ไม่ได้มีเวลาเขียนเรื่องราวมาเล่าสู่กันฟังเสียนาน วันนี้คันมือคันไม้ เปิดไฟล์มาเขียนซักที ความจริงแล้วผมอยากให้ผู้ผ่านมาพบอ่านเจอเก็บไปคิดบ้างซักหน่อยในยามขับรถทางไกลในช่วงวันหยุดนี้
หลังจากไปรับลมหนาวที่เชียงใหม่ ปาย ขุมยวม ซักสี่ห้าวันแล้ว ผมตัดสินใจวิ่งลงตรงกลับกรุงเทพก่อนที่จะต้องแย่งกันกินกันใช้ในวันปีใหม่เหมือนทุกเทศกาลที่ผ่านมา ขากลับลงมาก็ยืนยันว่าผมตัดสินใจไม่ผิดเนื่องจากสายรถติดเริ่มก่อตัวเป็นระรอกยาวสุดตาเริ่มมาตั้งแต่นครสวรรค์ ช่วงสิงห์บุรี-อยุธยา ไม่ต่างอะไรกับลานจอดรถ ผมนับได้ว่าไม่ต่ำกว่า 3-5 กิโลเมตรในแต่ละจุดที่ติด
สาเหตุหลักก็ไม่หนีไม่ไหนถ้าไม่ใช้พื้นที่ถนนกับจำนวนรถครับ ที่ส่งทำให้สถากรณ์เลวร้ายไปกว่าที่เป็นอยู่ก็บรรดานักขับที่ชอบเปิดเลนพิเศษและเข้าแทรกเพื่อขึ้นสะพาน ดูไปแล้วก็เหมือนจะเป็นตำรวจทางหลวงที่ปล่อยหรือแม้แต่กำกับให้ทำเช่นนั้นแสียเองครับ
ก็พอเข้าใจครับถึงความอึดอัด ผมเองก็เคยทำอยู่ ผมคิดว่าตรงนี้ต้องมีการจัดการกันอย่างเด็ดขาดแล้วครับ ใช้จิตสำนึกอย่างเดียวคงไม่ได้ครับ กฏหมายต้องเด็ดขาด
ต้องยอมรับตรง ๆ ครับว่าตรงนี้ผมขาดจิตสำนึกในบางครั้งผมกลั้นเมื่อเห็นคนที่ทำผิดไปได้เร็วกว่าโดยไม่มีการทำโทษใด ๆ ถ้าจะตอบกันอย่างพุทธว่าเขาคงรู้สึกไม่ดีหรอกเพราะรู้ว่าตนทำผิดเอาเปรียบรถที่ทำถูกอยู่ ผมเองออกจะไม่เชื่อครับ บางคันเห็นหันมามองด้วยสายดายั่วอวัยวะที่วางอยู่บนคันเร่งว่าทำไมเราไปได้ช้าอย่างนี้นั่งติดอยู่ทำไมให้เขาเบียด
รัฐเองผู้รับผิดชอบเรื่องถนนก็อย่างทำลายวินัยคนในชาติด้วยการไม่วางแผนของตนเองครับ ถนนเชื่อมภาคต้องขยายครับหรือไม่ก็ไล่รถบรรทุกออกไปให้ใช้ระบบราง ต้องทำกันอย่างมีระบบได้แล้วครับ ถนนเส้นเดียวใช้ให้คุ้มอย่างนี้ไม่ได้ครับ วิ่งกันทั้งรถทัวร์ รถน้ำมัน รถขนหมู ยังไม่รวมการเปิดไหล่ทางให้ทำมาหากินกันอีก
ในช่วงที่ขับลงมานั้น ผมทำความเราได้พอสมควรเพราะถนนออกจะโล่งซึ่งแน่นอนว่าผิดกันขาขึ้นเหนือที่ผมเห็น ระหว่างทางที่ผมเฝ้าขับไปคิดไปนั้น ก็พอจะสรุปได้ว่า ดูเหมือนเราจะเป็นประเทศที่การใช้รถใช้ถนนออกอยู่ในระดับกำลังพัฒนาเอาจริง ๆ ถามว่าผมวัดจากอะไรในตรงนี้ผมวัดจากผู้เกี่ยวกับถนนทั้งหมดไม่มีความเข้าใจในคำว่า “ความเร็ว”
ผู้ใช้รถยังใช้ความเร็วและช้าตามความพอใจและกำลังรถจะไปได้ อยากจอดที่ไหนจอด เหมือนวัว ควาย ช้าง กระบือ ของชาวบ้านในต่างจังหวัดที่ผูกตรงไหนก็แล้วแต่ใจต้องการ เราเองก็ไม่ต่างกับสังคมตรงนั้นเท่าไหร่ถึงแม้จะพาหนะของเราจะเร็วขึ้นมีแอร์มีเพลงฟังไพเราะแต่เราก็ยังชอบผูกรถเราตรงไหนตามใจเหมือนก่อนเก่า กลุ่มคนที่ใช้ความเร็วสูงต้องร่วมทางกับรถที่ผูกอยู่ไม่เป็นจุดจะเหลืออะไรครับ ก็เป็นความไม่เข้าใจในคำว่าความเร็วของสองวัตถุคือวัตถุที่หยุดนิ่งกับวัตถุที่วิ่งไม่หยุด
ผู้ใช้รถบ้านเรายังวิ่งสวนทางอยู่มาก ตรงนี้ผลที่ตามมาเลวร้ายกว่าข้างต้นซึ่งถือว่าสาหัสเอาการอยู่แล้วแต่ถ้าเป็นแรงบวกจากสองสิ่งที่วิ่งเข้าหากันแล้วแรงประทะนั้นจะแรงกว่าเป็นสองเท่าครับ แกนสมองจะหลุดออกจากกะโหลกทันทีที่เป็นแรงปะทะในทิศทางที่สวนทางกันในความเร็วมากกว่า 80 กม./ชม. เสียชีวิตคาที่ครับ
เทกระจาดจากการนั่งท้ายรถกระบะที่ไม่มีหลังคาก็เป็นการสูญเสียอย่างไม่น่าเกิดจากความไม่เข้าใจในเรื่องความเร็วของทั้งรัฐ ผู้ขับและผู้โดยสาร ตั้งวงสุราหลังกระบะที่วิ่งด้วยความเร็วไม่ต่ำกว่าร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมไม่แน่ใจว่าความเร็วทำให้อยากเมาหรือเมาแล้วอยากนั่งดื่มกันอย่างปล่อยอารมณ์อวดคนในท้องถนน ด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที ผมถือว่าส่วนตัดสินใจที่เป็นสมองและการวิเคราะห์ความปลอดภัยถูกใช้น้อยมากหรือปราศจากใช้อย่างสิ้นเชิง
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมเองก็ออกจะแปลกใจกับการเปิดไฟหน้านักขับบ้านเราครับ ไฟหรี่เป็นไฟที่ผิดกฎหมายถ้าเปิดใช้นะครับ แต่ไม่ใช่ในบ้านเราในสหรัฐอเมริกา อยากให้ข้อสังเกตุครับว่าไฟหน้าไม่ได้มีไว้ให้เราเห็นทางแต่อย่างเดียว หากแต่ให้คนอื่นเห็นเราด้วยครับ ดังนั้นผมอยากส่งเสริมครับให้เปิดให้เร็ว ไม่ต้องรอให้มืดก็เปิดใช้ได้ครับ วิ่งใต้ทางด้วยหรือทางที่ต้นไม้ครึ้มยิ่งสมควรเปิดครับ
อย่าว่าผมคลั่งอเมริกา เอาตามอย่างเขาเลยครับ ถ้าเราจะก้าวกระโดดโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความปลอดภัยแล้ว เราต้องรีบครับ ประเทศอย่างสหรัฐอเมริกามีทุนวิจัยเรื่องความปลอดภัย เผลอ ๆ อาจจะใช้มากกว่างบประมาณแผ่นดินเมืองไทยด้วยซ้ำไป ประเทศเหล่านี้มีบทเรียนมาแล้วจากความผิดพลาดเก่า ๆ ของเขาเอง อย่างเสียเวลาวิจัยต่อ ตั้งกรรมการวิเคราะห์ความเป็นไปได้เลยครับ
ผมเห็นซอฟแวร์ยังขโมยเขาใช้กันจัง แต่กฏหมายหรือระบบอะไรดี ๆ ที่เขาทำได้ผมไม่ยักมาต้องมาตั้งคณะทำงานว่าเหมาะสมกับบ้านเราหรือเปล่า น่าแปลกใจครับ
คราวหน้าผมจะนำมาให้แปลให้อ่าน ๆ กันเล่น ๆ สำหรับข้อต้องปฏิบัติและห้ามปฏิบัติของนักขับรถที่นั่นต้องยึดถือกัน
อยากให้ข้อคิดกันเอาไว้ครับว่าเราดูเหมือนจะเป็นประเทศที่มีสิ่งศักสิทธิ์มาห้อยมาแหวนบดบังทัศนวิสัยและการทำงานของถุงลมนิรภัยอยู่ในรถมากที่สุด แต่กลับมีความปลอดภัยในท้องถนนต่ำที่สุดประเทศหนึ่งเช่นกัน อุบัติเหตุเป็นเรื่องเกี่ยวกับดวงจริงหรือ หรือเกี่ยวกับการระวังป้องกันและวางแผนที่ดี ความไม่ประมาทและละเลยของผู้ขับขี่และผู้สร้างถนน โทษโชคชะตาเป็นเรื่องง่ายที่จะยกมาโทษกันของผู้ไม่ต้องการหาเหตุผลครับ ทุกอย่างมีเหตุจากพิสูจน์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์
กนวิชญ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
“มหกรรมยานยนต์ …