เปิดประสบการณ์สุดขอบฟ้ากับมาสด้าขับ CX-5 ตะลุย นอร์เวย์-ฟินแลนด์- สวีเดน :ผู้หญิงขับรถ
MAZDA PASSION DRIVE TO THE NEW HORIZON
เพราะมาสด้ากล้าที่จะแตกต่าง และด้วยความคิดนอกกรอบนี้ ทำให้มาสด้าก้าวขึ้นมามีบทบาทอย่างรวดเร็วในวงการรถยนต์
และในครั้งนี้มาสด้านำสื่อมวลชนกว่า 60 ชืวิต บินลัดฟ้าไปยังดินแดนอาร์กติกที่หนาวเย็นที่สุดในโลก บริเวณแถบคาบสมุทรสแกนดิเนเวีย หรือยุโรปเหนือ เพื่อประสบการณ์การขับขี่สุดขั้วที่ขั้วโลกเหนือ
การเดินทางครั้งนี้แบ่งเป็นสองกลุ่ม โดยกลุ่มแรกเริ่มเดินทางจากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก ไปยังกรุงสตอกโฮล์ม ประเทศสวีเดน และข้ามเรือเฟอรรี่ ไปยังประเทศฟินแลนด์ รวมถึงเดินทางไปยังเมืองโรวาเนียน ที่เป็นบ้านเกิดของซานตาครอส โดยกลุ่มแรกเดินทาง 2,200 กิโลเมตร
และไปบรรจบเส้นทางกับกลุ่มที่ สองที่เมืองฮอนนิงสโวค(Honningsvag )ประเทศนอร์เวย์
โดยกลุ่มที่ สองซึ่งเป็นกลุ่มของดิฉัน จะเริ่มเดินทางจากเมืองฮอนนิงสโวค สู่ประเทศฟินแลนด์และประเทศสวีเดนและกลับไปที่กรุงออสโลเมืองหลวงของนอร์เวย์ ระยะทางของกลุ่มที่ 2 ประมาณ 3,700 กิโลเมตร
รวมทั้งสองกลุ่มก็ขับรถ 5,900 กิโลเมตร
เราออกเดินทางจากรุงเทพด้วยสายการบินไทยใช้เวลาบิน 11 ชั่วโมง ลงไฟลท์ที่กรุงออสโล
และรอต่อเครื่องไปที่สนามบินอัลต้า
แล้วนั่งรถบัสอีก สองชั่วโมงเพื่อไปยังเมืองฮอนนิงสโวค ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ทางเหนือสุดของนอร์เวย์ เป็นเมืองเล็กๆมีประชากรเพียง 2,415 คน
ซึ่งที่เมืองนี้กลุ่มหนึ่งที่ขับรถมาสด้ามาจากเดนมาร์กจะมาพบกับพวกเราที่นี่เป็นอันสิ้นสุดการเดินทางของกลุ่มที่ 1
จากเมืองฮอนนิงสโวคพวกเราก็เดินทางด้วยรถบัสเพื่อขึ้นไปที่แหลม North Capeหรือ(Nord Kapp) ซึ่งอยู่เหนือสุดของมหาสมุทรอาร์กติก หรืออาร์กติคเซอร์เคิลนั่นเอง เพื่อไปดูแสงเหนือ
และที่นี่ยังมีที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ไทย หรือ North Cape Museum โดยภายในนักท่องเที่ยวจะได้ขมพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ซึ่งเคยเสด็จประพาสที่นี่มาแล้ว นอกจากนี้ยังมีจารึกพระนามย่อ จปร บนก้อนหิน ซึ่งได้รับการรักษาอย่างดีจากรัฐบาลนอร์เวย์
และที่ นอร์ทเคป คืนนั้นประมาณ 3 ทุ่มที่พวกเราขึ้นไป เราก็ได้มีโอกาสได้เห็นแสงเหนือ ซึ่งไม่คิดว่าจะได้เห็นซึ่งไกด์ก็บอกว่ายากที่จะได้เห็นเพราะฟ้าปิด เนื่องจากมีฝนตกก่อนหน้านี้ ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเราที่ขึ้นไปครั้งแรกวันแรกก็ได้เห็นแล้ว เป็นแสงสีเขียวคล้ายเมฆมาเป็นระยะระยะ ท่ามกลางลมแรงและหนาวมาก พวกเราลืมความหนาวกันเลย ได้แต่มองไปบนท้องฟ้าและเก็บภาพอันน่าประทับใจนี้ไว้ในภาพถ่ายและความทรงจำ
ที่นอร์ทเคปแห่งนี้เป็นที่ดูพระอาทิตย์เที่ยงคืนด้วยนะคะ ในช่วงหน้าร้อน
วันรุ่งขึ้น วันแรกของการเดินทาง เราก็ตื่นตามกำหนดเวลา 6-7-8 คือตื่น 6 โมง 7 โมงกินข้าว 8 โมงออกเดินทาง โรงแรมที่เราไปพักมีลิฟท์ทั้งที่เป็นเมืองเล็กๆ ก็ถือว่าดีค่ะ
รถที่เราใช้ในการเดินทางในครั้งนี้ คือมาสด้า CX-5
จริงจริงแล้วมาสด้าได้นำ รถมาสด้า 2 มาสด้า3 และ CX-5 จากเมืองไทยเพื่อการขับขี่ในครั้งนี้ แต่เนื่องจากความขัดข้องของการขนส่งทางทะเลที่เจอพายุทำให้ล่าช้า
ทางมาสด้าจึงได้นำมาสด้า CX-5 ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากทางมาสด้าเดนมาร์กให้รถมาใช้ในการเดินทางในครั้งนี้จำนวน 10 คัน
CX-5 Skyactive Diesel ที่ใช้ในการเดินทางครั้งนี้เป็นรถพวงมาลัยซ้าย เครื่องยนต์ 2,200 ซีซ๊ 175 แรงม้า แรงบิด อยู่ที่ 420 นิวตันเมตรที่ 2,000 รอบ/นาที เป็นรถแบบ AWD (All Wheel Drive)
ซึ่งสเปคไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยมากนัก
มีที่ฉีดล้างไฟหน้า มีไฟตัดหมอกหลัง มีระบบพับกระจกมองข้างอัตโนมัติเมื่อล็อครถ มีระบบละลายฝ้าที่กระจกมองข้าง มีชุดซ่อมยางฉุกเฉิน(ของไทยมียางอะไหล่) มีระบบละลายน้ำแข็งบริเวณที่ปัดน้ำฝนกระจกหน้า
มีระบบอุ่นพวงมาลัย ระบบอุ่นเบาะนั่งคู่หน้า และระบบอุ่นเบาะนั่งคู่หลัง
ของไทยมีซันรูฟ ยุโรปไม่มี
นอกจากนั้นมีเหมือนกันหมด
ซึ่งสิ่งที่แตกต่างและเพิ่มเติมก็ขึ้นอยู่กับสภาวอากาศและการใช้งาน และที่มีในยุโรปก็ไม่จำเป็นสำหรับเมืองไทย
เมื่อพร้อมแล้วก็เอาของขึ้นรถ ประตูหลังกดเปิด-ปิดไฟฟ้า แตะด้านล่างของกระโปรงท้ายด้านหลังหรือจะเปิดจากรีโมทกุญแจก็ได้ ซึ่งคันเรามีกระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ที่เดียวขนาด 28 นิ้ว 2 ใบ และ 26 นิ้ว 1 ใบ ใส่เข้าไปได้สบาย ยังพอมีที่ว่างเหลืออีก
แล้วเราก็ออกเดินทางด้วย Mazda CX-5 จาก Honningsvag ไปยัง Tromso ระยะทางวันแรก 600 กิโลเมตร
โดยใช้เส้นทางเดิมที่เดินทางมาโดยรถบัสจากเมืองอัลต้า แต่ครั้งนี้ขับรถเพื่อไปยังเมืองอัลต้า และรับประทานอาหารกลางวันที่นั่น
การเดินทางจะขับกันเป็นขบวน มีรถนำการเดินทาง ทำให้การเดินทางปลอดภัยมากยิ่งขี้น
ซึ่งการขับรถที่นอร์เวย์หรือแถบสแกนดิเนเวียในครั้งนี้เป็นรถพวงมาลัยซ้าย และขับชิดขวา ซึ่งตรงกันข้ามกับบ้านเรา ขับกันครั้งแรกก็มี ทับเส้นขอบทางขอบถนน หรือ ทับเส้นกลางกันบ้าง เพราะยังไม่ชินทาง แต่ระบบ Lane Departure Warning System หรือระบบเตือนเมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนโดยมีไฟกระพริบบนหน้าปัด มีสัญญลักษณ์ให้เห็นพร้อมส่งเสียงเตือน ซึ่งก็ช่วยได้เยอะเลย
นอกจากนั้นยังมี Lane- Keep Assist System ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน เมื่อรถเบี่ยงออกนอกเลน ระบบจะส่งสัญญาณเตือนหรือเตือนโดยการสั่นที่พวงมาลัย และช่วยปรับทิศทางพวงมาลัยให้รถกลับเข้ามาสู่เลน คนนั่งในรถรู้สึกได้เลยถึงระบบนนี้ หรือคนขับก็จะรู้สึกถึงอาการต้านมือที่พวงมาลัย
ซึ่งระบบพวกนี้ก็ช่วยได้เยอะในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย เพราะเราจะต้องใช้สมาธิเยอะในช่วงแรกในการขับรถบนเส้นทางเหล่านี้
ตอนออกเดินทางท้องฟ้าครึ้มฝนมีฝนตกเป็นละอองตลอดเส้นทางที่เราเดินทาง
ทางเป็นถนนสองเลนรถวิ่งสวนกันค่อนข้างแคบ ต้องระวังกันเป็นอย่างยิ่ง ด้านซ้ายเป็นทะเลสาป บางครั้งด้านขวาก็เป็นทะเลสาป ถนนจะคดเคี้ยวและเป็นธรรมชาติมากๆ
บ้านเรือนจะเห็นเป็นหย่อมหย่อม เป็นบ้านหลังเล็กน่ารัก สูงสุดก็บ้าน 2 ชั้น พูดถึงนอกเมืองนะคะ เราก็ตื่นตาตื่นใจ กับธรรมชาติอันสวยงามบนเส้นทางที่ขับรถผ่านมากๆ วิวสวยเกินคุ้มจริงๆ
และเนื่องจากาสูงเยอะ ถนนที่ขับผ่านเค้าก็ใช้วิธีเจาะอุโมงค์เลย สภาพ เหมือนถ้ำ คือหินด้านข้างยังขรุขระเป็นธรรมชาติ เหมือนยังไม่ได้เจียร์
ถนนรอบข้างเป็นทางที่ราบโล่งต้นไม้เล็กๆแห้งๆแถวนี้ หินข้างทางเป็นเนินเขาเตี้ยๆ หินเป็นชั้นๆเหมือนขนมชั้นสวยงามแต่เป็นสีเทาเทา
ขอบถนนจะมีไม้สีแดงปักไว้ เพื่อให้เป็นที่สังเกตเวลาหิมะตกปกคลุมถนน เพื่อความปลอดภัยในการขับรถ
แล้วเราก็มาถึงเมืองอัลต้าก็ประมาณบ่ายโมง เพื่อรับประทานอาหารกลางวันที่นี่
ซึ่งกลุ่มที่ 1จะแยกกับเราที่นี่กลุ่ม 1 นั่งรถบัสมา
เมื่อทานข้าวเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อ ก่อนเดินทางก็ถ่ายรูปกับเมืองอัลต้ากันหน่อย
ออกจากร้านอาหารที่เมืองอัลต้า ฝนก็ยังไม่หยุด ระบบปัดน้ำฝนและไฟส่องสว่างตั้งไว้ที่ Auto ก็จะทำงานอัตโนมัติ
ขับมาระยะหนึ่งก็เจอทางบนเขาสวยงามมีทะเลสาปอันกว้างใหญ่อยู่ด้านข้าง จริงๆก็คือมหาสมุทรนะแต่ไม่มีคลื่นก็เลยเรียกเป็นทะเลสาปก็แล้วกัน ก็จอดแวะถ่ายรูปกัน
อากาศหนาวมากปากสั่นมือสั่นกันเลยเพราะมีลมด้วย
แล้วเราก็เดินทางกันต่อพอออกจากอัลต้า ต้นไม้เริ่มมีสีสันเพระกำลังเปลี่ยนสี และไม่เป็นทุ่งราบแบบที่ผ่านมามากนัก
มีการแวะเติมน้ำมันดีเซล ดีเซลที่นี้ราคาอยู่ที่16.28 โครนนอร์เวย์ประมาณ 4 บาท หรือ(ลิตรละ 65 บาท) เบนซิน 95ราคา 17.25 ( ลิตรละ 69 บาท) ราคาแต่ละเมืองจะแตกต่างกันบ้าง น้ำมันต้องเติมเอง
แล้วก็ขับรถมาถึงเมือง Tromso เป็นเมืองท่าที่มีสีสันสวยงาม ถึงที่พักประมาณ 2 ทุ่มก็รับประทานอาหารกันเลยชอบมากเลยปลาอร่อย ถ่ายมาแค่รูปเดียวจริงมีหลายอย่าง
อิ่มแล้วก็เข้าห้องพักกันเลย ที่พักที่นี่จะมีฮีทเตอร์อยู๋ในห้องน้ำด้วยเดินแล้วอุ่นเท้าดี จะไม่มีผ้าเช็ดเท้าเพราะพื้นจะแห้งไวมาก
มองออกจากห้องพักเห็นทะเลสาปอยู่ติดกับที่พัก ข้ามไปยังฝั้งตรงข้ามเป็นที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนได้ยินเสียงเพลงเห็นแสงสีเสียง น่าไปลุยราตรีมากเลย ได้แต่ยืนมองตาปริบปริบ แล้วก็เข้านอน เตรียมตัวสำหรับการเดินทางวันที่ 2 Tromso( Norway )-Lulea (Sweden) ระยะทาง 660 กิโลเมตร โปรดติดตามตอนต่อไป
ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
ผู้หญิงขับรถ
ขอขอบคุณ
บริษัท มาสด้าเซลส์ ประเทศไทยจำกัด
บริษัททรานส์เอเซียรูท จำกัด
ภาพโดย:กุ๊บกี๊บ ,เบิ้ม และอีกหลายท่าน
อีซูซุส่งเครื่อ…