หลังจากนานนับศตวรรษ ที่ยอดการขายรถยนต์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จวบจนมาถึงเวลาที่ยอดขายรถยนต์ทั่วโลก เริ่มซบเซา รวมทั้งหดตัวในบางตลาด ทำให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ ต้องเตรียมการรับมือแต่เนิ่นๆ ด้วยการปลดพนักงานจำนวนมาก เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย
ในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศจีน, อังกฤษ, เยอรมัน, แคนาดา และสหรัฐอเมริกา มีประกาศลดพนักงานไปแล้วอย่างน้อย 38,000 ตำแหน่ง อดีต ซีอีโอ ไดเตอร์ เซ็ทเซ่ Dieter Zetsche ที่เพิ่งเกษียนอายุ ระบุว่า นี่ยังเป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น รายการลดค่าใช้จ่ายในการผลิต ก็จำเป็นต้องเตรียมการ ขณะที่อนาคตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็เริ่มมียอดขายที่ลดลง แม้แต่ในตลาดใหญ่ๆ อย่างจีน ยอดขายก็เริ่มลดลง
“อุตสาหกรรมรถยนต์ เข้าสู่ช่วงขาลง โดยที่เราเองก็คาดไม่ถึงว่ายอดขายจะลดลงเร็วขนาดนี้” นักวิเคราะห์ทางการเงินของ ธนาคารอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ Merrill Lynch คุณจอห์น เมอร์ฟี่ John Murphy กล่าวในการประชุมวิเคราะห์สถานการณ์ที่กรุงดีทรอยต์ โดยระบุว่า ยอดการขายในจีนที่ลดลงอย่างรวดเร็ว เป็นเรื่องที่ “น่าประหลาดใจ”
อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลก ต่างพากันลดกะการทำงาน หรือปิดโรงงาน แต่กระนั้น ก็ยังคงต้องลดจำนวนพนักงานอยู่ดี โดยสิ่งแรกที่ผู้จัดการโรงงานจะกระทำ คือลดพนักงานที่กินเงินเดือนทั้งใน จีน และสหรัฐอเมริกา
แต่ปัญหาที่ตามมาคือ พัฒนาการของรถยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์ขับเคลื่อนก้าวเข้ามาในอุตสาหกรรมนี้เร็วมาก
นอกจากนั้น สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกา กับประเทศอื่นๆ ไม่จำกัดเพียงประเทศจีนประเทศเดียว การขึ้นอัตราภาษีนำเข้า ต่างๆ ทำให้มีคำเตือนออกมาจากนักวิเคราะห์ ว่าอาจทำให้คนอเมริกันถึง 700,000 คน มีความเสี่ยงที่จะต้องตกงานในอนาคต
แอลเอ็มซี ออโตโมทีฟ ผู้เก็บสถิติการขายของรถยนต์ทั่วโลก ระบุว่า ทั้งโลกนี้ ยอดขายรถยนต์ขนาดเล็ก หดตัวลงในปี 2561 0.5% ขายได้เพียง 94.8 ล้านคัน นับเป็นการหดตัวครั้งแรกนับแต่ปี 2552 เป็นต้นมา โดยนักวิเคราะห์ มอร์แกน สเตนเล่ย์ ก็ประเมินว่า ปีนี้ ยอดขายรถยนต์จะลดลงอีก 0.3% ดังนั้น ค่ายรถยนต์ต่างๆ จึงพยายามเตรียมตัวโดยการลดจำนวนพนักงานไว้ก่อนล่วงหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้ผลประกอบการ และผลกำไรในอนาคตลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…
บริษัท มิตซูบิช…