Ford Ranger ใหม่เปิดตัวเมื่อวันที่ 20กรกฎาคมที่ผ่านมา และได้ให้สื่อมวลชนได้ร่วมไปขับรถทดสอบ
แบบ Group Test โดยใช้เส้นทางเชียงราย-เชียงของ ระยะทางไปกลับ ประมาณ 368 กิโลเมตร
โดยรถที่ให้ไปทดสอบครั้งนนี้มี 2 รุ่นด้วยกันคือ ตัว Double Cab 2.0 L Bi-Turbo Wildtrak 4X4 เกียร์อัตโนมัติ10 สปีด ราคา 1,265.000
และรุ่น Double Cab 2.0 L Turbo Limited 4X4 เกียร์อัตโนมัติ 10 สปีด ราคา 1,029,000 บาท
รุ่น Limited
ไฟหน้า HID โปรเจคเตอร์พร้อมไฟวิ่งกลางวัน LED,
ฝาท้ายแบบผ่อนแรง Easy Lift,
ล้ออัลลอย 18 นิ้ว พร้อมยางขนาด 265/60 R 18
รุ่น Wildtrak เพิ่มเติมจากรุ่น Limited
ไฟตัดหมอกหน้า LED, ไฟส่องสว่างข้าวตัวรถ, สปอร์ตบาร์และราวหลังคา, พื้นปูกระบะท้าย พร้อมช่องต่อไฟ 12 โวลต์
กุญแจรีโมทพร้อมปุม่สตาร์ทรถอัตโนมัติ,
ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยก ซ้าย-ขวา, คอนโซลทำความเย็น Cool Box ,ระบบกุญแจ My Key หน้าจอข้อมูลบนหน้าปัดแบบสี ขนาด 4.2 นิ้ว 2 จอ เครื่องเสียง
ระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC 3 ภาษาไทย, จอสีแบบสัมผัส ขนาด 8 นิ้ว รองรับ Apple Car Play และ Android Auto
รุ่น Wildtrak เพิ่มเติมจากรุ่น Limited คือ
ไฟตกแต่งห้องโดยสาร Ambient Light, ช่องต่อไฟ 230 V, ปรับเบาะคนขับไฟฟ้า 8 ทิศทาง ,ชุดตกแต่งภายในแบบ Wildtrak ,ระบบตัดเสียงรบกวนภายในห้องโดยสาร (เฉพาะ 4X4 )ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ ( เฉพาะ 4 X 4) ระบบนำทาง Navigation
รุ่น Limited
ระบบช่วยโทรฉุกเฉิน, กล้องมองหลังขณะถอยจอด ,ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว และป้องกันล้อหมุนฟรี, ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนที่ลาดชัน, ระบบช่วยการทรงตัวขณะลากจูง, และระบบความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ, สัญญาณกันขโมย
รุ่น Wildtrakเพิ่มเติมจากรุ่น Limited คือ
ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC (เฉพาะ 4X4), เฟืองท้ายแบบลิมิเต็ดสลิป, ถุงลมนิรภัย 6 จุด, สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า, เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Diferential
ระบบช่วยเบรกฉุกเฉิน อัตโนมัติ พร้อมระบบตรวจจับคนเดินถนน (AEB) ,ระบบควบคุมความเร็วรักษาระยะห่างอัตโนมัติ, ระบบเตือนการชนด้านหน้า, ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเส้นทาง, ระบบแจ้งเตือนการขับขี่, ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ
โดยคันแรกที่ขับ ก็จะเป็นตัว Ford Ranger wildtrak 4X4 Double Cab 2.0 L Bi-Turbo เกียร์ 10 สปีด
โดยตอนแรกก็นั่งเป็นผู้โดยสารด้านหลังไปก่อน ที่นั่งด้านหลังมีช่องเสียบ อยู่ถึง 2 ช่อง เป็นช่องเสียบสำหรับไฟ 12.3 โวลต์ 1 ช่อง
ที่นั่งด้านหลังนั่งได้สบายทีเดียวเมื่อเจอทางขรุขระ ก็ยังให้อารมณ์รู้สึกว่ากระเทือนแบบรถกระบะเพียงเล็กน้อยช่วงล่างให้ความรู้สึกไม่แข็งกระด้าง เมื่อเจอถนนคอนกรีตก็จะรู้สึกถึงความนุ่มนวลของช่วงล่าง
ที่นั่งด้านหน้าทั้ง 2 ด้านมีกระเป๋าหลังด้วยนะ
ภายในห้องโดยสารเงียบที่เดียวอาจจะเป็นเพราะว่า มีระบบ ตัดเสียงรบกวนในห้องโดยสารทั้งด้านกน้าและด้านหลังซึ่งช่วยได้เยอะ
เมื่อถึงเวลาที่ต้องขึ้นขับ ก็ปรับที่นั่งขึ้นลงสูงต่ำด้วยระบบไฟฟ้า แล้วก็นั่งสบาย กระจกมองข้างใหญ๋ดี
ผู้หญิงตัวเล็กขึ้นรถคันสูงก็ต้องเหยียบบันได แล้วจับที่จับด้านบนฝั่งที่นั่งคนขับก่อนจะขึ้นไปนั่ง ตามรูปภาพเลย
เมื่อออกตัวครั้งแรกจะยังไม่ให้ความรู้สึกว่าหลังติดเบาะ แต่ความเร็วจะค่อยๆมาเพราะเป็นเกียร์แบบ 10 สปีด การเปลี่ยนเกียร์นิ่มนวลไม่รู้สึกเลย เมื่อความเร็วมาต่อเนื่องแล้วการขับเร่งแซงต่างๆเป็นที่น่าพอใจค่ะ เหยียบแล้วความเร็วก็มาเลยค่ะ
พวงมาลัยไฟฟ้าควบคุมง่ายไม่หนักและเบาจนเกินไป
การขับขี่เส้นทางที่ไปบางช่วงเป็นทางคดเคี้ยวขึ้นเขาลงเขาการเกาะถนน ก็มั่นใจได้ เพราะความเร็วไม่ได้ใช้สูงมากนัก ส่วนบนทางเรียบโล่งๆ ใช้ความเร็วประมาณ 120 กิโลเมตร/ ชั่วโมง กระบะหลังไม่ได้บรรทุก ก็ให้ความรู้สึกว่าเกาะถนนดี ไม่เหวี่ยง
ขอพูดในส่วนในส่วนของเกียร์ 10 สปีดนะคะ ซึ่งเป็นเกียร์แบบทอร์คคอนเวิร์ดเตอร์ เป็นเกียร์ที่เน้นสำหรับรถขับหลังโดยเฉพาะ เป็นเกียร์ที่ใช้ในตัว F-150 ,F-150 Rapter
การเปลี่ยนเกียร์อยู่ที่เราเหยียบคันเร่งเกียร์จะเรียนรู้และเปลี่ยนให้เลย ก็จะไปที่ 3 หรือ 9 เลย อย่างเช่นถ้าเราออตัวโดยลากรอบ เกียร์ก็จะเปลี่ยนไปที่เกียร์ 3 ให้เลย
ถ้าออกตัวเนิบเนิบก็จะออกตัวแบบไล่เกียร์ไปเลย
มีโหมดเปลี่ยนเกียร์อยู่ที่ หัวเกียร์ซึ่งสำหรับผู้หญิงหัวเกียร์อาจจะใหญ่ไปหน่อย ซึ่งเราอาจจะไม่ถนัดมือหรือคุ้นเคยกับการเปลี่ยนเกียร์แบบนี้ แต่สักพักก็ชิน
การเปลี่ยนเกียร์เราต้องไปอยู่ที่โหมด S เกียร์ถึงจะเปลี่ยนให้แบบอิสระแต่ก็ต้องอยู่ที่ความเร็วด้วย แต่ถ้าอยู๋โหมด D หน้าจอก็จะโชว์ว่าตอนนี้เราขับอยู่ที่เกียร์ไหน กด – ที่ เลขไหน เกี่ยร์จะอยู๋ที่เกียร์นั้นเลย และเมื่อเรากดเปลี่ยนไปอีก และเมื่อกดเกียร์ก็จะเปลี่ยนไปที่ละ 1 Step
รถรุ่นนี้ใฃ้สายพานไม่ใช้โซ่แล้วเพราะวิศวกรบอกว่าทำให้เสียงเบาลงและการขับขี่นุ่มนวลขึ้น ระยะเวลาการใช้งานประมาณ 240,000 กิโลเมตร หรือ ประมาณ 12 ปี
วันนี้ฝนตกแต่เช้าเลย เราก็จะเดินทางจากเชียงของเพื่อมุ่งหน้าไปแม่สาย ระยะทางประมาณ 94 กิโลเมตร ซึ่งเช้าวันนี้ รถคันที่ขับก็จะเป็นตัว FORD RANGER Limited
เครื่องยนต์ดีเซลใหม่ขนาด 2.0 ลิตร พร้อม VG Turbo Intercooler กำลังสูงสุด 180 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิด 420 นิวตันเมตร ที่ 1,750 -2,500 รอบต่อนาที
ขึ้นขับเป็นคนแรก ปรับที่นั่งให้เข้าที่ ที่นั่งปรับด้วยมือในทุกระดับ เลื่อนเข้า-ออกหรือปรับสูง-ต่ำ เส้นทางช่วงนี้จะเป็นช่วงชึ้นเขาลงเขา
ในช่วงต้นๆที่เหยียบคันเร่งช่วงขึ้นเขาจะรู้สึกได้ว่าเกียร์เปลี่ยน แต่เมื่อขับความเร็วต่อเนื่องแรงก็มาสูสีกับตัว Wildtrak เลย แต่ช่วงล่างให้ความรู้สึกว่านิ่มนวลสู้ตัวWildtrak ไม่ได้ แต่ถ้าบรรทุกหนักน่าจะดีขึ้นนะ
ถ้าคุณขับWildtrak ที่มีระบบซับเสียงแล้วมาขับคันนี้ก็จะได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังเข้ามาให้ได้ยิน จะไม่เงียบเท่า ไวลด์แทร็ค แต่การได้ยินเสียงเครื่องยนต์ก์เร้าใจดีเหมือนกันนะในกสรขับขี่ จะได้ไม่ลืมว่าเป็นรถกระบะ
ความแรงของรุ่น Wildtrak และรุ่น Limited ไม่แตกต่างกันมากนัก ส่วนฟังก์ชั่นและลูกเล่นต่างๆตัว Wildtrak มีมากว่าอย่งเช่น
1.ระบบช่วยเทียบจอดรถ (Active Park Assist-APA)ซึ่งเป็นระบบที่ติดตั้งครั้งแรกในรถกระบะ ซึ่งช่วยให้การเทียบจอดรถข้างทางเป็นเรื่อง่ายโยระบบกึ่งอัตโนมัติจะบังคับทิศทางของรถเข้าสู่ช่องจอด ผู้ขับขี่เพียงควบคุมคันเร่งและเบรกเท่านั้น
2.มีระบบเตือนการชน ที่ผสานระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติพร้อมระบตรวจับคนเดินถนน (AEB) และระบบตรวจับยานพาหนะ เป็นระบบที่อกแบบมาเพื่อตรวจจับคนเดินถนนและยานพาหนะด้านหน้า และจะทำการช่วยเบรกจนหยุกนิ่งเมื่อระบบพบว่าคนขับมาสามารถตอบสนองได้ทัน ช่วยลดการชนท้ายและคนเดินถนลง โดยระบบนี้จะทำงานเมื่อใช้ความเร็วสูงกว่า 3.6 กิโลเมตร/ชั่วโมงขึ้นไป
ฟอร์ดเรนเจอร์เพิ่มระบบพวงมาลัยไฟฟ้าในรุ่น XL,XLS ที่อุปกรณ์นี้กลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรถฟอร์ด
เมื่อได้ขับรถฟอร์เรนเจอร์ทั้งสองรุ่นนี้แล้ว คนที่ชอบลูกเล่นฟังก์ชั่นเยอะๆก็น่าจะเลือก Wildtrak นะ
แต่ถ้าไม่คำนึงในส่วนนี้แต่ชอบของใหม่ รุ่น Limited ก็น่าจะพอแล้วกับราคาที่ต่างกัน 236,000 บาท
ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
ผู้หญิงขับรถ
บริษัท โตโยต้า …
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…
บริษัท มิตซูบิช…