เมอร์เซเดส-เบนซ์ตอกย้ำผู้นำตลาดรถหรูครองตำแหน่งยอดจำหน่ายสูงสุดเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน
กรุงเทพฯ — บริษัท เมอร์ เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย) จำกัด) ประกาศตัวเลขยอดจำหน่ายรวมปี 2551 ที่ผ่านมาว่า รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาดรถหรูเป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน โดยสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดไปถึง 52.7 เปอร์เซ็นต์ของตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลทั้งหมด ด้วยยอดขายรวมทั้งสิ้น 3,807 คัน
ศ.ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหาร บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า แม้ภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย ประกอบกับหลากหลายปัจจัยทั้งภาวะน้ำมันโลกที่ผันผวน และปัจจัยการเมืองภายในประเทศ นับว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังคงประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ “จากยอดจำหน่ายที่ผ่านมา บริษัทฯ ถือว่าประสบความสำเร็จและพอใจผลประกอบการที่ได้ โดยบริษัทฯยังคงสามารถรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดรถหรูได้ทั้งที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมนั้นชลอตัว” ศ. ดร.เพาฟเลอร์ กล่าวเสริม
“ ในปี 2551 เมอร์เซเดส-เบนซ์ประสบผลสำเร็จในการแนะนำยนตรกรรมรุ่นใหม่ ๆสู่ตลาดหลากหลายรุ่น อาทิ C-Class โฉมใหม่, CLC-Class Sport Coupé, the new generation SL 350 และ the new generation SLK 200 ซึ่งสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค พร้อมทั้งนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ได้มีการสร้างสรรค์อย่างสม่ำเสมอ ส่งผลให้ผู้บริโภคมอบความไว้วางใจในแบรนด์ของเราอย่างต่อเนื่อง และนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรารักษาความแข็งแกร่งไว้ได้อีกครั้งในปี พ.ศ. 2551 ทั้งนี้บริษัทฯ มั่นใจว่าจะยังคงรักษาตำแหน่งนี้ไว้ได้ในปีถัดไป”
สำหรับปี พ.ศ. 2551 ที่ผ่านเป็นที่น่ายินดีว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์สามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้สูงสุดเป็นที่หนึ่งทุกเซ็กเมนท์ของรถยนต์หรูอีกด้วย กล่าวคือรถยนต์ในอนุกรม C-Class นั้นสามารถทำยอดจำหน่ายได้สูงสุดด้วยตัวเลข 1,714 คัน ตามด้วย E-Class ด้วยยอดจำหน่าย 1,512 คัน และ S-Class ซึ่งทำยอดจำหน่ายได้ถึง 467 คัน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดที่ 58.1 %, 59.2 % และ 72.1 % ตามลำดับ
รายละเอียดยอดจำหน่ายของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ในปีพ.ศ. 2551 แบ่งออกได้ดังนี้
• C-Class มียอดขายรวม 1,714 คัน (คิดเป็นร้อยละ 58.1 % ของส่วนแบ่งตลาด)
• E-Class มียอดขายรวม 1,512 คัน (คิดเป็นร้อยละ 59.2% ของส่วนแบ่งตลาด)
• S-Class มียอดขายรวม 467 คัน (คิดเป็นร้อยละ 72.1 % ของส่วนแบ่งตลาด)
• A/B/M/G/R-Class มียอดขายรวม 114 คัน
ศ.ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ กล่าวต่อว่าในปี 2009 นี้ เมอร์เซเดส-เบนซ์มีนโยบายเชิงรุกทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายและให้สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยจะคัดสรรเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นต่าง ๆเข้ามาเสริมตลาดทั้งนี้เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น รวมไปถึงรถยนต์นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมซึ่งเมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญภาวะโลกร้อนด้วย
“บริษัทยังคงให้ความสำคัญเทคโนโลยี NGT ซึ่งเป็นรถยนต์พลังงานทางเลือกคือเมอร์เซเดส-เบนซ์ E 200 KOMPRESSOR NGT โดยผู้บริโภคสามารถเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงได้ทั้งน้ำมันเบนซินหรือก๊าซธรรมชาติ และเป็นที่น่ายินดีว่าผู้บริโภคให้การตอบรับรถยนต์ E 200 NGT เป็นอย่างดี นับตั้งแต่เข้ามาทำตลาดในไทย เห็นชัดได้จากตัวเลขยอดจำหน่ายของ E 200 NGT จะมียอดขายสูงเป็นอันดับหนึ่งกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของรถหรูระดับ E-Class ทั้งหมด”
ในไตรมาสแรกนี้จะมีการนำเสนอผลิตภัฑ์รุ่นใหม่อาทิ เมอร์เซเดส-เบนซ์ E 220 CDI Classic, E 230 2.5 Sports Premium Edition และ ML 280 CDI Sports new generation
อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงเน้นรถยนต์ประกอบในประเทศทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยนตรกรรมเมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่น S 500 Long Wheelbase ซึ่งเป็นรถธงสุดของยนตรกรรมหรูระดับ S-Class ที่เพิ่งออกสู่ตลาดไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และยังถือเป็นครั้งแรกในไทยของรถคุณภาพระดับ S-Class ที่ประกอบขึ้นในโรงงานประเทศไทย ภายใต้คุณภาพและมาตรฐานกระบวนการประกอบเทียบเท่าคุณภาพเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก จนเป็นที่ยอมรับจากสำนักงานใหญ่ประเทศเยอรมนีพิสูจน์ได้จากรางวัลยอดเยี่ยม “Mercedes-Benz Quality Award CKD” จากบริษัทแม่ให้เป็นโรงงานประกอบรถยนต์ในประเทศที่ดีที่สุดของโรงงานประกอบรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ทั้งหมด 7 แห่งทั่วโลก ได้แก่ประเทศ อินเดีย, อิยิปต์, อินโดนิเซีย, มาเลเซีย, เวียดนาม, จีนและประเทศไทย
“ปัจจุบันมีรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์รุ่นต่างๆ ตั้งแต่ S-Class, E-Class, C-Class ได้ถูกประกอบขึ้น ณ โรงงานประกอบรถยนต์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในประเทศไทย ภายใต้การควบคุมที่ใช้มาตรฐานเช่นเดียวกับโรงงานในประเทศเยอรมนี ถือเป็นเครื่องยืนยันศักยภาพของวิศวกรไทยรวมถึงเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกอบรถยนต์ของประเทศไทยซึ่งมีมาตรฐานสูงระดับสากลได้เป็นอย่างดี” ศ. ดร.เพาฟเลอร์กล่าว
นอกจากคุณภาพของผลิตภัณฑ์แล้ว บริษัทเมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) ยังให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการบริการหลังการขาย โดยบริษัทฯ ได้พัฒนาระบบการบริหารจัดการศูนย์ซ่อมบำรุงและโชว์รูมของผู้จำหน่ายรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์อย่างเป็นทางการทั่วประเทศ โดยมีการเพิ่มขีดระดับมาตรฐานการบริการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลตอบรับอันดีในปีที่ผ่านมาโดยวัดได้จากดัชนีวัดความพึงพอใจของลูกค้า
“ด้วยศักยภาพและการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของแบรนด์เมอร์เซเดส-เบนซ์ เรามีความมั่นใจว่าจะคงความเป็นผู้นำในตลาดรถหรูและสามารถครองใจผู้บริโภคได้อีกเช่นเคยในปี 2552” ศ. ดร.เพาฟเลอร์ กล่าวในที่สุด
*************************
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…