาก หาดใหญ่ ไปใต้สุดแดนสยามที่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา โดยเราเดินทางกันเป็นขบวนประมาณ 10 คัน
CX-8 มีทั้งหมด 5 รุ่น เป็นเครื่องยนต์เบนซิน 3 รุ่น และดีเซล 2 รุ่น
คันที่ผู้เขียนเดินทางจะเป็นดีเซลตัวท็อป XDL EXCLUSIVE SKYACTIVE-D 2.2 แบบ 6 ที่นั่ง แถว 2 ปรับไฟฟ้า มีคอนโซลกลาง
คันนี้มีผู้หญิง 5 คน กระเป๋า 5 ใบ นั่งกันครบทั้ง 3 แถว ช่องเสียบ USB มีครบทั้ง 3 แถว
แอร์แถวที่สองมีเหมือนเดิม แต่แถวที่สามไม่มี แต่ครั้งนี้แอร์แรงและเย็นกว่ารุ่นก่อนมาก หากนั่งแถวที่สาม
ก่อนเดินทางก็มารู้จักกับรถรุ่นนี้กันก่อน
NEW MAZDA CX-8 มีให้เลือก 2 เครื่องยนต์ ทั้งเครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซลขนาด 2.2 ลิตร (Skyactiv-D 2.2) พร้อมเทอร์โบแปรผัน ให้พละกำลังสูงถึง 190 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน-เมตร ประหยัด พร้อมทั้งยังมีการติดตั้งระบบช่วยป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ Off-Road (Off-Road Traction Assist) เพิ่มเติมในรุ่นที่มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ i-ACTIV AWD เพิ่มความมั่นใจให้ทุกคน
และเครื่องยนต์สกายแอคทีฟเบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร (Skyactiv-G 2.5) ให้พละกำลังถึง 194 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 258 นิวตัน-เมตร ประหยัดน้ำมันสูงสุด 13.2 กม./ลิตร* และในทุกรุ่นย่อยยังมาพร้อมระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะขั้นสูง GVC Plus ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีภายใต้ SKYACTIV-Vehicle Dynamics ช่วยควบคุมสมรรถนะในการขับขี่ให้แม่นยำและสมดุล โดยเฉพาะในทางโค้งและในสถานการณ์ฉุกเฉินได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ขับสัมผัสถึงความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันของคนกับรถอย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมเพิ่มความสุนทรีย์ภายในห้องโดยสารด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® รอบทิศทาง พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง
NEW MAZDA CX-8 รถครอสโอเวอร์อเนกประสงค์ที่ถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งอย่างแท้จริง การขับขี่นุ่มนวล ห้องโดยสารมีให้เลือกทั้งห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (7-Seat) และแบบ 6 ที่นั่ง (6-Seat) แบบใหม่ โดยได้รับการยกระดับให้ตอบโจทย์ความต้องการของครอบครัว และเพิ่มพื้นที่ให้กับทุกคนในครอบครัวมากยิ่งขึ้น โดยในรุ่น 6 ที่นั่ง (6-Seat) มาพร้อมกับ 2 ทางเลือก ได้แก่ ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain seat แยกอิสระซ้าย ขวา (Captain seats with center walk-through (6-Seat) ที่สามารถเดินเชื่อมได้ถึงเบาะนั่งแถวที่สาม และห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain seat ปรับไฟฟ้า (Power captain seats (6-Seat) พร้อมคอนโซลกลาง ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของแต่ละครอบครัวได้อย่างลงตัว นอกจากนี้ ภายในห้องโดยสารยังกว้างขวางนั่งสบายในทุกตำแหน่ง และมาพร้อมระบบระบายอากาศเบาะนั่งคู่หน้า ที่ช่วยระบายอากาศและความชื้น ทำให้เพิ่มความสบายให้กับผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง
ครั้งแรกกับระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติ MRCC แบบ Stop & Go ที่ได้รับการพัฒนาและติดตั้งในรถมาสด้า CX-8 ใหม่เป็นรุ่นแรก และระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ล้ำสมัย i-Activsense รอบคัน
สะท้อนภาพลักษณ์ความหรูหราสง่างามยิ่งขึ้น ด้วยกระจังหน้าแบบใหม่สี Gun Metallic
และล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 19 นิ้ว
มาพร้อมทางเลือกใหม่ กับ 2 สีภายนอก เอกลักษณ์ของมาสด้า สีบรอนซ์ แพลตทินั่ม ควอตซ์ และสีเทา โพลีเมทัล เกรย์
มอบความสะดวกสบายและล้ำไปอีกขั้น ด้วยอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย Wireless Charger และรองรับ Apple CarPlay® แบบไร้สาย และ Android AutoTM
เพิ่มสัมผัสความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคนกับรถอย่างสมบูรณ์ ด้วยระบบ GVC Plus ในทุกรุ่นย่อย
เสริมภาพลักษณ์ความโดดเด่นไปอีกขั้น ด้วยหลังคาซันรูฟแบบไฟฟ้า
เพิ่มความสะดวกสบายยิ่งขึ้นกับประตูท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมระบบแฮนด์ฟรี
ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ครอบครัวกับครั้งแรกของ 3 ทางเลือกของห้องโดยสาร ให้พื้นที่กว้างขวาง มอบความสะดวกสบายยิ่งขึ้นกว่าเดิม
เมื่อพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทางกันเลย จากโชว์รูมมาสด้าชูเกียรติยนต์หาดใหญ่มุ่งหน้าไปเบตง
สถานที่แห่งแรกที่แวะไปก็คือ มัสยิดกรือเซะ ปัตตานี
แวะไปชมมัสยิดกรือเซะ หรือ มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์ เป็นมัสยิดเก่าแก่อายุกว่า 200 ปี ในจังหวัดปัตตานี ตั้งอยู่ในอำเภอเมืองปัตตานี ห่างจากตัวเมืองประมาณ 6 กิโลเมตรสันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 22 ร่วมสมัยกรุงศรีอยุธยา มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ชื่อนี้เรียกตามรูปทรงของประตูมัสยิด ซึ่งมีลักษณะเป็นวงโค้งแหลมแบบโกธิคของชาวยุโรป และแบบสถาปัตยกรรมของชาวตะวันออกกลาง รูปลักษณะเป็นอาคารก่อสร้างด้วยอิฐปูน เสาทรงกลมเลียนรูปลักษณะแบบเสาโกธิคของยุโรป ช่องประตูหน้าต่างมีทั้งแบบโค้งแหลมและโค้งมนแบบโกธิค โดม และหลังคายังก่อสร้างไม่เสร็จ อิฐที่ใช้ก่อมีรูปลักษณะเป็นอิฐสมัยอยุธยา ตรงฐานมัสยิดมีอิฐรูปแบบคล้ายอิฐสมัยทวารวดีปะปนอยู่บ้าง
สถานที่แห่งที่สอง
แวะเที่ยวชมศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ประวัติความเป็นมาของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันมาบ้าง ตามตำนานเล่าว่าลิ้มกอเหนี่ยวเป็นสาวชาวจีนจากเมืองฮกเกี้ยน ซึ่งเกิดในช่วงสี่ถึงห้าร้อยปีมาแล้วนางเดินทางลงเรือสำเภามายังเมืองปัตตานี เพื่อตามพี่ชายชื่อลิ้มโต๊ะเคี่ยมให้กลับไปหามารดาที่ชราภาพที่บ้านเกิด แต่ได้พบความจริงว่าพี่ชายของตนได้แต่งงานกับธิดาพระยาตานีแล้วเข้ารับราชการในจวนเจ้าเมือง และได้เปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่สามารถกลับไปยังเมืองจีนพร้อมนางได้ ลิ้มกอเหนี่ยวจึงได้ผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ดังสัจวาจาที่กล่าวไว้กับมารดาว่า “หากตามพี่ชายกลับไปหามารดาไม่ได้จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ต่อไป” ลิ้มโต๊ะเคี่ยมผู้เป็นพี่ชายจึงได้ฝังศพของนางไว้ที่ฮวงซุ้ยที่หมู่บ้านกรือเซะนอกเมืองปัตตานี กล่าวขานกันว่าดวงวิญญาณของนางได้แสดงอิทธิฤทธิ์เป็นที่เลื่องลือในหมู่ชาวบ้านทั่วไป พอมีผู้มาขอพรให้โชคลาภก็ได้ผล หรือแม้แต่การค้าขายที่ซบเซาหรือขาดทุนก็กลับรุ่งเรืองขึ้นทำให้เกิดความนับถือศรัทธาอย่างมาก ชาวปัตตานีจึงได้นำต้นไม้ที่ลิ้มกอเหนี่ยวผูกคอตายมาแกะสลักเป็นรูปบูชาและสร้างศาลเจ้าขึ้นสักการะ สำหรับองค์เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตาโชคลาภ ค้าขาย ซึ่งเป็นที่นิยมมากราบไหว้ของพรเพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิต
หลังจากนั้นก็ขับเข้าสู่ อำเภอเบตง จังหวัดยะลา เส้นทางคดเคี้ยวสวยงาม ได้เห็นอัตราเร่งแซงที่ความเร็วมาต่อเนื่อง การเกาะโค้งก็หนึบหนับดี
นั่งแถวสามไม่เหวี่ยง ไม่กระเทือน หลับได้
เมื่อเข้าเขตเบตง เราก็ได้เดินทาง
แวะเที่ยวอุโมงค์ปิยะมิตร ไฮไลท์ของที่นี่จะมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ปิยะมิตร ซึ่งจะรวบรวมของเก่าที่มีการใช้งานในสมัยนั้นมาสะสมไว้มากมายครับ อีกหนึ่งไฮไลท์ก็คืออุโมงค์ที่ถูกขุดเข้าไปในภูเขา อุโมงค์นี้ขุดเมื่อปี 2519 โดยใช้กำลังคน 45-50 คน ใช้เวลาในการขุดเพียง 3 เดือน มีทางเข้าออกอุโมงค์ 9 ทาง แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 6 ทาง ซึ่งจะเชื่อมต่อกันหมด อุโมงค์มีความกว้างประมาณ 50-60 ฟุต ยาวประมาณ 1 กิโลเมตร ภายในสามารถจุคนได้เกือบ 200 คน ภายในอุโมงค์ก็จะทำเป็นห้องเล็กๆ แต่ละห้องก็จะมีวัตถุประสงค์แตกต่างกันออกไป เช่นห้องนอน ห้องเก็บเสบียง สถานีวิทยุ ภายในอุโมงค์อากาศเย็นสบาย มีการติดไฟให้แสงสว่างตลอดเส้นทาง
ไฮไลท์สุดท้าย จะเป็นต้นไทรยักษ์ หรือชาวบ้านแถวนี้เรียกกันว่า ต้นไม้พันปี วัดโดยรอบได้ 60.8 เมตร สูง 40 เมตร ต้นไทรยักษ์นี้ ถูกจัดให้เป็นรุกขมรดกของแผ่นดินใต้ร่มพระบารมี
และอีกแห่งที่ต้องไปก็คือชายแดนใต้สุดแดนสยามซึ่งอยู่ติดกับประเทศมาเลเซีย
หลังจากนั้นก็กลับเข้าที่พักโรงแรมแกร์นดแมนดาริน Grand Mandarin Betong ใกล้ใกล้โรงแรมจะเป็นอุโมงค์อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ สัญลักษณ์ของเมืองเบตง ซึ่งกลางคืนเปิดไฟแบบLED สดใสสวยงาม
ขาดไม่ได้อีกหนึ่งที่ก็คือตู้ไปรษณีย์สีแดงใหญ่มาก อยู่ไม่ไกลจากอุโมงค์
เช้าวันรุ่งขึ้น ขบวนของพวกเราประมาณ 10 คันก็ออกเดินทางจาก อำเภอเบตง ขึ้นไปเที่ยวชมทะเลหมอกอัยเยอร์เวง
ตั้งอยู่ตำบลอัยเยอร์เวง มีความสูง 2,038 ฟุต จากระดับน้ำทะเล และมีระเบียงทางเดินยื่นออกไปจากฐานของอาคาร ปลายระเบียงเป็นพื้นกระจกใส สามารมองเห็นด้านล่าง ซึ่งจุดชมวิวนี้จะอยู่ที่ชั้น 3 และมีบันไดให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปชมวิวมุมสูงที่ชั้น 6 และมีลิฟท์ให้บริการสำหรับผู้พิการและผู้สูงอายุ
ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่ไป ครั้งแรก ได้เห็นทะเลหมอก ลอยอยู่ด้านล่าง แต่ครั้งนี้ไม่มีทะเลหมอก มองลงไปเห็นความเขียวของต้นไม้ก็ให้ความรู้สึกสดชื่น
ชมความสวยงามของธรรมชาติแล้ว หลังจากนั้นก็ขับรถมุ่งหน้าไปนมัสการหลวงปู่ทวด
วัดราษฎร์บูรณะ หรือ วัดช้างให้ ตั้งอยู่ที่ตำบลควนโนรี อำเภอโคกโพธิ์ เป็นวัดเก่าแก่สร้างมาแล้วกว่า 300 ปี ตามตำนานกล่าวว่า พระยาแก้มดำเจ้าเมืองไทรบุรี ต้องการหาชัยภูมิสำหรับสร้างเมืองใหม่ให้กับน้องสาว จึงได้เสี่ยงอธิฐาน ปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า โดยมีเจ้าเมืองและไพร่พลเดินติดตามไป จนมาถึงวันหนึ่ง ช้างได้หยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องขึ้นสามครั้ง พระยาแก้มดำจึงได้ถือเป็นนิมิตที่ดี จึงใช้บริเวณนั้นสร้างเมือง แต่น้องสาวไม่ชอบ พระยาแก้ดำจึงให้สร้างวัด ณ บริเวณดังกล่าวแทน แล้วให้ชื่อว่า วัดช้างให้ แล้วนิมนต์พระภิกษุรูปหนึ่ง ที่ชาวบ้านเรียกว่า ท่านลังกา หรือ สมเด็จพะโคะ หรือ หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ท่านได้เดินธุดงค์ไปมาระหว่างเมืองไทรบุรีกับวัดช้างให้ และได้สั่งลูกศิษย์ไว้ว่าถ้าท่านมรณะภาพขอให้นำศพไปทำการฌาปนกิจ ณ วัดช้างให้ ซึ่งเมื่อท่านมรณะภาพที่เมืองไทรบุรี ลูกศิษย์ก็ได้นำศพท่านมาทำการฌาปนกิจที่วัดช้างให้ อัฐิของท่านส่วนหนึ่งฝังไว้ที่วัดช้างให้ อีกส่วนหนึ่งนำกลับไปเมืองไทรบุรี ต่อมาได้สร้างสถูปบรรจุอัฐิของท่านไว้ที่วัด
แล้วเราก็มุ่งหน้าเดินทางกลับไปยังหาดใหญ่ กับมาสด้า CX-8 ดีเซลคันนี้
การเดินทางครั้งนี้เหมือนเดินทางกันเป็นครอบครัว อย่างรถของผู้เขียน ก็เดินทางกันเต็มอัตราเลย 5 คน สลับกันนั่งทุกตำแหน่ง ก็ต้องยอมรับว่ารถคันนี้ตอบสนองกนารใช้งานแบบอเนกประสงค์ได้ดี ถ้าเดินทางไม่มีสัมภาระนั่ง 6 คนได้สบายเลย แต่ถ้ามีสัมภาระต้องไปค้างคืน นั่งสัก 5 คนจะดีกว่า เผื่อที่วางสัมภาระด้วย ประตูหลังใช้สะดวกดีแบบเตะเปิด-ปิด
ส่วนเก้าอีปรับไฟฟ้าแถวสอง คนที่จะก้าวขึ้นลงถ้าอยู่แถวสาม ต้องไม่รีบร้อน กดจากด้านหลังได้ และให้เก้าอี้ทำงานไปแบบอัตโนมัติ นิ่มนวล ก็อาจจะช้านิดนึง ที่คนแถวสามจะก้าวลงจากรถได้ แต่ถ้า 6 ที่นั่งแบบไม่ปรับไฟฟ้า เดินตรงกลางได้แบบนั้นก็จะทันใจวัยรุ่นหน่อย
โดยรวมแล้วก็เป็นรถครอบครัวที่น่าใช้ ไม่กระเทือน นั่งสบาย และให้ระบบความปลอดภัยต่างๆมาเยอะเลย
ตามรายละเอียดด้านล่างนี้เลยค่ะ
NEW MAZDA CX-8 อัดแน่นไปด้วยระบบความปลอดภัยเชิงป้องกันที่ล้ำสมัย i-Activsense รอบคัน ให้ความปลอดภัยที่เหนือกว่ารถอเนกประสงค์ในระดับเดียวกัน ด้วยการติดตั้งระบบ Advanced SCBS ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติแบบ Advance ช่วยลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้า และระบบ SCBS-R ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากการชนขณะถอยหลังเป็นอุปกรณ์มาตรฐานตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น อีกทั้งยังมีระบบ MRCC แบบ Stop & Go ที่ได้รับการพัฒนาและติดตั้งใน NEW MAZDA CX-8 เป็นรุ่นแรกของรถมาสด้าที่วางจำหน่ายในประเทศไทย โดยระบบสามารถปรับความเร็วตามรถคันหน้าแบบอัตโนมัติจนถึงจุดหยุดนิ่ง นอกจากนี้ยังเพิ่มอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกสบายและช่วยลดอาการเหนื่อยล้าจากการขับขี่หลากหลายระบบ เพื่อมอบความสบายให้กับผู้ขับขี่และผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง
ระบบความปลอดภัย i-Activsense ที่มาพร้อม NEW MAZDA CX-8 ประกอบด้วย
NEW MAZDA CX-8 ยังเพิ่มความอุ่นใจให้ผู้โดยสารตลอดเส้นทางในทุกสถานการณ์การขับขี่ ด้วยระบบความปลอดภัยทั้งแบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Active Safety) อาทิ ระบบแสดงภาพ 360° รอบทิศทาง พร้อมมุมกล้องในแบบ Top View ผ่านหน้าจอ Center Display ขนาด 8 นิ้ว รวมถึงระบบเซ็นเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 จุดและด้านหลัง 4 จุด ทำให้ผู้ขับขี่มั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้น และแบบปกป้องเมื่อเกิดอุบัติเหตุ (Passive Safety) อาทิ ถุงลมนิรภัยคู่หน้า ด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย รวม 6 ตำแหน่ง
NEW MAZDA CX-8 มีให้เลือกทั้งหมด 5 รุ่นย่อย เพื่อให้ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครบครัน โดยมีราคาจำหน่ายดังต่อไปนี้
รุ่น | เครื่องยนต์ | รูปแบบห้องโดยสาร (ที่นั่ง) | ราคาจำหน่าย (บาท) |
2.5 S | SKYACTIV-G 2.5 | ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (7-Seat) | 1,549,000 |
2.5 SP | SKYACTIV-G 2.5 | ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (7-Seat) | 1,619,000 |
2.5 SP EXCLUSIVE | SKYACTIV-G 2.5 | ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain seat แยกอิสระซ้าย-ขวา (Captain seats with center walk-through (6-Seat)) | 1,699,000 |
XDL | SKYACTIV-D 2.2 | ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง (7-Seat) | 1,849,000 |
XDL EXCLUSIVE | SKYACTIV-D 2.2 | ห้องโดยสารแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง Captain Seat ปรับไฟฟ้า (Power captain seats (6-Seat)) | 2,199,000 |
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…