ฮอนด้า บริโอ้ : ตัวจี๊ดสายพันธุ์ใหม่จากฮอนด้า บนท้องถนนเมืองไทย
หลังจากเปิดตัวไปไม่นานก่อนงานมอเตอร์โชว์ และได้แสดงตัวอย่างเป็นทางการให้คนไทยได้สัมผัสตัวเป็นๆในงานมอเตอร์โชว์ 2011 จนเป็นที่ถูกอกถูกใจลูกค้ากว่า 5,000 คนที่ได้จองเจ้า “บริโอ้”นี้ไป ระลอกคลื่นสึนามิก็ส่งผลกระทบมาถึงเมืองไทยจนได้ มีผลให้ บริษัทยักษ์ใหญ่อย่างฮอนด้า ต้องประกาศขอเลื่อนการส่งมอบรถ และปิดการจองเป็นการชั่วคราว ส่งผลให้ลูกค้าที่จองบริโอ้ไปแล้วนั้น มีอันต้องได้รับรถช้าออกไปอีกอย่างน้อย 1-2 เดือนเลย หรือหากลูกค้าท่านไหนไม่พอใจ ก็สามารถนำใบจอง ไปขอรับเงินคืนก็ได้ ส่วนแผนการตลาดที่กำหนดไว้แล้วนั้น ถึงแม้จะผลิตได้ไม่เต็มที่ และส่งมอบรถได้ช้า แผนต่างๆที่วางไว้แล้วนั้น ก็ยังคงไว้อย่างเดิม
ส่วนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จะไปโทษใครได้หล่ะครับ มันเป็นเหตุธรรมชาติ ที่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้นแน่ๆ ส่วนที่มันเกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องยอมรับสภาพ และช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างมีสติ และไม่เห็นแก่ตัว ประเทศอย่างญี่ปุ่น โดนระเบิดปรมาณูไปสองลูกเต็มๆ แถมยังภัยธรรมชาติอีกนับไม่ถ้วน ก็ยังคงสภาพการเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีและทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียได้ ก็ด้วยผู้คนที่มีระเบียบ มีวินัย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ได้คิดถึงประโยชน์ส่วนตัวไปมากกว่าประโยชน์ส่วนรวม ไม่อยากจะคิดเลยครับ หากเกิดเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่บ้านเรา เราๆท่านๆจะเป็นอย่างไร กับอีแค่เข้าแถวยืนรอรถแท็กซี่ ยังทำกันไม่ได้เลยครับ นับประสาอะไรจะไปพัฒนาประเทศ พัฒนาตัวเองก่อนดีมั้ยครับ….
มาถึงเรื่องการทดสอบที่หลายๆคนพูดกัน แต่ผมขอเรียกเป็นการทดลองขับเฉยๆก็แล้วกันนะครับ เพราะมันเป็นการทดลองขับจริงๆ ไม่ได้มีการนำเครื่องมืออะไรมาวัดค่าโน่นค่านี่ แต่เป็นการขับแล้วเอาความรู้สึกต่างๆมาเล่าสู่กันฟังเพียงเท่านั้นครับ
การทดลองขับ”บริโอ”รถอีโค้คาร์จากฮอนด้าในครั้งนี้ จัดขึ้นไกลถึง จ.เชียงรายโน่น การเดินทางไปนั้นก็ต้องขึ้นเครื่องบินกันไปเลยทีเดียว เครื่องบินที่พาเหล่าพี่น้องสื่อมวลชนไปนั้นก็เป็นของการบินไทยนั่นแหละครับ สร้างความประทับใจจริงๆครับ ทั้งขาไปและขากลับ ประทับใจในการปรับอุณหภูมิ ที่ออกจะอบอ้าวมาก คิดว่านั่งอยู่บนรถทัวร์กันเลยทีเดียวครับ ไม่เข้าใจจริงๆครับ ว่าทำไมถึงได้เป็นแบบนี้ ที่รู้ว่าเป็นจากการปรับอุณหภูมิ ก็เพราะว่าขาไปละขากลับ ใช้เครื่องบินคนละลำกันครับ จะอ้างว่าเป็นที่เครื่องก็คงจะไม่ได้
ก่อนทดลองขับก็ต้องมาเดินรอบรถกันซะหน่อยครับ การออกแบบ ฮอนด้า”บริโอ้” โดยรวมพูดง่ายๆก็คือคล้ายรุ่นพี่อย่าง ฮอนด้า”แจ๊ส”ซึ่งเป็นรถขนาดพอๆกัน 5ประตูเหมือนกัน แต่ขนาดของเครื่องยนต์ไม่เท่ากันนั่นแหละครับ ด้านหน้าขนาดก็จะพอๆกันครับ แต่ด้านหลังของเจ้า”บริโอ้”นี้จะตัวสั้นกว่าครับ ด้านหน้าและด้านข้างดูดีเลยทีเดียวครับ แต่ด้านหลังนี่ อาจจะออกแบบไม่รับกับด้านหน้าไปซะหน่อย แต่อันนี้ก็เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ อาจจะเป็นเพราะกระจกบานหลังที่ใหญ่ผิดหูผิดตาไปก็เป็นได้ครับ
ภายในส่วนใหญ่ใช้เป็นสีโทนอ่อน ทำให้ดูไม่อึดอัด เบาะนั่งคู่หน้าเป็นแบบ 2 ชิ้น คือชิ้นที่ลองนั่ง และอีกชิ้นเป็นส่วนของที่พิงหลัง และจะเป็นชิ้นที่ต่อกัน ยาวไปถึงส่วนที่ลองศีรษะ ให้ความกระชับค่อนข้างดีครับ นั่งสบายไม่รัดตัวแต่ก็ไม่ได้หลวมจนเกินไป ส่วนเบาะด้านหลังนั้นเป็นแบบผนังพิงชิ้นเดียวกัน สามารถพับลงมาเพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของด้านหลังได้ เบาะด้านหลังนี้ ไม่ได้ลองนั่งเลยครับ แต่มองดูแล้ว ตัวใหญ่ๆอย่างผม คงจะนั่งไม่ค่อยสบายเท่าไหร่นัก แผงควบคุมหรือคอนโซลกลาง จะเป็นสีดำและสีน้ำตาลผสมกันอยู่ครับ แต่หากเป็นตัวท็อปสุด ก็จะมีการครอบจุดสีน้ำตาลดังกล่าวด้วยชุดแต่งเมทัลลิกครับ
ทัศนะวิสัยดีทีเดียวเลยครับ ด้านหน้าและด้านข้างมองเห็นได้ง่าย ถึงแม้จะมีจุดบอดบ้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าคู่แข่งครับยิ่งมองผ่านกระจกส่องหลังยิ่งดีเลยครับ เพราะด้วยกระจกบานหลังที่ใหญ่โต ทำให้ทัศนะวิสัยด้านหลังดีเยี่ยมเลยครับ ส่วนว่ากระจกบานหลังใหญ่ขนาดนั้น จะมีผลต่อความปลอดภัยหรือไม่นั้น วิศวกรผู้ออกแบบบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วง กระจกบานหลังใช้ความหนาถึง 5 มม.จากปกติใช้แค่ 3 มม.เท่านั้น ให้ความมั่นใจได้ว่าคงจะไม่แตกง่ายๆแน่นอน
มาถึงการทดลองขับกันจริงๆสักที โดยกลุ่มแรกนี้ จะใช้เส้นทางจาก โรงแรมที่พักไปขึ้นดอยตุง เส้นทางดังกล่าวจะใช้ระยะทางประมาณ 111.3 กม.โดยจะใช้รถ ฮอนด้า”บริโอ้”ตัวท็อป ซึ่งเป็นเกียร์ CVT กันครับ
เส้นทางก่อนขึ้นดอยตุง เป็นเส้นทางนอกเมืองครับ สามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร จึงรู้ว่าฮอนด้าเค้าล็อคความเร็วสูงสุดไว้ที่ 145กม./ชม.ครับ ไม่ยอมให้เกินไปกว่านี้ครับ โดยให้เหตุผลว่า เป็นรถที่ส่วนใหญ่ที่ใช้ในเมือง ความเร็วขนาดนั้นก็มากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ การควบคุมรถเป็นไปได้อย่างดีครับ ยิ่งเวลาขึ้นเขา เจอทางที่คดเคี้ยวหน่อย พวงมาลัยไฟฟ้าทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดีครับ แต่ในความเร็วสูง ก็มีอาการบ้าง แต่อาจจะเป็นที่หน้ายางด้วย เพราะที่ให้มานั้นเป็นขนาด 175 มม.เท่านั้นเองครับ
เกียร์ CVT ทำหน้าที่ได้ดีครับ จังหวะการเปลี่ยนเกียร์ทั้งขึ้นและลง เป็นไปอย่างนุ่มนวลครับ ยิ่งเวลาขึ้นเขาต้องการอัตราเร่งที่ต่อเนื่อง”บริโอ้”ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง ถามว่าเครื่องแค่ 1200cc. แรงม้าสูงสุด 90 แรงม้า จะขึ้นเขาไหวมั้ย ตอบว่าสบายๆครับ อาจจะไม่เร็วมาก แต่ก็ขึ้นได้ครับ
เรื่องที่จะต้องขอชมเลยก็คงจะเป็นเรื่องเบรกครับ โดยเบรกหน้าเป็นดิสท์เบรกและเบรกหลังเป็นดรัมเบรก แต่ให้ความรู้สึกที่ดีมากในการเบรกแต่ละครั้งครับ ไม่ว่าจะเป็นทางราบ หรือจะเป็นเวลาลงเขา ให้ความรู้สึกมั่นใจได้เลย ต่างจากรถฮอนด้าที่ผมเคยได้ลองขับมาและขับอยู่ในปัจจุบัน
ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีบ หรือเรียกง่ายๆว่าเป็นแบบคานแข็งนั่นแหละครับ ให้ความนิ่มนวลพอสมควร แต่ก็ไม่ได้ทำให้การทรงตัวเสียไปนักในความเร็วที่ไม่มาก แต่หากเกิน 130กม./ชม.ไปแล้ว ก็อาจจะออกอาการได้ แต่ใครจะเอารถประเภทนี้ไปขับเร็วขนาดนั้นละครับ นอกจากพวกผมนั่นและครับที่จะได้ลองมาให้รู้ว่าเป็นอย่างไร แล้วก็นำมาเล่าสู่กันฟังนั่นเอง
ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรืออย่างไร ช่วงที่ได้ทำการทดลองขับนั้น ฝนเกิดตกขึ้นมาครับ ก็เลยได้ดูอาการของรถไปในสถานการณ์อีกแบบ ช่วงล่างยังคงทำหน้าที่ได้ดีครับ แต่หากความเร็วสูงหน่อย หรือช่วงที่อยู่บนเขา ก็ออกแนวน่ากลัวนิดนึงครับ หากผู้ที่ใช้รถทั่วไปเจอแบบนี้เค้าก็คงต้องยกคันเร่งแล้วแหละครับ
แต่ผมว่าเป็นความโชคร้ายของทางฮอนด้านะครับ ที่ดันเกิดฝนตก หลายคนก็เลยได้ตั้งคำถามว่า กระจกบานหลัง ทำไมไม่มีที่ปัดน้ำฝน ก็รู้ๆกันอยู่ว่า รถประเภท 5ประตู หรือที่เรียกกันว่าแฮชท์แบ็ค นั้นจะเกิดลมหมุนขึ้นที่ท้ายรถ ทำให้ฝุ่นเอย ละอองน้ำเอย หรือแม้แต่ขี้โคลน ก็สามารถขึ้นไปติดอยู่บนกระจกด้านหลังได้ และจะทำให้ทัศนะวิสัยทางด้านหลังแย่ลง แต่พอถามวิศวกรกลับไป กลับได้คำตอบที่ไม่คิดว่าจะตอบคือ “คือทางเราไม่อยากให้อะไรมาบดบังทัศนะวิสัยทางด้านหลัง แล้วโดยปกติใช้รถซีดาน 4 ประตูก็ไม่เห็นจำเป็นต้องมีนิครับ แต่ถ้าหากเรียกร้องกันมาก ทางเราก็จะพิจารณาอีกครั้งนึง” นักข่าวอย่างเราๆก็ได้แต่นั่งหน้ามึนกันไปเท่านั้นแหละครับ หวังว่าคงจะพิจารณาเพิ่มให้เร็วๆนี้นะครับ
มาถึงช่วงที่จะต้องขับเจ้า”บริโอ้”ที่เป็นเกียร์ธรรมดากันแล้วครับ เป็นการขับช่วงสั้นๆในเมืองครับ ระยะทางประมาณ 20กว่ากิโลเมตรเห็นจะได้ แป้นเหยียบคลัทช์ค่อนข้างสูงครับ ก็เลยเกิดปัญหากับคนขายาวอย่างผมนิดหน่อย คือช่วงหัวเข่าไปโดนพวงมาลัยบ้าง เป็นบางครั้งเท่านั้นครับ แต่ก็ขับง่ายขับได้แบบสบายๆในสภาพการจราจรที่วุ่นวายในเมืองครับ เหมาะแล้วที่จะเป็นรถที่ใช้ในเมืองซะเป็นส่วนใหญ่
สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเลยระหว่างเกียร์ CVT กับเกียร์ธรรมดา ก็คงจะต้องไปดูกันที่ความเร็ว 100กม./ชม.กันครับ เพราะรอบเครื่องที่เกียร์ CVTทำไว้ในเกียร์สุดท้ายนั้น อยู่ที่ 2000รอบ/นาทีเท่านั้น ส่วนในเกียร์ธรรมดาทำไว้ในเกียร์ 5 นั้น สูงถึง 3000รอบ/นาที ต่างกันถึง 1000รอบ แน่นอนครับว่ามีผลต่ออัตราการกินน้ำมันแน่ๆครับ ส่วนที่โฆษณาไว้ว่าอัตราการกินน้ำมันนั้น เกิน 20กม./ลิตร เห็นจะเป็นตัวเกียร์CVTนั่นแหละครับที่จะทำได้ หากเป็นเกียร์ธรรมดา คิดว่าไม่น่าจะถึงครับ
โดยรวมแล้วถือว่าเป็นรถที่น่าใช้เลยทีเดียวครับ เรื่องรูปลักษณ์ภายนอกนั้นก็แล้วแต่คนมองนะครับ แต่เรื่องสมรรถนะนี่เห็นที่จะต้องยกให้เขาครับ เพราะหากเอามาใช้ในเมืองจริงๆ เข้าออกชานเมืองบ้าง ใช้ความเร็วไม่เกินกฎหมายกำหนด ผมว่าคนที่ซื้อไปขับคงจะมีความสุขกับรถคันนี้ครับ
******************************************************************************
สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…