ผู้หญิงขับรถ First Drive Honda City โฉมใหม่ 2017 รุ่น SV+ กรุงเทพ-ราชบุรี

ฮอนด้าซิตี้รุ่นปรับปรุงโฉมใหม่เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2560 โดยรูปโฉมใหม่เพิ่มเติมไฉไลกว่าเดิม
ทั้งกระจังหน้าแบบโครเมี่ยม กันชนหน้า-หลัง เส้นสายที่ดีไซน์ดูสปอร์ตกว่ารุ่นเดิม

 


ล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 16 นิ้ว รุ่น SV และ SV+ นอกนั้นเป็นล้อ 15 นิ้ว


มีให้เลือกทั้งหมด 6 รุ่น คือ รุ่น SV+ เกียร์ CVT , รุ่น SV CVT รุ่น V+ CVT รุ่น V CVT, รุ่น S CVT, และรุ่น S MT(เกียร์ธรรมดา)

 

ภายนอก

ติดตั้งไฟส่องสว่างสำหรับการขับขี่ตอนกลางวันแบบ LED ในทุกรุ่น ซึ่งนอกจากเพื่อความปลอดภัยยังดูสว่างเสริมให้รถดูสวยขึ้น
ไฟหน้าและไฟตัดหมอก LED เฉพาะ รุ่น SV และ SV+ ไฟจะเรียงเป็นแนวยาว ด้วยการสะท้อนของโคมไฟทำให้เห็นเส้นทางชัดเจนในขณะขับขี่เวลากลางคืน

การออกแบบภายใน

ไฟส่องสว่างแบบ LED ซึ่งเป็นไฟอ่านแผนที่ด้านหน้า และไฟส่องสว่างภายใน (เฉพาะรุ่น SV +)
คอนโซลด้านหน้าพื้นผิวคอนโซลสีดำ แผงคอนโซลตรงกลางรูปตัว T ในโทนสีเมทัลลิกเข้ม


นอกจากนี้ยังเพิ่มรายละเอียดในการตกแต่งบริเวณช่องแอร์รอบบริเวณคันเกียร์ และรอบมาตรวัด ด้วยวงแหวนสีเงิน ทำให้ห้องโดยสารดูเด่นขึ้น
สำหรับมาตรวัดเรืองแสงแบบ 3 วง ดูมีมิติ พร้อมไฟเรืองแสงสีขาวขณะสตาร์ทรถ
เบาะนั่งสไตล์สปอร์ตด้วยการเดินด้ายเย็บแบบ 2 แถว วัสดุผ้าที่ใช้นั่งแล้วรู้สึกสบาย

มาเริ่มเรื่องของการขับ ฮอนด้าซิตี้ใหม่คันนี้กันนะคะ ซึ่งคันที่ขับ คือรุ่น SV+


กิจกรรมครั้งนี้เริ่มต้นที่ บริษัท เอที ฮอนด้า ออโตโมบิล (เอกชัย – บางบอน) โชว์รูมและศูนย์บริการฮอนด้าที่ได้มาตรฐาน บนพื้นที่ 7 ไร่ รองรับลูกค้าทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งด้านความสะดวกสบายและด้านงานบริการ

หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางจากศูนย์บริการแห่งนี้เพื่อไปยัง อ.สวนผึ้ง จ.ราชบุรี ระยะทางไปกลับประมาณ 300 กิโลเมตร


โดยออกเดินทางไปสู่ถนนกาญจนาภิเษก ก่อนเข้าสู่ถนนทางหลวงหมายเลข 4 มุ่งหน้าสู่ จังหวัดราชบุรี
ซึ่งคันที่ดิฉันเดินทางไปด้วย ก็ไปด้วยกัน 3 คน สลับกันขับ


City คันนี้ เครื่องยนต์ 1,500 ซีซี SOHC i-VTEC 117 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที และยังสามารถเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด แต่ไม่ได้ลองใช้ เพราะปล่อยให้เกียร์ทำงานแบบอัตโนมัติไป

ระบบเครื่องเสียงหน้าจอแบบสัมผัสที่รองรับการเชื่อมต่อโทรศัพท์แบบไร้สายผ่าน Bluetooth สามารถเชื่อมต่อได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Andriod และ iOS ระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7 สปีด และสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงที่มาพร้อมปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์บนพวงมาลัย ระบบแสดงผลการขับขี่แบบประหยัดน้ำมัน ระบบสตาร์ทเครื่องยนต์ และระบบควบคุมประตูปิดอัตโนมัติเมื่อออกรถ


เมื่อออกเดินทางดิฉันนั่งด้านหลังไปก่อน


ที่นั่งด้านหลังถือว่ากว้างขวางนั่งสบาย ทั้งที่ฝั่งที่ดิฉันนั่งด้านฝั่งผู้โดยสาร คนที่นั่งด้านหน้าสูง 180 ซม. ได้เลื่อนเก้าอี้ให้นั่งสบายสำหรับคนขายาว ก็ยังเหลือที่วางเท้าอีกเยอะเพราะดิฉันสูงแค่ 155 ซม.
ที่นั่งกว้างเพราะเบาะที่นั่งจะชิดกับประตูข้างเลย ซึ่งยังมีที่วางแก้วหรือขวดน้ำทั้ง 2 ฝั่งประตู
ตรงคอนโซลกลางด้านหลังก็ยังมีช่องจ่ายไฟสำรอง สองช่อง ต้องมีหัวสำหรับเสียบ USB ไม่ต้องไปแย่งกับคนนั่งด้านหน้า


ที่นั่งด้านหลังอาจจะไม่นุ่มนวลนักแต่ก็ไม่ได้แข็งกระด้างเมื่อเจอถนนที่ขรุขระ


จุดแรกที่เราแวะไปจิบกาแฟก็คือ ร้านกาแฟคนรักษ์สวน กินกาแฟ มีกิจกรรมให้เล่น เอาของวางที่ห้องสัมภาระด้านหลัง ซึ่งกว้างจุได้เยอะ ถ้าไม่พอ ก็สามารถดึงเบาะที่นั่งหลังพับได้แบบ 60:40 อีกด้วยนะ


แล้วก็เดินทางต่อไปเพื่อนรับประทานอาหารกลางวัน ซึ่งดิฉันก็เป็นคนขับในช่วงนี้


ขึ้นรถ เหยียบเบรก กดปุ่มสตาร์ทที่เป็นแบบ Push Start ปรับแอร์ที่เป็นแบบสัมผัสปรับอุณหภูมิด้วยนิ้วสัมผัส
ปรับที่นั่งให้เข้าที่ สามารถปรับสูงต่ำได้ ซึ่งที่นั้งด้านคนขับจะปรับด้วยมือ ด้านคนนั่งก็ปรับมือ แต่ปรับสูงต่ำไม่ได้
ขับครั้งแรกรู้สึกว่าพวงมาลัยและคันเร่งเบาไปนิดอาจเป็นเพราะเป็นพวงมาลัยและคันเร่งไฟฟ้า แต่เมื่อขับไปเรื่อยๆก็กลับรู้สึกว่าหนักแน่นขึ้นควบคุมง่าย


เส้นทางที่เดินทางไปสวนผึ้งถนนจะเป็นแบบสองเลน วิ่งสวนกัน เวลาจะแซงจะค่อนข้างยากหน่อย ต้องใช้อัตราเร่งแซงเยอะ ก็ถืออัตราเร่งแซงน่าพอใจ
การเกาะถนนก็ให้ความรู้สึกมั่นใจ
เบรกได้ดั่งใจทั้งที่เบรกหน้าเป็นแบบดิสก์เบรก และหลังแบบดรัมเบรก
แล้วเราก็แวะรับประทานอาหารกลางวันที่ เดอะซีนเนอรี่ รีสอร์ท ร้านอาหารท่ามกลางบรรยากาศขุนเขาที่ยังคงกลิ่นอายของฟาร์ม สไตล์ยุโรป ที่สวนผึ้ง


จากนั้นจึงเดินทางต่อเพื่อไปยัง โคโรฟิลด์ ฟาร์มเมล่อนออร์แกนิค โดยได้เรียนรู้วิธีปลูกผักสวนครัว พร้อมทั้งชมสวนเมล่อนที่ทันสมัย ซึ่งก่อนนั้นดิฉันคิดว่าเมล่อนชอบอากาศเย็น แต่เมื่อมาที่นี่ก็เลยรู้ว่าเมล่อนเป็นพืชที่ชอบอากาศร้อน เพลิดเพลินกับการชิมเมล่อน ที่ตัดสดสดจากต้น และกิจกรรมตกแต่งบอนไซก่อนกลับกรุงเทพ


จากการเดินทางครั้งนี้ การกินน้ำมันอยู่ที่ 15.6 กิโลเมตรต่อลิตร ความเร็ว 90-120 กิโลเมตร/ชั่วโมง แต่ช่วงเร่งแซงก็มีการใช้ความเร็วมากกว่านั้น และต้องใช้อัตราเร่งแซงบ่อย
ระบบความปลอดภัยให้มาค่อนข้างเยอะถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง ระบบป้องกันล้อล็อค ระบบกระจายแรงเบรก ระบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน

กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมอง 3 ตำแหน่ง ระบบล็อคประตูอัตโนมัติ กุญแจแบบนิรภัย
เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ เข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ 3 จุด 2 ตำแหน่งมีจุดยึดเบาะที่นั่งสำหรับเด็ก

มีที่ไล่ฝ้าหน้า-หลัง และกระจกข้างด้วยนะ

ก็จบทริปแบบเช้าไปเย็นกลับกับฮอนด้าซิตี้ตัวใหม่แบบสบายสบาย ซึ่งปรับโฉมใหม่แต่ราคาคงเดิม

 


ราคาHonda City

รุ่น SV+ CVT  ราคา   751,000 บาท
รุ่น SV CVT    ราคา   736,000  บาท
รุ่น V+ CVT   ราคา   689,000  บาท
รุ่น V CVT     ราคา   649,000  บาท
รุ่น S CVT     ราคา    589,000  บาท
รุ่น S MT      ราคา    550,000  บาท
Honda City ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของท่านที่ชอบรถแบบสี่ประตูขนาดไม่เล็กและใหญ่จนเกินไป

ศูนย์บริการก็มีเยอะนะกว่า 226 แห่งทั่วประเทศ

 

ธัญญลักษณ์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา
ผู้หญิงขับรถ

Facebook Comments
Thunyaluk Seniwongs

Recent Posts