Brand: HONDA Model: City
Year: 1996 Miles: 20001-40000
From: วาคิน โชติรัตนมณี
เรียนท่านอาจารย์
ผมเป็นคนขับรถใหม่เพิ่งขับได้สองปีเองครับ รถผมยี่ห้อ Honda City ปี 96 เครื่อง 1300 ติดตั้งแก๊ส LPG ปกติใช้ได้ดีไม่มีปัญหาใด แต่มีวันหนึ่งวิ่งไปทำงานตามปกติ(ประมาณ 30 กิโล ไปกลับก็ 60 กิโล ต่อวัน) วันนั้นพัดลมเจ้ากรรมไม่ทำงานทั้งคู่ครับ ก็เลยทำให้เครื่องฮีทแล้วดับ ตอนนั้นผมยังไม่มีความรู้เรื่องรถ(ตอนี้ก็ใช่ว่าจะรู้มากมาย) ก็เลยทำได้แค่รอให้รถเ็ย็นแล้วค่อย ๆ เติมน้ำในถังพักน้ำ (ไม่กล้าเปิดฝาหม้อน้ำ เขาเขียนคำเตือนไว้ว่าอันตรายก็เลยกลัว) ครั้งนั้นก็คิดว่าเป็นเพียงการลืมเติมน้ำ แต่ว่าวันรุ่งขึ้นเติมน้ำเต็มแล้วขับไปได้สัก 20 กิโล เครื่องฮีทและดับคับก็เลยเข้าปั๊ม ปรากฎว่าพัดลมทั้งสองตัวไม่หมุน ตอนเย็นก็เลยเข้าอู่ (เพื่อนกัน) เขาก็บอกว่า อีโมเสียทำให้พัดลม(และอะไรอีกก็ไม่รู้จำไม่ได้) ไม่ทำงานเขาก็เลยจับต่อตรงให้พัดลมทำงานทันทีที่เปิดกุญแจ(แต่เขาบอกแล้วว่าอาจจะทำให้พัดลมเสียเร็ว) หลังจากนั้นผมก็ใช้รถได้ปกติเพียงแค่ต้องคอยเติมน้ำก่อนไปทำงานทุกวันแค่นั้นเอง
แต่พอมาเมื่อไม่กี่วันนี้เครื่องเป็นอาการเดิมครับพัดลมตัวหนึ่งเสีย เครื่องฮีทดับ ก็เลยเข้าอู่ใกล้บ้านเขาบอกว่าต้องเปลี่ยนปะเก็น(คืออันนี้รู้อยุ่แล้วว่าแตกตั้งแต่ฮีทครั้งแรกแล้ว) ไสฝาสูบเนื่องจากฝาโก่ง ผมก็ให้เขาจัดการไปครับ รายละัเอียดดังนี้
1 เปลี่ยนปะเก็น(เห็นเขาไปซื้อจากศุนย์มาให้) ราคา 1400 บาท
2 ไสฝาสูบ (อันนี้ผมไม่เห็นตอนเขาทำครับเพราะต้องไปทำงาน) ราคา 1000 – 1200 จำไม่ได้(ยังไม่มีบิล)
3 เขาบอกว่าต้องเปลี่ยนซีลหลัง เพราะถ้าถอดแล้วตัวนี้จะเสียต้องเปลี่ยนใหม่ ราคา 200 – 350 บาท
4 น้ำมันเครื่อง (เขาบอกว่าของเดิมน้ำมันเข้าไปปนกับน้ำมันเครื่องแล้วต้องถ่ายใหม่) ราคา 480 บาท
ค่าแรงอีก 1000 บาท แต่……………
ปัญหาหลังจากที่เอาไปซ่อมแล้วตามมาคือ(ตอนนี้ยังไม่ได้รับรถ)
1 ขวัญขาวตอนจอดรถแลัวเร่งเครื่อง (เขาบอกว่าเป็นที่วงแหวนกับเปลือกวาว อะไรนี่ละต้องเปลี่ยนใหม่) แต่อันนี้เมื่่อขับไปแล้วอาการขวัญขาวจะหายไป
2 เกจความร้อนขึ้นคงที่ ที่ ประมาณ สี่สิบเปอร์เซ็น (เกือบ ๆ ครื่ง) อันเท่าที่ผมทราบอาการปกติความร้อนประมาณนี้ใช่ไหมครับ
3 รอบเครื่องของน้ำมันสูงมาก 2000 เปิดแอร์อยู่ที่ 1500 รอบของแก๊สจะอยู่ที่ 1500 เปิดแอร์ 1100 ช่างบอกว่าปรับรอบให้เท่ากันยาก (แต่ก่อนเข้ารอบมันเท่ากัน)
4 อันนี้ปัญหาใหญ่ครับ ตอนทดสอบจะรับรถ พอสตาร์ทรถแล้วเข้าเกียร์ N ปกติครับ พอเข้าเกียร์ D แล้วเครื่องกระตุกจะดับ ช่างขับให้ดูพอเบรคหรือชะลอ หรือตอนดิตไฟแดง หากไม่เข้าเกียร์ N รถดับครับ รอบตกเร็วมากแล้วดับเลย ช่างบอกว่าเป็นที่ ชาร์บ ละลายเนื่องจากว่าเครื่องมีอาการฮีทหลายครั้ง ผมก็เลยถามช่างว่า นี่มันความร้อนแค่ 40 เปอร์เซ็นเองนะทำไมมันดับ ตอนผมขับเข้าอู่เครื่องร้อนเกือบ 90 ทำไมมันไม่ดับ ช่างบอกว่า เป็นเพราะว่าตอนนั้นแรงดันมันรั่วแต่ตอนนี้เปลี่ยนปะเก็นกับไสฝาสูบแล้วแรงดันมากขึ้น ทำให้แรงดันเครื่องขัดกับแรงดันเพรา (เขาบอกมาแบบนี้) เครื่องก็เลยฉุด ยิ่งเปิดแอร์เครื่องยิ่งฉุดไปใหญ่ ผมก็สงสัย ว่าทำไมตอนเข้ามามันไม่เป็นถึงแม้จะบอกว่าแรงดันกะเถิด คือด้วยความไม่รุ้ของผมผมก็ยังไม่กล้าที่จะรับรถกลับบ้านเพราะกลับมาก็ไม่ได้ใช้ ช่างบอกว่า ต้องยกเครื่องใหม่ถึงจะหาย ผมก็เลยบอกไปว่าอันนี้ผมก็รุ้แต่ที่ผมเอามาซ่อมเนื่องจากผมยังไม่มีเงินพอที่จะยกเครื่องใหม่ ซ่อมพอใช้ได้ไปพราง ๆ ก่อนจะได้มีเวลาเก็บเงิน ถ้าผมจะยกตอนนี้ผมไม่เอามาซ่อมให้เสียเงินหรอก ช่างบอกว่าเสียตรงไหนผมก็ตกลงซ่อมตรงนั้นแล้ว แต่ไอ้อาการที่วิ่ง ๆ อยู่แล้วเครื่องดับนี้ไม่ใช่อาการที่จะซ่อมแต่เป็นอาการที่เกิดขึ้นหลังจากซ่อม ช่างเขาก็เลยคิดค่าใช้จ่ายเพียงค่าอะไหล่อย่างเดีย ราคา 3000 บาท
สิ่งที่ผมอยากรุ้ก็คือ อาการเครืองดับหลังจากที่ความร้อนขึ้นประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์ พอเบรคหรือชะลอผแตะเบรค) เครื่องจะดับเกิดจากอะไรครับ ควรทีี่จะแก้ไขตรงไหน(พอใช้ได้แต่ในอนาคตยกเครื่องแน่ครับ) ช่างดูหัวเทียนแล้วไม่มีน้ำครับ น้ำมันเกียร์ยังสีแดงไม่เหนี่ยว รบกวนด้วยครับ เพราะว่าต้องพาลูกน้อย(เพิ่งคลอดได้ไม่ถึงอาทิตย์)ต้องไปหาหมอเพื่อตรวจสุขภาพบ่อย ๆ ครับจำเป็นต้องใช้รถมากมาย
ถ้าตอบเฉพาะที่คุณอยากรู้ คือย่อหน้าล่างสุด คุณและอีกหลายท่านก็คงต่อว่าผมจนได้แหละครับ ว่าทำไมตอบเท่านั้น เพราะฉะนั้น อย่ามาถามอย่างนี้ดีกว่า และขอให้ผมตอบจดหมายของคุณทั้งฉบับ ตามแบบของผมเถิดครับ
1-รถของคุณ เครื่องยนต์เสียหายค่อนข้างมากแล้วครับ เนื่องจากคุณปล่อยให้น้ำแห้ง แล้วไม่ยอมเติมน้ำลงไปในเครื่องยนต์ กลับเติมเพียงแค่ในหม้อพัก
และถึงจะเติมลงในเครื่องยนต์ด้วย ก็คงไม่ทันเสียแล้ว เพราะปล่อยให้เครื่องยนต์ร้อนจนดับ แสดงว่า เกิดการบีบตัวของปลอกสูบกับลูกสูบ และรั่วหรือแตกของประเก็นแล้ว จึงดับ
แต่ที่มาติดได้ ก็เพียงเพราะว่า เครื่องยนต์เย็นลงเท่านั้น การบีบของปลอกสูบจึงคลายตัวออก แต่ไม่ได้เป็นปกติอีกแล้ว
2-เกจ์ความร้อนขึ้นราวราวนั้นก็ไม่สำคัญอะไร แต่เครื่องยนต์นั้น เสียหายมากเกินกว่าที่การปาดฝาสูบ และเปลี่ยนประเก็นจะเอาอยู่ครับ
เครื่องยนต์โดยเฉพาะเสื้อเครื่องยนต์ จะต้องได้รับการปาด และปรับส่วนของข้อเหวี่ยงด้วย จึงจะทำงานได้เป็นปกติ คือรอบเครื่องจะคงที่และอยู่ราว 800+/-50
ช่างที่ซ่อมให้คุณ ขาดประสบการณ์ จึงไม่รู้ว่า เครื่องยนต์ของฮอนด้ามีปัญหางอตัวของเสื้อสูบด้วย และต้องปาดก่อน จากนั้นก็จะต้องปรับข้อเหวี่ยง กับปรับแนวของปลอกลูกสูบให้ตรง ขณะนี้ ทุกอย่างเอียงหมดครับ และเอียงจนบีบลูกสูบให้ทำงานลำบาก จนต้องเร่งรอบเครื่องเอาไว้ หาไม่ ก็จะดับ
3-ในตอนแรกที่ยังติดเครื่อง เดินเบาได้นั้น ก็เพราะเสื้อสูบยังถูกขึงไว้ด้วยฝาสูบกับน๊อตยึดฝาสูบ การบีบตัวจึงยังไม่มากจนเอียงเข้าหากันมากเกินไป พอจะมีความหลวมอยู่บ้าง จนเมื่อช่างถอดฝาสูบออก เสื้อสูบก็โก่งตัว บีบกระบอกสูบเข้าหากัน แบบงอเหมือนกล้วยหอมนะครับ คือแทนที่จะแบน มันก็งอ อันนี้ ช่างจะวัดได้โดยการใช้บรรทัดเหล็กหนาหนา วางลงบนเสื้อสูบ ก็จะเห็นทันทีว่า โก่งไปเท่าไรแล้ว
และถึงไปปาดเสื้อสูบ ก็ยังไม่ได้ทำให้ความโก่งของเสื้อสูบหายไป เพียงแต่ทำให้เรียบเท่านั้น ความโก่งงอของแต่ละกระบอกสูบยังคงเหมือนเดิม ต้องปรับใหม่ด้วยการคว้านกระบอกสูบ เปลี่ยนปลอกสูบใหม่ ปรับให้ตรง กับแนวของเพลาข้อเหวี่ยงอีกที จึงจะพอใช้ได้ครับ
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ผมมองดูแล้ว ช่างซ่อมให้คุณไม่ไหวหรอก โดยเฉพาะช่างที่คุณเอารถไปซ่อมนั่นแหละ เขาจะทำได้ก็เพียงแค่เสนอให้คุณเปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่เท่านั้น
ช่างชำนาญงานอื่นอื่นจะซ่อมให้ได้ครับ แต่แพงนะครับ หลักหมื่น ถึงสองหรือเกือบสามหมื่นบาท จึงพอจะเอาอยู่
แนะนำให้คุณดูช่างฮอนด้า ในหน้าอู่แนะนำ แล้วโทรศัพท์ไปหารือกับเขาดีกว่า ส่วนจะซ่อมที่เขาหรือไม่นั้น ผมไม่เกี่ยวและไม่อยากแนะนำเอาด้วยซ้ำ เพราะรู้ว่า ต้องซ่อมแพงแน่นอน ซึ่ง คุณก็คงไม่ค่อยอยากซ่อมเท่าไร ลองพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน หากไม่ซ่อมอย่างที่ผมแนะนำไว้ ก็มีทางเดียว คือเปลี่ยนเครื่องยนต์ ในราคาราวสองหมื่นกว่าบาทครับ
อีกอย่างหนึ่ง น้ำมันเกียร์ของฮอนด้า จะต้องเป็นสีเขียวอมเหลืองครับ ไม่ใช่สีแดงที่เป็นน้ำมันเกียร์ผิดชนิดครับ-ธเนศร์
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…