การเดินทางไปตามสถานที่ต่างต่างกับบริษัทรถยนต์ในประเทศไทยนั้น เราแยกไม่ออกหรอกครับ ว่าเป็นการไปในลักษณะใด
ดังนั้น เราจึงมองแต่เพียงว่า บริษัทรถยนต์จะให้ข่าวแก่เรา เอามาเผยแพร่ทางสื่อของเรากันเป็นหลัก และเป็นส่วนสำคัญ
ใครจะมองทางด้านอื่นใด ก็สุดแล้วแต่ ด้วยว่า เราทำกันมานมนานแล้ว
แม้ครั้งหนึ่ง ผมจะออกไปทางด้านต่อต้าน เลือกการเดินทางด้วยตัวเองเป็นหลัก ซื้อตั๋วเครื่องบินไปเอง ไปเช่ารถขับเองในยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา แต่เมื่อมาถึงญี่ปุ่น ปกติ เขาก็จะพาไปชมโรงงานอันทันสมัยของเขา ไปทดสอบรถยนต์ในสนามทดสอบของเขา ซึ่งเป็นสนามปิด ปิดนี่ไม่ได้หมายความว่า เป็น Closed Circuit นะครับ แต่ปิดไม่ได้เปิดให้กับสาธารณะชน หรือคนเดินทางด้วยตัวเองอย่างที่ผมเคยทำ
การจะเข้าไปขับรถ หรือแม้แต่แวะเวียนไปเยี่ยมชมสถานที่ที่เอ่ยถึงนี้ ก็จะต้องไปเป็นหมู่คณะ ที่เขาเชิญไปเท่านั้น
หากอยากสัมผัสสนามทดสอบ ได้เรียนรู้วิธีการทดสอบอย่างถูกต้อง ไม่ว่าในยุโรปหรือญี่ปุ่น ก็จะต้องไปกับบริษัทรถยนต์ในประเทศเราเสียก่อน อีกทั้งการลงทุนจ่ายค่าเดินทาง ค่าที่พักเองนั้น แม้จะทำได้ แต่ก็ทำให้ผมเหลือเงินในบัญชีธนาคารเพียงปีละไม่เกินสองพันบาท มองดูแล้ว ต่อให้อายุครบร้อยปี ก็คงไม่มีเงินเก็บพอสำหรับใช้จ่าย ยามที่ไม่มีงานทำเป็นแน่แท้
และเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ไม่คิดอะไรมาก ไม่ใส่ใจกับคำติฉินนินทาของคนนอกวงการ รวมทั้งผู้ไม่มีโอกาสได้รับเชิญ ก็จะก้าวนำหน้าผมไปทุกที
ก็ต้องหันมายอมรับไมตรี ที่ได้จากบริษัทรถยนต์โดยดี
และหนึ่งในรายการเดินทางของบริษัทรถยนต์ ที่นอกจากจะพาไปทำงานแล้ว ยังเปิดโอกาสให้เปิดหูเปิดตา รู้จักประเทศที่ไป รู้จักบริษัทและงานของเขาอย่างมากนั้น ก็คืออีซูซุ
ผมชอบถ่ายรูปเก็บเอาไว้ แต่เมื่อไปด้วยตัวเองนั้น ผมเลือกใช้กล้อง VDO เพื่อบันทึกภาพแทนการจดบันทึก ด้วยว่าไหนจะต้องขับรถ จดจำเส้นทาง เรียนรู้ความเป็นพาหนะของรถที่ขับขี่ จนไม่เหลืออะไรไว้ให้บันทึกความงดงามและความสำคัญของสถานที่ ก็ต้องใช้ VDO ในการจำแทน
จนเมื่อไปกับบริษัทรถยนต์ในประเทศ ผมก็ได้โอกาส บันทึกภาพเอาไว้ ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไร เอาเพียงแค่การบันทึกเพื่อแทนความจำ จึงใช้ระบบบันทึกภาพนิ่งในกล้อง VDO นั้นแหละ
แต่ต่อมา เมื่อเห็นโอกาสที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองบังเอิญชอบ ก็ต้องหากล้องมาบันทึก อันเป็นช่วงที่กล้องดิจิตอลเข้ามามีบทบาทพอดี ผมก็เลือกกล้อง Casio บ้าง Sony บ้าง จนถึงยุค DSLR จึงมองหากล้องที่มีน้ำหนักน้อย เพราะถึงเวลานั้น ผมก็รู้สึกว่า การเดินหิ้วกระเป๋าอุปกรณ์ อันมีทั้งคอมพิวเตอร์และกล้องถ่ายรูปไปบนเส้นทางของสนามบิน เป็นภาระที่หนักหนาเกินว่าจะยอมทนแบกน้ำหนักนั้นนั้นไหว
ก็ได้กล้อง Canon 300D จนถึง 350D ขนาดเบา กะทัดรัด มาใช้ในทุกวันนี้
คอมพิวเตอร์นั้น ต้องเลือกที่เบา และให้การทำงานสะดวก แต่ก็ยังไม่ถึงระดับที่เบาหวิว ตรงนี้ไม่ใช่อะไรอื่น แต่เพราะไม่มีงบประมาณเป็นสำคัญ รองลงมาก็คือเล็กเกินไป ก็ทำงานไม่สะดวกเท่าที่ควร
แค่นี้ ผมก็สนุกกับการเดินทาง ที่ปกติต้องขับรถเอง แต่คราวนี้ไม่ต้อง และปกติต้องวางแผนเดินทางเอง ซึ่งก็ไม่ต้องทำอีกแล้วเช่นกัน เลิกกังวลกับการจองตั๋วเครื่องบิน จองห้องพัก จองรถยนต์ มาเป็นเดินทางร่วมกับเพื่อนพ้องน้องพี่ในวงการรถยนต์ เหมือนคนทั่วไปเขาทำกันได้เต็มที่
อยากไปไหนเองเมื่อไร ก็ขอเลื่อนเวลากลับของเขา แล้วจองห้องพักกับการเดินทางอื่นเอาเอง เพิ่มเงินค่าเดินทางและค่าที่พักเอง สบายไปอีกอย่างหนึ่ง ไม่กวนใจใคร ไปตามประสาของผม
เหมือนการไป Sydney ครั้งนี้ ผมก็ขอเลื่อนตั๋วเครื่องบินขากลับ ออกไปอีกสามวัน จองโรงแรมราคาพอรับได้เอาไว้เองอีกสามคืน เพื่อเที่ยวต่อใน Sydney กับหลานสาวคนงามของผมที่นั่นเสียเลย
แต่วันแรกของการเดินทางไปถึง Sydney ผมก็ได้ชมเมืองเสียอย่างจุใจ
เพราะพอถึงที่พัก พักผ่อนอาบน้ำแต่งตัวลงไปรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เราก็ยกพลขึ้นรถบัสขนาดใหญ่ เดินทางไปชมหาดทรายสวยงามของ Sydney กับคณะที่อีซูซุนำไปกันเลยทีเดียว
หาดทรายที่เราไปนั้น เป็นอ่าวขนาดระดับอ่าวพัทยาของเรานี่แหละครับ แต่ความสะอาดของเขานั้นผิดกันกับของเรา และทิวทัศน์ก็ผิดกัน ไม่มีร่มไปกางเต็มทั้งหาดแบบของเรา อันเป็นของแปลกตาสำหรับฝรั่ง
ยังเป็นหาดทรายกว้าง ยาวอ้อมเป็นวงโค้งหันออกทะเลทางเดียวกับพัทยาเสียด้วย
Bondi Beach เป็นชื่อของอ่าวแห่งนี้
วันที่เราไปถึง แดดแรงจัด ลมเย็นเยียบพัดกระทบกายหนาวสั่นได้เหมือนกัน หาดที่เป็นวงโค้งรูปจันทร์ครึ่งเสี้ยวนี้ เรียงรายไปด้วยตึกรามบ้านเรือน แต่ไม่มีคอนโดมิเนียมสูงระฟ้าเหมือนพัทยา ถนนเลียบชายหาดกว้าง มีลานจอดรถให้เช่าจอดอยู่ริมด้านชายหาด โดยมีถนนคนเดินกั้นเอาไว้ ก่อนจะลงสู่หาดทรายที่วันนั้น มีผู้คนไปตากอากาศกันไม่มากนัก ด้วยว่าถึงจะเป็นวันหยุดเทอมของนักเรียน แต่ก็เป็นวันทำงานของผู้ปกครอง
คลื่นแรงโถมเข้าปะทะชายฝั่ง เป็นคลื่นหัวแตกที่ดูไม่น่ากลัว แต่ก็มีผู้ลงเล่นน้ำอยู่ไม่กี่คน และก็จะอยู่เพียงระดับเอว ไม่เห็นใครลงลึกไปกว่านั้น
เราอยู่ที่หาด Bondi Beach กันราวครึ่งชั่วโมง ก็ขึ้นไปที่ Table Land เพื่อชมวิวเมือง Sydney ในหมอกกันอีกนิด ก่อนจะเดินทางต่อไปยัง Mrs Macquarie’s Chair อันเป็นสวนสาธารณะ ที่กล่าวกันว่า Mrs Macquarie ผู้เป็นภรรยาของผู้ว่าการรัฐ Victoria ท่านแรก ชื่นชอบการมานั่งชมอ่าว Sydney ที่นั่นทุกเย็น
บรรยากาศที่สวนสาธารณะแห่งนี้ กำลังสบายครับ ดูเหมือนเป็นแหลมที่ยื่นล้ำลงไปในอ่าว มองเห็นสะพานข้ามอ่าว Sydney ชื่อ Harbour Bridge และ Opera House ของ Sydney ย้อนแสงตะวันย่ามบ่ายสวยงามแปลกตา
ไม้ใหญ่ในสวนสวยแห่งนี้ ดูโอ่อ่า มีชีวิตชีวา ให้ร่มเงาแก่คนที่มาพักผ่อน นั่งอ่านหนังสือ ชมวิว ได้อย่างดี
จากนั้น เราก็กลับเข้าสู่ตัวเมือง Sydney เพื่อเลือกซื้อครีมนานาชนิดจากห้าง David Jones ตามอัธยาศัย ก่อนจะไปที่ร้าน Cherry ในย่านไชน่าทาวน์ อันเป็นร้านของคนไทย จำหน่ายครีมอีมู ครีมรกแกะ ครีมพลังจิงโจ้ เครื่องประดับโอปอ ตุ๊กตาหมีโคอาลา ขนแกะ เสื้อผ้าของออสเตรเลีย ในราคาถูกกว่าที่อื่น
ผมได้ถ่ายรูปสมใจ
พรุ่งนี้ เราจะไปทดสอบรถ ISUZU 3000 DDi VGS Turbo รุ่นใหม่ล่าสุดของโลกกันแล้วละครับ
——————————————
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…