กินน้ำมันมากไปมั๊ยครับ

Brand: HONDA Model: CR-V
Year: 2008 Miles: 0-5000
From: สมศักดิ์ ชวางกูร

เรียนคุณธเนศร์

รถ Honda CR-V 2.4 พึ่งออกรถเมื่อเดือน สิงหาคม 2008 ใช้รถมาประมาณ 1800 กิโลเมตร ปกติขับแต่ในเมือง ไปกลับจากบ้าน-ที่ทำงานประมาณวันละ 20 กม. เติมน้ำมันเบนซิน 91 สลับกับ Gasohol 95 (เพราะว่าเบนซิน 91 หาเติมยาก)
1. ตัวเลขค่าเฉลี่ยน้ำมันต่อลิตรที่ขึ้นบนหน้าปัด อยู่ประมาณ 5.6-5.8 กม.ต่อลิตร ถือว่ากินน้ำมันมากไปมั๊ยครับ เพราะว่าต้องแวะเข้าเติมน้ำมันบ่อยมากทั้งๆที่ไม่ค่อยได้วิ่งทางไกล และเคยอ่านหนังสือทดสอบรถบอกไว้ว่ารถรุ่นนี้ถ้าวิ่งในเมือง เฉลี่ยอยู่ที่ 12-13 กม.ต่อลิตร เป็นปกติของรถรุ่นนี้หรือมีความบกพร่องอะไรบ้างหรือปล่าวครับ
2. ช่วยแนะนำเกรดของน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุดของรุ่นนี้ให้หน่อยครับ
3. ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่ 5,000 กม.จะดีกว่าเปลี่ยนที่ 10,000 กม.มั๊ยครับ
4. ปกติตอนเช้า การอุ่นเครื่องควรอุ่นเครื่องอยู่กับที่รอความร้อนถึงขีดกลางหรือ start เครื่องแล้วค่อยๆวิ่งจนความร้อนถึงขีดกลาง อย่างไหนจะถนอมเครื่องได้ดีกว่าครับ
5. ถ้าอุ่นเครื่องตอนเช้าโดยการ start เครื่องแล้วค่อยๆวิ่ง ควรวิ่งที่ความเร็วไม่ควรเกินเท่าไรครับถึงความร้อนจะถึงขีดกลาง แล้วค่อยวิ่งตามปกติได้ครับ
6. ก่อนเข้าบ้าน การปิดแอร์ก่อนสักประมาณ 2-3 นาทีหรือการปิดปุ่ม A/C แล้วเปิดแต่พัดลมแอร์ อย่างไหนเป็นการไล่ความชื้นในตัวแอร์ได้ดีกว่าครับ

มีหลายคำถามหน่อย ขอบคุณมากครับที่สละเวลาในการตอบคำถามให้ครับ

สมศักดิ์


1-หนังสือทดสอบรถอะไรที่บอกว่า วิ่งในเมืองเฉลี่ย 12-13 กิโลเมตรต่อลิตรนี่ คุณคงต้องเขียนไปถามเขาเองแล้วละครับ หรือไม่ก็เลิกซื้อไปเลย ในเมืองเขาเอาอะไรวัด เอาอะไรมาเฉลี่ย เอาระยะทางขับอย่างไรมาเทียบให้คุณทราบ
อย่างเมืองนอก อเมริกา หรือญี่ปุ่น เขามีมาตรฐานที่ทำกันเอาไว้ วิ่งไปกี่เมตรกี่กิโล หยุด รอกี่นาที แล้วออกรถวิ่งไปอีก ความเร็วไม่เกินเท่าไร แล้วหยุด สลับกันอย่างนี้เป็นวงจร หลายวงจร กว่าจะได้อัตราเฉลี่ยออกมา ถามหน่อยว่า หนังสือนั้นนั้นทำกันหรือไม่ ถ้าไม่ได้ทำ อย่าเอามาอ้างเลยครับ
ผมเองก็ไม่ได้ทำ และผมบอกเสมอว่า ในเมืองผมวัดอัตราสิ้นเปลืองไม่ได้ นอกจากรถที่ผมใช้ประจำ ดังนั้น ผมจึงขอตัว ไม่ให้ความเห็นการวัดอัตราสิ้นเปลืองในเมือง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ที่การจราจรเหมือนดีเพรสชั่น ไปไปมามาอย่างไรพิกล นึกจะติดก็ติด นึกจะโล่งก็โล่ง ใครจะไปเดาใจใครไหว ทางที่ดี ก็ยอมรับสภาพไป แล้วบอกตรงตรงว่า ไม่ทราบครับ อย่างนี้แหละ ตรงไปตรงมาที่สุดแล้วละครับ

คือถ้าเป็นรถขนาด 2.0 ลิตร ผมว่า ระดับในเมืองอยู่แถว 6-8 กิโลเมตรต่อลิตร ก็พอยอมรับได้ ขนาด 2.5 ลิตร อยู่แถว 5-7 กิโลเมตรต่อลิตร พอรับได้เช่นกัน

ของคุณนี่ อาจจะต้องยอมรับว่า รู้สึกว่ามากไปสักหน่อย คงจะอยู่ที่ความถนุถนอมรถของคุณ ทำให้ไม่ค่อยกดคันเร่ง คือค่อยค่อยเหยียบลงไปแล้วค้างเอาไว้ ตรงนั้น จะกินน้ำมันมากหน่อยครับ
กดแรงนิด ลึกหน่อย ออกตัวแล้วผ่อนลง ผมว่า น่าจะกินน้อยกว่าที่บอกมาบ้างนะครับ เห็นใจครับ รถใหม่ใครก็รัก แต่บางที การใช้งานรถยนต์ก็ต้องพูดกันตรงตรง จะให้ผลดีกว่ามาเอาอกเอาใจ พะเน้าพะนอกันครับ ด้วยรักนะนี่ ถึงได้พูดอย่างนี้

2-เกรดหรือความข้นใสของน้ำมันเครื่องดีที่สุดสำหรับรุ่นนี้ ก็คือที่เขาแนะนำไว้ในคู่มือนั่นแหละครับ คือน่าจะเป็น 5W หรือ 10 W-30 ส่วนมาตรฐาน API ก็ต้องเลือกแบบสูงที่สุดเท่าที่มีในขณะนี้ ก็คือ SM

3-เปลี่ยนทำไมครับ ที่ 5,000 กิโลเมตร แค่ที่เราใช้รถยนต์กันแล้วปล่อยมลภาวะออกมาเท่านี้ ยังไม่พอใจอีกหรือ ยังอยากจะทิ้งมลภาวะทางน้ำมันเครื่องใช้แล้ว ที่ยังไม่หมดสภาพ เอาไว้ให้ลูกหลานไทยต้องทนอาบทนกินทนยืนกันอยู่บนมลภาวะเหล่านั้นอีกหรือ
เขาใช้กันหนึ่งหมื่นกิโลเมตรมาหลายปีแล้วครับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1994 โน่น นี่ก็ปี 2009 แล้ว อย่าทำอะไรล้าสมัย ล้าหลังให้เยาวชนไทยต้องมารับกรรมด้วยการทิ้งน้ำมันดีดีเอาไว้ให้ทับถมกันอยู่ในแผ่นดินของพวกเขาเลย
นี่พูดแค่ไม่เกี่ยวกับว่า คุณจะต้องเอาเงินไทยแลกเงินต่างประเทศไปซื้อน้ำมันเครื่องมาจากต่างประเทศอีกด้วยนะ
ใช้ให้คุ้มดีกว่าครับ หมื่นกิโลเมตร หรือหมื่นห้าพันกิโลเมตรไปเลยก็ยิ่งดี

4-แล้วแต่ชอบครับ ปัจจุบันนี้ การติดเครื่องยนต์ แล้วคาดเข็มขัด เปิดแอร์ ปรับที่นั่ง ก็หมดไปเกือบ 30 วินาทีแล้ว พอถมไปแล้วสำหรับการให้น้ำมันเครื่องขึ้นมาเลี้ยงเครื่องยนต์ และพอถมไปแล้วสำหรับการออกรถเดินทางไปจนเครื่องร้อนขึ้น ไม่ต้องรอให้อุ่น แต่อยากรอ ก็รอได้ แต่อาจจะต้องคิดสักนิด ว่าไอพิษระหว่างที่รอ ก็จะพ่นเข้าไปอบอวลในบ้านคุณหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็อย่ารอเลยดีกว่าครับ ออกรถไปเลย เอาไอพิษไปปล่อยนอกบ้าน
คือพูดจริงจริงแล้ว ไอพิษจากเครื่องยนต์นี่เราหนีไม่พ้น ก็ต้องเรียนรู้ในการที่จะอยู่กับมันเท่านั้นแหละครับ ผมถึงได้เปรียบเทียบให้คุณคิดเอง

5-เท่าไรก็ได้ครับ เกียร์อัตโนมัติจะปรับตัวให้เองแหละ อย่าไประวังอะไรมากจนเกิดเหตุ เดี๋ยวเวลาจะรีบร้อนใช้งาน คุณจะวิตกเกินไปครับ

6-การปิดปุ่ม AC จะไล่ความชื้นได้ดีกว่าครับ แต่ปกติ ผมไม่ทำหรอกครับ คือที่ช่วยนั้นช่วยได้จริง แต่ช่วยได้แค่ยืดอายุออกไปสักเดือนเดียวเป็นอย่างมาก จากสามปี นะ สมมุตินะสมมุติ ผมรู้สึกว่า ไม่คุ้ม ถ้าจะต้องมาคิดระวังกันตลอดเวลาที่ขับรถ
คือรถยนต์เขามีเอาไว้ให้ใช้งาน ให้เกิดความสะดวกสบาย ไม่ใช่ใช้แล้วกังวลไปทุกเรื่อง นี่เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะ ไม่ใช่จะมายัดเยียดให้คุณ แต่คิดว่า ก็ควรจะได้รับการพิจารณาจากคุณด้วย หากไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร ถามไปอีกก็ได้ ถามไป ผมก็ตอบมา แต่ผมอยากให้ข้อคิดสักนิดกับทุกท่าน
ว่ารถยนต์นั้น หากเราไม่จู้จี้กับมัน มันก็จะไม่จุกจิกกับเรา และรถยนต์ สร้างออกมาเพื่อให้ความสะดวกสบายกับเรา ไม่ใช่ให้เราต้องลำบาก และไม่ใช่ให้เราต้องยุ่งยากในการดูแลรักษามันครับ
ด้วยความปรารถนาดี-ธเนศร์

Facebook Comments