คอลัมน์ผู้หญิงขับรถไปเที่ยวนครวัด กัมพูชา กับ Hyundai Veloster (ตอนที่ 2 )
เมื่อตอนที่แล้วได้พูดถึงคาราวานท่องเที่ยวไปนครวัดที่เมืองเสียมราฐ กัมพูชา กับขบวนคาราวานฮุนได Veloster ตามบทความตอนที่ 1 ไปแล้ว ซึ่งเป็นวันแรกของการเดินทางของทริปนี้ที่
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=1555
เช้าวันที่สองหลังจากรับประทานอาหารเช้าแล้ว ก็มาตั้งขบวนกันที่หน้าโรงแรม SOMADEVI Angkor Hotel &Spa (Siem Reap) ขบวนก็เป็นเช่นเดิม เพียงแต่สลับกันขับ แต่พวกเราสามสาวก็ยังได้สิทธ์พิเศษนั่งรถ Hyundai Grand Starex Premium เข้าชมเมือง
การขับรถในเมืองเสียมราฐนั้นขับตรงกันข้ามกับบ้านเรา ของเราขับชิดซ้าย ส่วนของเขาขับชิดขวาเพราะพวงมาลัยซ้าย
ขอพูดถึงเรื่องน้ำมันในเมืองนี้ก่อนนะคะ น้ำมันที่นี่จะมีแต่เบนซิน ไม่มีแก๊สโซฮอล์ค่ะ เบนซินก็มีสองชนิดคือ เบนซิน 98 ราคา ในช่วงที่เดินทางไป 5,500 เรียล (43.10 บาท) และเบนซิน 92 ราคา 5,200 เรียล ( 40.75 บาท) และดีเซลราคาอยู่ที่ 4,800 เรียล ( 37.61 บาท)
เมื่อตั้งขบวนเพื่อออกเดินทางกันพร้อมแล้ว ก็มีรถนำขบวนในการเดินทาง จุดแรกที่ไปก่อนที่จะไปชมปราสาทต่างๆ ก็คือไปทำบัตรกันก่อน เรียกว่าบัตร Angkor Passโดยถ่ายรูปติดบัตร ก็ใช้เวลาไม่นานนัก บัตรนี้เป็นบัตรผ่านเข้าชมทั้งนครวัด นครธม และเข้าห้องน้ำ บัตรราคา 20 US$ .ใช้ได้ภายในหนึ่งวัน
หลังจากทำบัตรเสร็จแล้วขบวนคาราวานฮุนได Velostor ก็วิ่งรอบคูเมืองของทางนครธมซึ่งบ้านเมืองใกล้สถานที่สำคัญเหล่านี้จะมีไม่มาก ขบวนรถเป็นที่สนใจของชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก เพราะความโฉบเฉี่ยวและความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของตัวรถ
นอกจากนี้การเดินทางด้วยการขับรถอย่างขบวนคาราวานฮุนได Veloster ทำให้ได้เห็นทิวทัศน์ที่เป็นชนบทและธรรมชาติของกัมพูชาด้วย
จุดแรกที่ขบวนคาราวานฮุนได Veloster เข้าเยี่ยมชมก็คือปราสาทบันทายศรีอยู่ทางตอนเหนือของนครธม เป็นปราสาทที่น่าสนใจเป็นอันดับที่ 4 รองจาก นครวัด นคร ธม ปราสาทบายน และปราสาทพระขรรค์
คำว่าบันทายศรี ในภาษาเขมรหมายถึง ป้อมสตรี เดิมทีเรียกว่าปราสาทพระศิวะ “เจ้าแห่งสามโลก” คำว่าป้อมสตรีในปัจจุบันไม่ได้มีความสำคัญอะไร อาจจะหมายถึงภาพนูนต่ำ และภาพแกะสลักรูปเทพธิดา ที่มีอยู่มากมายในปราสาทก็ได้
ช่วงที่เข้าไปมีหลายจุดที่ทำการบูรณะอยู่ ก็เลยเข้าไปไม่ได้
เดินออกจากปราสาทบันทายศรีไปขึ้นรถบรรยากาศร่มรื่นทีเดียว
จากนั้นขบวนรถฮุนได Veloster ก็เดินทางไปที่ปราสาทตาพรหม ซึ่งปราสาทนี้จะมีสัญญลักษณ์ต้นไม้ใหญ่มากๆ เป็นปราสาทที่มีรากไม้แทรกอยู่ตามปราสาท ลักษณะเด่นอีกอย่างก็คือมีต้นไม้ขึ้นคลุมตัวปราสาท แต่ด้านในเดินเข้าไปได้เข้าไปได้นิดเดียวเพราะเขากำลังบูรณะอยู่เช่นเดียวกัน
ที่ปราสาทตาพรมจะมีพ่อค้าแม่ค้ามากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่เดินขายของนักท่องเที่ยว ซึ่งการเดินทางไปครั้งนี้จะเห็นที่นี้ที่เดียวที่มีคนเดินตามขายของนักท่องเที่ยว ที่อื่นไม่เห็นเลย คิดว่าน่าจะมีการคุมเข้มไม่ให้ไปรบกวนนักท่องเที่ยวของทางกัมพูชา
ของที่ขายก็เป็นของที่ระลึกอย่างเช่นผ้าพันคอ กรรไกรตัดเล็บเป็นรูปปราสาทต่างๆ ซออู้ ขลุ่ย ของก็สามารถต่อลองได้มากเลยล่ะ และรับเงินไทยด้วยค่ะ ขลุ่ยอยู่ในกระบอกไม้ไผ่ตอนแรกบอกห้าอันร้อย เห็นพรรคพวกที่ซื้อกันสามารถซื้อได้ถึงแปดอันร้อยบาท อันนี้ก็เป็นความสนุกสนามในการซื้อของ ไม่เห็นมีใครลองเป่าขลุ่ยเลย เพราะเป่าไม่เป็นหรือกลัวน้ำลายคนขายก็มิอาจที่จะรู้ได้
เด็กชาวเขมรหลายคนพูดภาษาอังกฤษได้ดีทีเดียว
และถึงเวลารับประทานอาหารกลางวัน ก็ไปทานอาหารบุฟเฟ่ห์ที่ร้าน TONLE MEKONG ที่นี่มีอาหารหลากหลายชนิด รสชาติดี ที่ชอบคือขนมหวานค่ะมีให้เลือกหลายอย่างเช่นกล้วยบวดชี ฟักทองแกงบวด ข้าวเหนียวทุเรียน ของกินแล้วอ้วนทั้งนั้นเลย
ท้องอิ่มแล้วขบวนคาราวาน Veloster ก็เดินทางไปยังปราสาทบายนซึ่งปราสาทบายนนี้อยู่ภายในกำแพงเมืองนครธน
เมื่อไปถึงก็ฟังเจ้าหน้าที่บรรยายถึงความเป็นมาของปราสาทบายน มีเจ้าหน้าที่จากปราสาทมาถามดิฉันว่า เอารถมาถ่ายโฆษณาที่นี่หรือคะ ดิฉันก็ตอบไปว่ามาคาราวานท่องเที่ยวค่ะ
ปราสาทบายนในนครธมนั้นเป็นโบราณสถานที่สำคัญที่สุดเป็นลำดับที่สองรองจากนครวัด สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 12 ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ปราสาทบายนสร้างขึ้นจากหินทรายและเป็นสัญญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ เมื่อมองจากด้านนอก
จุดสำคัญที่ควรไปชมคือหอคอย 37 ยอด และใบหน้าทำจากหินทราย จำนวนมากซึ่เป็นใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมัน แต่ตอนนี้ปราสาทกำลังบูรณะ ก็เข้าไปได้เป็นบางจุดเช่นกันค่ะ
ซึ่งนักท่องเที่ยวก็เข้าไปถ่ายรูปกันเยอะมาก มีจุดหนึ่งที่บอกว่าเป็นจุดที่รูปปั้นพระเจ้าชัยวรมันยิ้มสวยที่สุด ก็จะมีคนไปถ่ายรูปกันเยอะรวมทั้งตัวดิฉันด้วย
จุดหมายต่อไปของทีมคาราวานฮุนได Veloster ก็คือนครวัด ซึ่งเป็นมรดกโลก และเป็นหนึ่งในเจ็ดของสิ่งมหัศจรรย์ของโลก สร้างในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2
มหาปราสาทนครวัดสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยะวรมันที่ 2 จุดประสงค์เพื่ออุทิศถวายแด่พระวิษณุเทพในศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์ และใช้เป็นสุสานเก็บพระศพของพระองค์ ด้วยเหตุนี้มหาปราสาทนครวัดจึงหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ต่างจากปราสาทอื่นๆที่จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเป็นส่วนใหญ่
ชาวขอมโบราณเชื่อว่า ทิศตะวันออกเป็นทิศของการเกิด ความรุ่งเรือง มงคล ส่วนทิศตะวันตกเป็นทิศแห่งความตายนครวัดหันหน้าไปทางทิศตะวันตกด้วยเพื่อจุดมุ่งหมายเพื่อจะใช้เป็นที่ฝังพระศพของพระเจ้าชัยวรมันที่2
โดยมีกำแพงเมืองสุดลูกหูลูกตา นครวัดสร้างด้วยอิฐและหิน จิตรกรรมฝาผนังในวัดเป็นการจารึกเหตุการณ์ในช่วงนั้นอย่างเช่นการสู้รบของชาวเขมรและชาวจามในอังกอร์
และมีจิตรกรรมฝาผนังเป็นภาพอันสวยงามของนางอัปสราซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นพันรูป
ปราสาทสร้างเป็นปรางค์ ห้ายอด ยอดกลางสูงที่สุด
นครวัดที่เดินทางไปครั้งนี้ก็อยู่ระหว่างการบูรณะเช่นกัน ก็เลยเดินได้ในบางส่วน แต่บนยอดเจดีย์สูงๆนั้นขึ้นไปเพื่อชมทิวทัศน์รอบนครวัดได้ เดี๋ยวนี้เขาได้สร้างบันไดให้ขึ้นลงได้ แต่ก็ยังสูงชัน
ซึ่งก่อนนั้นเมื่อสักเกือบสิบปีที่แล้ว ต้องปีนขึ้นไปซึ่งน่ากลัวมาก ต้องใช้มือเกาะบันไดหินที่ละคั่นเหใอนคลานขึ้นไป แต่ยังดีที่ขาลงได้ทำบันไดไม้ให้ลงได้
เมื่อลงจากยอดเจดีย์ ก็มีนางรำอยู่ข้างล่างให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูป คิดเป็นเงินไทยคนละสี่สิบบาทมีช่างภาพช่วยถ่ายรูปให้ด้วย
นครวัดนี้มีจุดที่เป็นที่สนใจให้ถ่ายรูปก็คือที่ริมบึง ใกล้กับองค์ปราสาท ถ้าช่วงน้ำเยอะจะสะท้อนให้เห็นภาพของปราสาททั้งหมดอยู่ในน้ำ ซึ่งสวยงามมาก ช่วงที่ไปน้ำไม่เยอะมากนัก ก็ยังเห็นภาพเหล่านี้ได้ ที่ปราสาทบายนก็เช่นเดียวกัน เป็นที่น่าแปลกใจมากๆ
หลังจากเยี่ยมชมโบราณสถานเหล่านี้แล้ว ขบวนคาราวานฮุนได Veloster ก็กลับเข้าที่พัก เพื่อรับประทานอาหารค่ำที่โรงแรมที่พัก
เช้าวันที่ 3 ก็เป็นวันที่เตรียมเดินทางกลับกรุงเทพฯ ช่วงเช้าก็พอมีเวลาก่อนจะเดินทางกลับ ก็แวะตลาดที่ขายของที่ระลึก เป็นตลาดที่ไม่ไกลจากไนท์มาร์เก็ตเท่าไหร่นัก ซึ่งก็จะคล้ายกับร้านขายของที่ระลึกที่เชียงใหม่ ของที่ขายสามารถต่อลองราคาได้ครึ่งต่อครึ่งเลย ก็เป็นเรื่องสนุกสนานอย่างหนึ่งในการซื้อของ ซื้อเสร็จแล้วก็ถ่ายรูปกับคนขายของอีกด้วยเป็นของแถม
การเดินทางกลับกรุงเทพฯในครั้งนี้ก็ถึงคิวที่พวกเราสามสาวต้องขับรถฮุนได Veloster กันบ้างละคะ หลังจากที่นั่งสบายกันบนรถ Grand Starex Premium มาสองวันแล้ว
มาทำความรู้จักกับฮุนได Veloster กันก่อนที่จะไปขับรถกันนะคะ
Veloster มาจากการรวมกันของคำสองคำคือ Velocity กับRoadster ซึ่ง Velocity หมายถึงความเร็ว และ Roadsterหมายถึงรถ 2 ที่นั่ง ที่เน้นการขับขี่แบบสปอร์ตสนุกสนาน ความเร็วและความตื่นเต้น และรถที่ออกแนวโฉบเฉี่ยว ดูแล้วเหมาะกับรถคันนี้มากๆ
Veloster ต้นกำเนิดมาจากรถต้นแบบ HND-3 ออกแบบโดย Namyang Design &Technical Center ของฮุนได ที่ประเทศเกาหลี
เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี.ระบบหัวฉีดแบบ Multi Point Injection (MPI) ระบบวาล์วแปรผันคู่ D-CTTV กำลังสูงสุด 130 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 157 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบ อัตราเร่ง 0-100 กม/ชม.ใช้เวลา 11.5 วินาที สำหรับVelosterตัวธรรมดา เบาะนั่งใช้มือปรับ ที่นั่งเป็นเบาะผ้าแบบ Tricot ล้อขนาด 17 นิ้ว ยางขนาด 215/45 R17
ส่วนตัว Veloster Sport Turbo เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี Turbo gasoline direct Injection (T-GDI) ระบบวาล์วแปรผันคู่ D-CVVT กำลังสูงสุด 186 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 265 นิวตันเมตร ที่ 1,500 -4,500 รอบ อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 8.1 วินาที เบาะนั้งปรับไฟฟ้า ที่นั่งเป็นเบาะหนังแท้ ล้อขนาด 18 นิ้ว ยางขนาด 215/40 R18
เมื่อได้เห็นรูปร่างของรถคันนี้ต้องยอมรับว่าสวยโฉบเฉี่ยวไฉไลจริง รูปทรงเส้นสาย ส่วนโค้งส่วนเว้า สมส่วน
ครั้งแรกที่เห็นตัวจริงของรถคันนี้ก็ชอบแล้วค่ะ ประตูด้านคนขับ เป็นประตูบานเดียว เปิดได้กว้างถึงด้านหลัง ก้าวขึ้นลงสะดวก เก้าอี้ด้านคนขับ ตัวที่ขับไม่ใช่ตัวเทอร์โบ เก้าอี้เป็นเก้าอี้แบบใช้มือปรับเบาะนั่งด้านหน้าเป็นแบบ Bucket seat นั่งสบายโอบกระชับ
ส่วนรุ่นเทอร์โบเบาะคนขับปรับด้วยไฟฟ้า แบบ 6 ทิศทาง
แต่คันที่ได้ขับไม่ใช่ตัวเทอร์โบ ซึ่งตัวดิฉันคิดว่า ตัวนี้ก็พอแล้ว การสตาร์ทเครื่องก็ง่าย เพียงกดปุ่ม Push Start ที่ตำแหน่งกลางคอนโซล พกกุญแจโดยไม่ต้องเอาออกจากกระเป๋าค่ะ
ทัศนวิสัยในการขับขี่ดี เมื่อต้องเร่งแซงอัตราเร่งก็ได้ดั่งใจ ช่วงล่างไม่นิ่มนวลและไม่แข็งกระด้าง เหมาะสมกับการเป็นรถแบบสปอร์ต แต่คันนี้มี 4 ที่นั่ง การเกาะถนนและการเข้าโค้งให้ความมั่นใจในการขับขี่ค่ะ เพราะซุ้มล้อออกแบบให้โป่งออก รองรับล้อขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้ดูบึกบึนและเกาะถนน กันชนหลังออกแบบรวมกับปลายท่อไอเสียแบบคู่ให้เป็นชิ้นเดียวกัน ชุบด้วยโครเมี่ยม ก็มั่นใจได้เรื่องการเกาะถนน
เบรกก็เป็นเบรกที่หยุดได้ตามความต้องการ เบรกด้านหน้าและเบรกหลังเป็นดิสก์เบรกมีครีบระบายความร้อนขนาด 280 มม. หม้อลมเบรกขนาด 10 นิ้ว ใหญ่ทีเดียวเป็นแบบดิสก์เบรกทั้ง 4 ล้อ เสริมความปลอดภัยด้วยระบบป้องกันล้อล้อค ABS (Anti-Lock Brake System) ระบบเสริมแรงเบรก BA (Brake Assist) ระบบกระจายแรงเบรก EBD (Electronic Brake Distribution)
การเปลี่ยนเกียร์นุ่มนวล เกียร์เป็นแบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ดิฉันได้มีโอกาสนั่งด้านหล้งโดยขึ้นประตูด้านหลังคนนั่งที่มีประตู 2 บาน แต่ออกแบบอย่างเก๋ไก๋ทีจับประตูด้านหลังจะเฉียงเฉียง มือจับประตูหลังก็เลยออกแบบให้ซ่อนกลมกลืนกับกระจก เพื่อ คงลักษณะของรถคูเป้ ที่นั่งหลังก็นั่งสบายค่ะ แอร์เย็น แต่กระจกด้านหลังจะลาดต่ำ แต่เห็นคนตัวสูงนั่งก็ไม่มีปัญหา
แต่ช่วงที่ดิฉันขับ มีตกหลุมเล็กน้อย เพราะต้องวิ่งด้วยความเร็วค่อนข้างสูงเพื่อจะได้เร่งแซงรถที่วิ่งด้านข้างให้พ้น มีผลให้คุณสินชัยจาก หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก หัวไปโหม่งกับกระจกบนเพดานเล็กน้อย หลังจากนั่นคุณสินชัยก็โทรไปจัดรายการวิทยุอย่างสนุกสนาน เกี่ยวกันมั๊ยนี่
ที่เก็บของด้านหลังก็กว้างมาก ถ้าจะบรรทุกของเยอะก็พับเบาะนั่งด้านหลังลงได้
Hyundai Veloster คันนี้ก้เป็นรถที่ขับสนุก มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รับรองว่าขับไปไหนก็มีคนมอง และเป็นรถที่นำเข้าจากเกาหลีของแท้เลยค่ะ
ส่วนในเรื่องของราคา ฮุนได Veloster ตัวธรรมดาราคา 1,299,000 บาท รุ่น Veloster Sport Turbo ราคา 1,739,000 บาท
ผู้ที่ชอบความแตกต่าง ก็ไม่น่าจะพลาดรถคันนี้นะคะ
คอลัมน์ผู้หญิงขับรถ
ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
อีซูซุส่งเครื่อ…