วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2549 เป็นวันแรกที่ผมจะได้ใช้สนามบินสุวรรณภูมิ อย่างภาคภูมิใจ
เดินทางจากสวนสยาม ด้วยบริการของรถสาธารณะ หมายเลขโทรศัพท์ 1661 เรียกและจองเอาไว้ก่อนเลย รถไปรับตอนบ่ายสองโมง พาผมไปถึงสนามบินเวลาบ่ายสองโมงยี่สิบนาที
เร็วกว่าสวนสยามดอนเมืองตั้งเท่าตัว ค่าโดยสาร 126 บาทบวกกับอีกยี่สิบบาท แถมรางวัลให้คนขับอีกนิดหน่อย เป็นสินน้ำใจกันพอหอมปากหอมคอ ก็ไปถึงสนามบินได้เรียบร้อย
ก็ไม่ได้เตรียมการอะไรไว้ก่อนหรอกครับ แต่จะว่าไม่ตื่นเต้นเสียบ้างเลยนั้น ก็ออกจะผิดผู้ผิดคนกับเขาไปหน่อย ด้วยว่า สุวรรณภูมินั้น เป็นสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ของไทย ที่ผมได้ทราบข่าวคราวทั้งความคืบหน้าความถอยหลัง ทั้งจากสื่อมวลชนทางสิ่งพิมพ์ ทางวิทยุ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ต มาโดยตลอด
ผมรับข่าวอย่างสบายสบาย ไม่ได้คิดอะไรมาก อย่างที่บอกกันว่า ห้องสุขามีน้อยเหลือเกิน ไม่พอต้อนรับ ก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไร เพราะทราบอยู่แล้วว่า ในสนามบินระดับนี้ จะต้องมีอะไรต่ออะไรเตรียมพร้อมไว้ในอาคารอย่างเพียงพอเสมอ ส่วนกับที่สำหรับรองรับผู้เดินทาง ก่อนจะผ่านการรับบัตรขึ้นเครื่องบินนี่ คงจะไม่มีมากนัก
ที่ว่าว่ากันนั่น คงเป็นนักท่องเที่ยวแบบไปเยี่ยมชมสถานที่กันมากกว่า ไม่ใช่ผู้ต้องใช้บริการจริง
แล้วก็จริงครับ ห้องสุขาในสุวรรณภูมินั้น มีมากพอ เสียแต่ที่ผมไปอยู่ในส่วนของห้องรับรองพิเศษของการบินไทยนี่ แออัดไปหน่อย ทั้งสถานที่ และห้องสุขา เข้าใจว่า เพิ่งเปิดใช้ได้เพียงห้องเดียว เลยแน่นไปหมด
เอาครับเอา ถือว่า พอผ่านได้
มาขำหน่อยเอาตอนผ่านด่านตรวจหนังสือเดินทางขาออก ที่พบเจ้าหน้าที่เพียงสองคน ทั้งที่มีช่องตรวจถึงแปดช่องในบริเวณทางเข้าของผู้โดยสารทางด้านที่ผมใช้ ซึ่งก็เอาละ รอกันบ้างไม่ว่ากัน แต่พอไปถึงหน้าเจ้าหน้าที่ ส่งหนังสือเดินทางให้ เจ้าหน้าที่รับหนังสือไปแล้วกางเล่มหนังสือเดินทางของผมโบกแบบพัดให้ความเย็นเข้าสู่ใบหน้า ก็อดหัวเราะไม่ได้ เพราะผมเองก็ร้อนพอสมควรอยู่เหมือนกัน
ถามท่าน ท่านก็ตอบว่า หนูอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่แปดโมงเช้า พอเก้าโมงกว่ากว่า แดดก็ส่องลงมาบนตัวหนูเลย ร้อนจะแย่อยู่แล้วละคะ
ก็ยังดีนะครับ ยังยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจากันด้วยความมีไมตรี ไม่ได้บูดบึ้งเพราะความอบอ้าวเลยแม้แต่น้อย
ผ่านเข้าไปก็เห็นทางลงไปห้องรับรองของการบินไทยที่ผมอยากจะลงไปนั่งพัก แต่เพื่อนเดินทางของผมนั้นมองเห็นไกลกว่าหน่อย เป็นส่วนของร้านค้าปลอดภาษี ก็พุ่งตรงไปก่อนโดยไม่ชวนผม ทำให้ต้องเลยตามเลยลงไปเดินเป็นเพื่อนกันก่อน
เสร็จจากการยืนรอขาแข็งไปพักหนึ่ง เพื่อนเดินทางก็ยินยอมตามผมกลับไปเข้าห้องรับรอง ที่ทำไว้แบบยาวเหยียดแต่แคบกว่าดอนเมือง และเข้าใจว่า ห้องอื่นก็ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ทำให้คนเข้าไปใช้บริการกันมาก อบอ้าวพอประมาณ ไม่เหมือนตอนเข้าร้านค้าปลอดภาษีที่เย็นสบายกว่ามาก
ในห้องรับรอง Royal Silk มีห้องสุขาสองส่วนใหญ่ แยกเป็นชายและหญิงส่วนละหนึ่งห้อง แต่ละห้องของชายมีโถปัสสาวะพอรับรองได้ และห้องสุขาหนักมีอยู่ห้าห้อง ที่เมื่อต้องรับรองผู้เดินทางจำนวนมาก ก็เสียบ้างเป็นบางโอกาส อันนี้ทราบจากพนักงานทำความสะอาด แต่ผมก็ถือว่า เพียงพอครับ เพียงพอ
ในห้องรับรอง มีสัญญาณอินเตอร์เน็ตผ่านเข้าไปสองสัญญาณ แต่คุณจะต้องซื้อบัตรเพื่อเอารหัสมาใช้ ผมไม่ทราบว่าซื้อที่ไหน ก็งัดเอาตัว GPRS ของ DTAC มาใช้ และก็ใช้ได้ ไม่ยุ่งยากอะไรอยู่แล้ว มาเสียเอาตอนที่ผมเปิด Roaming ให้ไปใช้ได้ที่ออสเตรเลีย แต่พอไปถึง กลับใช้ไม่ได้เอาเลยนี่ซีครับ จะทำอย่างไร
เราอยู่กันในห้องรับรองจนใกล้จะถึงเวลาขึ้นเครื่องบิน ที่เดินทางด้วยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG 995 ออกจากสุวรรณภูมิเวลา 18.15 น. ก็เดินทางไกลในสนามบิน จากจุดตรวจสัมภาระติดตัว ไปยังประตูทางขึ้น D4
ถึงทางเข้า D4 แล้วก็ต้องรออีกพักหนึ่ง ในความร้อนอบอ้าวเช่นเคย สังเกตเห็นตู้แอร์ตั้งอยู่กับพื้น ไปยืนอยู่ใกล้ตู้เอามืออังดู ไม่พบลมเย็นออกมาทางช่องลมเลย มีแค่ลมเย็นผ่านออกมาทางตะเข็บนิดหน่อยเท่านั้นเอง คงจะตันไปทั้งตู้เสียแล้ว
เข้าไปในเครื่องบินได้ ก็เย็นสบายเนื้อสบายตัว โล่งใจไปหน่อย รับเครื่องดื่มก่อนออกเดินทาง กับผ้าเย็นมาเช็ดหน้าเช็ดตา ค่อยสบายใจขึ้น
กัปตันบอกทางระบบ PA ว่า วันนี้ เราจะใช้เวลาเดินทางไปยัง Sydney เพียงแค่แปดชั่วโมงครึ่ง ดังนั้น ยังไม่ต้องรีบร้อนออกเดินทางก็ได้นะครับ ท่านผู้โดยสาร กรุณานั่งเล่นรอไปสักครู่หนึ่งก่อน
ผมก็ขำอีกแล้ว เออ มีอย่างนี้ด้วยแฮะ
แต่ไม่นาน ก็เข้าใจ เพราะมีผู้โดยสารในชุดสากลจำนวนหนึ่ง กระหืดกระหอบมาขึ้นเครื่องบิน ปีนไป่บันไดขึ้นไปนั่งชั้นบนกับผมอีกกลุ่มใหญ่ พูดจากันด้วยภาษาที่ผมเข้าใจว่า เป็นของเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงเรานี่เอง
คงจะเป็นผู้บริหารระดับสูงของเขาละครับ อาจจะเดินทางมาแล้วต่อเครื่องของเราไป ก็รอกันนิดหน่อย ไม่ว่ากัน
แปลกแต่จริง การเดินทางครั้งนี้ ผมพบว่า ที่นั่งในบริเวณที่ผมนั่งนั้น ปรับตัวเอนพนักลงได้มากกว่าครั้งก่อน และการฉายภาพยนต์ให้ดูระหว่างการเดินทาง ก็ยังเป็นการฉายจอใหญ่ ให้ดูกันเรื่องสองเรื่อง ประกาศโดยพนักงานต้อนรับชายของสายการบินนั่นเอง
ไม่เป็น เรานอนเสียก็ได้ ดีอีกด้วยซ้ำไป จะได้ทดสอบรถอีซูซุใหม่กันให้สนุกเมื่อไปถึง Sydney แล้ว
หลับครับ หลับหลับตื่นตื่นไปตามเรื่อง หลังรับประทานอาหารแล้ว ซึ่งตอนแรกผมเลือกเนื้อ แต่เมื่อหมด ก็ไม่เป็นไร ซี่โครงหมูก็ได้ แถมอร่อยและนุ่มนวลรสชาติดีทีเดียวครับ
การบินไทยนั้น ผมไม่เห็นพนักงานดูแลผู้โดยสารจะหน้าบึ้งหน้างอกับใครสักที ถ้าคุณไม่จงใจจะตั้งแง่ ดูและคอยเปรียบเทียบการบริการที่เขาให้กับคนต่างชาติโดยเฉพาะฝรั่งผิวขาว กับคนไทยผิวคล้ำแล้วละก็ คุณจะเดินทางอย่างสบายอกสบายใจ ไม่ต้องนั่งเคร่งเครียด ขุ่นข้องใจ เอามานินทากันในอินเตอร์เน็ตหรอก
พูดกับพนักงาน ก็อย่าถือว่า คุณเป็นพระเจ้าเพราะเป็นผู้ซื้อบริการ ยิ้มแย้มกับเขาบ้าง เขาทักทายก็ทักทายเขาตอบ อย่าสะบัดสะบิ้งทำหน้าเหมือนพูดกับคนรับใช้ ใครเขาก็จะต้องดีตอบกับคุณทั้งนั้นแหละ
ทีเวลานั่งเครื่องบินสายอื่น ของชาติอื่นละก็นะ สงบเสงี่ยมเจียมตัวกันดีนักเชียว พอขึ้นสายการบินไทยละก็ จะต้องวางทางปั้นปึ่ง เป็นคุณหญิงคุณนายขึ้นมาทีเดียว
เก็บกระเป๋าของตัวเองขึ้นบนที่เก็บของก็ไม่ได้ ต้องเรียกพนักงานมายกให้ เขามีระเบียบไม่ให้พนักงานช่วยยกนะครับนั่น
รู้กันไว้เสียบ้าง อย่าเจ้ายศเจ้าอย่างนักเลย ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้าเสมอไปหรอกน่า
———————
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…