เช้าวันแรก เรานัดเจอกัน ตอนตี 5 ที่สนามบินดอนเมือง เพื่อเดินทางไฟล์ทเช้าไปยังจังหวัดอุบลราชธานี เมื่อไปถึงสนามบินที่อุบลราชธานีก็มีฟอร์ดเอเวอเรสต์ทั้ง 12 คัน รอเราอยู่แล้ว ไม่รวมรถเซอร์วิสและทีมงานนะคะ พวกเราก็เอาของขึ้นรถและพร้อมที่จะเดินทางกันเลย โดยไปกันคันละ 4 คน คันของดิฉันเป็นรถคันเบอร์6 และอีกคันคือเบอร์ 5 ก็เป็นหญิงล้วนเหมือนกันทั้ง 2 คัน
เราไปกันสี่คนขนของไปเต็มที่เก็บที่เลยไว้ที่สัมภาระหลัง เบาะที่นั่งแถวสองและสามสามารถพับให้ราบได้ถ้าไปน้อยคนและต้องการบรรทุกเยอะ ประตูหลังเปิดปิดด้วยไฟฟ้า สามารถใช้มือแตะที่ประตูท้าย หรือเปิดจากรีโมทกุญแจ หรือจากในตัวรถเอาที่สะดวกแล้วกัน
ฟอร์ดเอเวอร์เรสที่ใช้ในการเดินทางในทริปนี้จะเป็นตัวเครื่องยนต์ดีเซลดูราทอร์ค ทีดีซีไอ วีจีเทอร์โบ เครื่องยนต์ขนาด 3,200 ซีซี แบบ 5 สูบ 200 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 470 นิวตันเมตร เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบการขับเคลื่อน 4 ล้อ (i4WD with Terrain Management System) ซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับรูปโหมดการขับขี่ให้เหมาะสมกับสภาพถนนที่เราต้องเจอะเจอ
ขึ้นรถขับเป็นคนแรกที่นั่งปรับสูงต่ำเข้าออกด้วยไฟฟ้า ทั้งด้านผู้ขับขี่และคนนั่ง เห็นครั้งแรกจะรู้สึกว่ารถสูงใหญ่มาก แต่เมื่อขึ้นไปนั่งแล้วกว้างขวางมากเบาะหนานั่งสบาย มองออกไปด้านนอกเห็นรอบข้างชัดเจนดีเพราะเป็นรถสูง กระจกปรับไฟฟ้าทั้งหมด
200 แรงม้ากับ แรงบิด 470 นิวตันเมตร เหยียบครั้งแรกไม่ยั้งเท้ารถก็จะพุ่งไปแล้วนะคะ ต้องปรับตัวเองให้เคยชิน
เบรกและการเกาะถนนดีนะคะ
ช่วงที่เราเดินทางไปนั้นลมค่อนข้างแรง และบนหลังคาเราก็มี Loof Top Tent ติดอยู่บนหลังคารถ เพราะคืนแรกจะมีการตั้งแคมป์และนอนในเต๊นท์ เริ่มสนุกแล้วนะคะ แต่เต๊นท์ที่อยู่บนหลังคาก็ไม่มีผลกับการขับขี่ของเราเลย
เราเดินทางกันเป็นขบวนคาราวานจากอุบลราชธานี ก็เข้าเมืองปากเซ ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองช่องเม็ก ของลาว
เมื่อเข้าไปที่ลาว การขับขี่ก็เปลี่ยนไป เพราะที่ลาวจะเป็นรถพวงมาลัยซ้ายขับชิดขวา แต่รถของเราเป็นพวงมาลัยขวาต้องขับชิดขวาแบบของลาว คนนั่งข้างคนขับก็มีส่วนสำคัญในการช่วยดูเส้นทาง และรถเราก็ต้องติดสติ๊กเกอร์ท้ายรถด้วยนะคะว่าเป็นพวงมาลัยขวา เพื่อให้คนท้องถิ่นได้ทราบและเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย
ถนนที่ลาวส่วนใหญ่ยังเป็นสองเลนและจะไม่มีไหล่ทางก็ต้องระวังในการขับขี่ ถนนบางช่วงก็กำลังขยายถนนก็จะมีกองกรวดทรายกองๆกันอยู่
จุดหมายแรกที่เราจะเดินทางไปวันนี้ก็คือน้ำตกแซปองไล เส้นทางที่จะเดินทางไปน้ำตกในครั้งนี้เราต้องผ่านถนนที่เป็นดินลูกรังอยู่เป็นฝุ่นและกรวด และผ่านลำธารอีก 3 แห่ง
ช่วงที่ขับยากที่สุดก็คือถนนที่เป็นดินเพราะฝุ่นเยอะ ถ้าขับใกล้คันหน้าเกินไป ฝุ่นจะเต็มไปหมดมองไม่เห็นถนนเลย รถทุกคันนอกจากเปิดไฟใหญ่แล้วเรายังต้องเปิดไฟตัดหมอกช่วยอีกด้วย เพื่อการมองเห็นที่ขัดเจนยิ่งขึ้น
ซึ่งตัวรถเองก็มีสัญญาณคอยเตือนอยู่แล้ว ถ้าเราใกล้คันหน้าเกินไปก็จะมีไฟแวบๆขึ้นที่ใกล้กระจกหน้าคอยเตือนว่าใกล้ไปแล้วนะ ก็ช่วยได้เยอะเลยในถนนแบบนี้
และนอกจากรถนำขบวนคาราวานที่คอยบอกทางแล้ว รถทุกคันก็มีวิทยุสื่อสารก็คอยรายงานถนนช่วงที่รถแต่ละคันผ่านเพื่อให้คันที่ตามหลังมาได้ทราบ
และในช่วงที่ผ่านลำธารแต่ละแห่งนั้นเราก็ได้เลือกโหมดการใช้งานที่มีให้มาในรถคันนี้อย่างโหมดโคลนเมื่อผ่านลำธารที่มีดินโคลนเยอะๆ หรือผ่านลำธารที่มีก้อนหินเยอะ ก็เลือกโหมดหิน ซึ่งโหมดหินนี้ต้องปีนป่ายเหมือนใช้ 4 Low ก็ต้องจอดก่อนแล้วหมุนไปที่4 L แล้วถึงจะเลือกหมวดก้อนหิน ซึ่งโหมดต่างๆก็ใช้ง่าย โหมดจะเป็นปุ่มกลมๆอยู่ด้านซ้ายมือเราใกล้เกียร์หมุนง่ายๆแล้วดูที่หน้าจอว่าอยู่โหมดไหน
อีกอย่างหนึ่งก็คือรถคันนี้สูงจากพื้นถึง 225 มิลลิเมตรซึ่งก็ถือว่าสูงแล้วเมื่อเทียบกับรถระดับเดียวกัน และความสามารถในการลุยน้ำได้ลึกสูงสุดที่ 800 มิลิเมตร ทำให้รถพาเราลุยผ่านลำธารทั้ง 3 แห่งแบบชิลล์ชิล์เลยล่ะ
แล้วเราก็ผ่านถนนดินแคบๆเต็มไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นสองข้างทาง ก่อนเดินทางไปถึงน้ำตก แซปองไล
น้ำตกแซปองไลน้ำตกอันซีนสุดตระการตาแห่งใหม่ในลาว เสียดายช่วงที่ไปน้ำน้อยไปหน่อย ถ้าช่วงน้ำเยอะคงอลังการมากเลย แต่ก็ทำให้พวกเราตื่นตาตื่นใจไปกับน่ำตกแห่งนี้มากทีเดียว
หลังจากนั้นพวกเราก็ขับไปที่แค้มป์พักที่อยู่ริมลำธารซึ่งเป็นต้นน้ำของน้ำตกแซพระที่เราจะเดินทางต่อในวันต่อไป คืนนั้นก็เป็นการตั้งแค้มปิ้ง และนอนในเต๊นท์ซึ่งพวกเราผู้หญิงได้นอนในเต๊นท์ที่ติดรถมาซึ่งเป็นเต๊นท์แบบสองชั้น ชั้นบนอยู่บนหลังคารถ นอนได้ 2 คน ส่วนอีก 2 คนนอนข้างล่าง ส่วนผู้ชายมีเต๊นท์เดี่ยวเรียงรายกันไป อากาศค่อนข้างหนาวมีการก่อกองไฟขึ้นด้วย ได้บบรรยากาศแบบแค้มปิ้งจริงๆ
พักที่นี่เรามีโอกาสนั่งพูดคุยกันมองหน้ากันบ้างไม่ก้มหน้าตลอดเวลา เพราะไม่มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเลยดีจริงๆ
เช้าตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่นท่ามกลางเสียงไก่ขันและเสียงน้ำไหลในลำธาร นั่งดื่มกาแฟและกินอาหารเช้าข้างๆลำธารซึ่งบางคนก็ลงไปอาบนำในนั้น ขอบอกว่าเย็นมาก
เช้าวันที่สอง เราก็ขับฟอร์ดเอเวอร์เรสไปยังน้ำตกแห่งที่ 2 น้ำตกแซพระ ทางที่ไปจะเป็นทางลงเนินขึ้นเนิน ก็ได้ใช้ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขาด้วยซึ่ง ช่วยผ่อนความเร็วของรถ และเมื่อขึ้นเนินสูงก็มีระบบช่วยออกตัวในทางลาดชันช่วยอยู่ด้วย
แล้วเราก็ถึงน้ำตกแซพระที่ไม่ไกลจากแค้มป์ที่เราพัก น้ำตกแห่งนี้ก็สวยงามไม่แพ้น้ำตก แซปองไลแต่มีขนาดเล็กกว่าชมความงามกันจนเต็มอิ่มแล้วก็เดินทางต่อ
ถึงเวลาที่ที่จะทำความดีโดยการแบ่งปันสิ่งของให้เด็กนักเรียนที่โรงเรียน สมบุนชัย ดอนโขง เพื่อมอบสิ่งของที่จำเป็นให้กับเด็กนักเรียนในพื้นที่ พร้อมทำกิจกรรมเพื่อสังคมร่วมกับชุมชนและเด็กนักเรียนอย่างเข่นมุงหลังคาโรงเรียน
เห็นแววตาเด็กๆมีความสุขเราก็สุขใจไปด้วย
การเดินทางครั้งนี้ดิฉันก็ได้นั่งทั้งแถวหน้าแถวหลังที่นั่งแถวหลังก็นั่งสบายนะคะ มีที่ชาร์จแบบ 12 Volt ซึ่งนอกจากมี ด้านหน้าแล้ว ด้านหลังก็ยังมีอีก พร้อมช่องแอร์สำหรับคนนั่งแถวหลังอีกด้วย ที่นั่งแถวหลังสามารถปรับเอนได้
หลังจากนั้นขบวนคาราวานก็เดินทางกันต่อเพื่อไปยังน้ำตกตาดฟานอันซีนอันสุดท้ายของวันที่สอง เป็นน้ำตกสูงสองสายที่ไหลขนานลงสู่หน้าผาสูงกว่า 100 เมตร รายล้อมด้วยต้นไม้เขียวชอุ่มในบริเวณอุทยานแห่งชาติดงหัวสาวแถบที่ราบสูงโบโลแวน เมืองจำปาสัก ป่าแห่งนี้เป็นที่อยู่ของสัตว์ป่าสายพันธ์อนุรักษ์หลายชนิด
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกิจกรรมซิปไลน์ ( Zip Line )หรือโหนสลิงจิบกาแฟ สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการผจญภัยท้าทายในแบบเอ็กซ์ตรีม
คนกลัวความสูงเห็นแล้วหวาดเสียวมากๆ
เสร็จจากกิจกรรมเอ็กซ์ตรีม ก็ไปเยี่ยมชมวิถีชีวิตชนเผ่าตะโอย ก็ต้องขับผ่านอีกหนึ่งลำธารและผ่านถนนแบบหินกรวด ได้เลือกโหมด 4X4 ที่ให้มาในรถอีกแล้ว
ในบางครั้งเราก็อยากให้ภายในรถดูสว่างไสว เราก็เปิดหลังคาซึ่งเป็นแบบพาโนรามิค มูนรูฟแบบปรับไฟฟ้าเปิดแล้วทำให้รู้สึกว่ารถกว้างขึ้น ได้รับลมเย็นๆเข้ามาในรถ ชะโงกออกไปดูทิวทัศน์ข้างนอกบ้าง แต่เราไม่เปิดทางฝุ่นนะ555
แล้วเราก็ขับรถมาถึงเผ่าตะโอยซึ่งเป็นหมู่บ้านชนเผ่าที่อาศัยอย่างเรียบง่าย โดยชาวบ้านนิยมปลูกไม้อุตสาหกรม ไม้ผลกาแฟ และเลี้ยงสัตว์ใหญ่รวมถึงานหัตถกรรมและงานผ้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดเวียงจันทน์
เช้าวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ ขบวนคาราวานฟอร์ดเอเวอเรสต์ได้แวะเยี่ยมชมปราสาทหินวัดพูหรือที่ชาวลาวนิยมเรียกกันว่าภูเกล้าโบราณสถานของประเทศลาวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากองค์กร Unesco ให้เป็นมรดกโลกในปี 2544 โดยปราสาทหินแห่งนี้อายุมากกว่าหนึ่งพันปี และมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างขึ้นจากหินทรายและอิฐ พวกเราก็ได้แสดงความแกร่งโดยเดินขึ้นไปไหว้พระที่ข้างบนเขา
หลังจากนั้นขบวนคาราวานฟอร์ดเอเวอร์เรสต์ก็ข้ามพรมแดนจากลาวกลับเข้าสู่ประเทศไทยโดยสวัสดิภาพทั้งรถและคน
การเดินทางในครั้งนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงสมรรถนะของฟอร์ดเอเวอร์เรสเอสยูวีสมรรถนะสูงที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี่ที่ตอบสนองต่อการขับขี่ในทุกรูปแบบบนทุกสภาพถนน รถไปได้ คนไปได้ ผู้ชายไปได้ ผู้หญิงก็ไปได้