แลงเซส นำเสนอนวัตกรรม “ยางรถยนต์สีเขียว” ให้กับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย
ผู้บริหารระดับสูงของแลงเซส ซึ่งเป็นบริษัทเคมีภัณฑ์ชั้นนำของโลกจากประเทศเยอรมนี เปิดตัวเทคโนโลยียางรถยนต์สีเขียว (Green tires) ต่อสื่อมวลชนไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งนวัตกรรมเทคโนโลยีการผลิตยางรถยนต์แห่งโลกอนาคตดังกล่าว จะนำมาซึ่งศักยภาพสูงสุดในการประหยัดเชื้อเพลิงและการมุ่งพิทักษ์รักษาสิ่งแวดล้อมด้วย
ผู้บริหารของบริษัทยังได้กล่าวถึง ประเด็นของยานยนต์สีเขียว (Green Mobility) ว่า ในอนาคตอันใกล้ ทั้งผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมจะตระหนักดีถึงความสำคัญของเทคโนโลยียานยนต์สีเขียว ซึ่งจะกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตยานยนต์และพาหนะในรูปแบบอื่นๆ
“เราเห็นว่า ในประเทศไทยเองก็ได้มีการตอบรับเป็นอย่างดีในเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม สำหรับในภาคธุรกิจนั้น เราก็มองเห็นว่าองค์กรธุรกิจของไทยกำลังพยายามอย่างยิ่งจะก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตที่ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อม” มร. อีธาน ซิกเลอร์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด ประจำอินเดียและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของหน่วยธุรกิจ ยางบิวทิว และ ยางบิวทาไดอีน ของ แลงเซส กล่าว
“ยางสังเคราะห์นีโอดิเมียม โพลิบิวทาไดอีน (Nd-PBR) ที่ผลิตโดยแลงเซส สามารถใช้เพื่อผลิตยางรถยนต์ที่มีความประหยัดและมีแรงเสียดทานการหมุนของล้อรถในระดับต่ำ การตัดสินใจที่จะสร้างโรงงานผลิตยางสังเคราะห์ นีโอดิเมียม โพลิบิวทาไดอีน (Nd-PBR) ที่ใหญ่ที่สุดในโลกของเราที่ประเทศสิงคโปร์นั้น แสดงให้เห็นว่าแลงเซสรู้ทิศทางของความต้องการที่เพิ่มมากขึ้นต่อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวในภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในภาคอุตสาหกรรมที่มีความต้องการสารเคมีทางเลือกเพื่อการประหยัดพลังงาน” มร. ลิม ยิว ซี ผู้จัดการฝ่ายพัฒนาการตลาด ประจำภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก ของหน่วยธุรกิจ ยางบิวทาไดอีน กล่าว
ยางรถยนต์สีเขียวกับประสิทธิภาพการลดแรงต้านการหมุนของล้อ
การขับขี่ยวดยานบนท้องถนน ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 18 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนก๊าซที่ถูกปลดปล่อยทั้งหมดในโลก ยางรถยนต์นั้นเป็นส่วนประกอบที่ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงประมาณ 20-30 เปอร์เซ็นต์ และทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์จากการขับขี่ จึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจที่ประเทศต่างๆในกลุ่มสหภาพยุโรปกำลังมีมาตรการเพื่อที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ โดยเริ่มจากยางรถยนต์
มาตรฐานการติดฉลากยางรถยนต์ ซึ่งสหภาพยุโรปจะนำมาใช้ภายในปีนี้ จะมีการระบุคุณสมบัติของยางในแง่ของความประหยัดเชื้อเพลิง การยึดเกาะในสภาวะถนนลื่น และมลภาวะทางเสียง
ยิ่งไปกว่านั้น จะมีการกำหนดระดับประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานตั้งแต่ A ถึง G คล้ายกับที่ใช้กับอุปกรณ์เครื่องใช้ในครัวเรือน เช่น ตู้เย็นหรือเครื่องซักผ้า ฉะนั้น ยางรถยนต์ที่มีแรงเสียดทานในระดับต่ำมาก ซึ่งจะก่อให้เกิดการประหยัดพลังงานในระดับสูง จะได้รับการจัดมาตรฐานในระดับ A ซึ่งผู้บริโภคจะรู้ได้ทันทีว่า ผลิตภัณฑ์ยางรถยนต์ที่กำลังจะซื้อนั้น มีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพียงใด
“เรากำลังพัฒนาสารสังเคราะห์และสารเติมแต่งเพื่อผลิตภัณฑ์ยาง ซึ่งจะสามารถลดแรงเสียดทานได้มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ โดยไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการยึดเกาะถนนและอายุการใช้งาน” มร. อีธาน ซิกเลอร์ กล่าว
การลดแรงเสียดทานสามารถจะช่วยในการประหยัดพลังงานได้ ดังจะเห็นได้จากตัวเลขการใช้เชื้อเพลิงตั้งต้นของยานยนต์ประมาณ 10 ลิตรต่อการขับขี่ 100 กิโลเมตร โดยการใช้ยางสีเขียวนั้น จะใช้เชื้อเพลิงลดลงเหลือประมาณ 9.5 ลิตร ต่อ 100 กิโลเมตร และสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้ ประมาณ 1.2 กิโลกรัม ต่อ 100 กิโลเมตร ดังนั้นยางที่ทำจากสารสังเคราะห์พิเศษเหล่านี้ จะมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการช่วยปกป้องชั้นบรรยากาศของโลก
มร. อีธาน ซิกเลอร์ กล่าวเสริม
บทบาทของยางรถยนต์สีเขียวจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากความต้องการในการใช้รถยนต์ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้ภาครัฐต้องหันมาบังคับใช้ยานยนต์สีเขียวซึ่งมีแรงต้านการหมุนต่ำ พร้อมทั้งมีความปลอดภัยกับสิ่งแวดล้อมและชั้นบรรยากาศ
แลงเซสประมาณการว่า ส่วนแบ่งตลาดของยางรถยนต์สีเขียวที่มีประสิทธิภาพสูงนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 77 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับยางรถยนต์ธรรมดาภายในปี พ.ศ. 2558 เป็นที่คาดการณ์กันว่า ประเทศในทวีปเอเชียจะมีการประกาศใช้ข้อบังคับเรื่องการติดฉลากยางรถยนต์ ดังที่จะประกาศใช้ในเร็วๆ นี้ในสหภาพยุโรป โดยคาดว่าประเทศเกาหลีใต้และญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำในเรื่องดังกล่าว
###
premsak@caronline.net