การได้เดินทางไปในที่ที่ไม่เคยไปในครั้งแรก ก็ย่อมรู้สึกตื่นเต้นมากเป็นธรรมดา ยิ่งครั้งนี้เป็นขับรถที่ระยะทางไกลมากและเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยกับระยะทางรวมทั้งสิ้นกว่า 6,500 กิโลเมตร กับ Mazda Skyactive Crossover CX-3 และ CX-5 เป็นรถเดิมเดิมจากเมืองไทย โดยเส้นทางจากเมืองอูลานบาร์ตาร์ในมองโกเลีย ผ่านไซบีเรียไปสิ้นสุดที่กรุงมอสโคว์ในรัสเซียเป็นเส้นทางที่ท้าทายมาก และไม่เคยคิดว่าในชีวิตนี้จะได้มีโอกาสพบเจอประสพการณ์แบบนี้ ในเส้นทางนี้เลย ซึ่งท้าทายทั้งสมรรถนะรถและสมรรถภาพของคน
การเดิมทางครั้งนี้แบ่งสื่อมวลชนออกเป็น 2 กรุ๊ป กรุ๊ปที่ 1 ขับจากเมืองอูลานบาร์ตาร์(หรือดูลานบาร์ตอร์)มองโกเลียไปสิ้นสุดที่เมือง Novosibirsk ในไซบีเรียซึ่งเป็นชายแดนของรัสเซีย ระยะทางประมาณ 3.200 กิโลเมตร
ส่วนกรุ๊ปที่ 2 ก็จะเดินทางจากเมือง Novosibirskในไซบีเรีย ไปยังกรุงมอสโคว์ เมืองหลวงของรัสเซียกับระยะทางอีก
ประมาณ 3,300 กิโลเมตร
เริ่มเดินทางตั้งแต่วันที่ 5 -19 ตุลาคม 2559
โดยเครื่องยนต์ทั้งสองรุ่นคือเครื่องยนต์ 2,000 ซีซี ใข้น้ำมันเบนซิน ซึ่งรถได้ไปจอดรอพวกเราอยู่ที่สนามบินที่อูลานบาร์ตาร์ที่มองโกเลียแล้ว เป็นรถ มาสด้า CX-3 จำนวน 6 คัน และCX-5 จำนวน 2 คัน
มีคลิปให้ดูเพื่อทราบความเป็นมาของการเดินทางในครั้งนี้นะคะ
เมื่อทราบว่ามองโกเลียและเมืองที่จะไปอากาศหนาวมากอุณหภูมประมาณ 1 องศาถึง ลบลงไป เสื้อผ้าก็เลยต้องเตรียมสำหรับเมืองหนาวทั้งหมด กระเป๋าเดินทางขนาด 24 นิ้ว เต็มไปด้วยเสื้อผ้า ผ้าพันคอ หมวกเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
การเดินทางไปรัสเซียไม่ต้องขอวีซ่า แต่เมื่อต้องไปขับรถ เราก็ต้องไปทำใบขับขี่สากลที่กรมการขนส่งทางบก ซึ่งทำได้ที่เดียวคือที่หมอชิด ขั้นตอนเร็วมากไม่ถึง 10 นาทีก็เสร็จแล้ว โดยถ่ายเอกสารแค่หน้าพาสปอร์ตและบัตรประชาชน และรูปถ่าย 2 นิ้ว 2 ใบแค่นั้นเองค่ะ ค่าธรรมเนียม 550 บาท ก็จะได้ใบขับขี่สากลเป็นเล่มมาให้ค่ะ ใช้ได้ 1 ปี
วันแรกของการเดินทางของกรุ๊ปที่ 1 เมื่อผ่านด่านที่ต้อง X-Ray ทุกครั้งก็ไม่เคยโดนตรวจ แต่คราวนี้โดนตรวจ โดยให้ถอดสร้อยพระที่ห้อยคอไปสแกนอีกรอบ ซึ่งก็มีหลวงพ่อทวดที่แขวนมาตั้งแต่เด็ก และตะกรุดนารายณ์แปลงรูปของอาจารย์นองวัดทรายขาวจังหวัดปัตานี ซึ่งเพิ่งได้มาบูชาเมื่อเร็วๆนี้ แต่ก็เลี่ยมอยู่ในกรอบพระ แล้วก็นึกได้ว่าตะกรุดทำมาจากปลอกกระสุน แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี ส่วนประเทศอื่นๆที่เข้าไปก็ไม่มีการเรียกตรวจอีกเลยผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ทำให้กังวลว่าจะผ่านการตรวจแต่ละประเทศหรือไม่
เราเริ่มออกเดินทางด้วย สายการบิน China Airline เครื่องออกตอนตีหนึ่ง ใช้เวลาบิน ประมาณ 5 ชั่วโมงครึ่ง ถึงที่ปักกิ่งประมาณ 6.30 น. ซึ่งเราต้อง ลงที่สนามบินที่กรุงปักกิ่งก่อน เพือต่ออีกสายการบินเพื่อไปยังเมืองอูลานบาร์ตาร์ มองโกเลีย โดย China Airline อีกเช่นกัน เพราะไม่มีสายการบินที่บินตรงไปอูลานบาร์ตาร์
เพียงแต่กระเป๋าใบใหญ่ไม่ต้องเอาลงมาจากเครื่องเช็คเพียงครั้งเดียว ก็คือ Check Through และกระเป๋าก็ไปรออยู่ที่ปลายทาง เรามีเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงที่ปักกิ่ง
ขั้นตอนการตรวจคนเข้าเมืองและออกนอกประเทศจากปักกิ่งจะละเอียดมาก เจ้าหน้าที่เขาเอาของออกจากกระเป่าทั้งหมด
เพื่อตรวจเช็ค คนที่เสร็จแล้วก็ต้องรีบวิ่งไปขึ้นเครื่อง ที่จะต่อไปอีกที่ เพาเวอร์แบงก์ห้ามเกิน 20,000 แอมป์น่าจะเป็นมาตรฐานสากลเหมือนเมืองไทยที่กำหนดมาแบบนั้น ดิฉันมีพาวเวอร์แบงค์ไป 2 อัน 11,000 แอมป์และ 6,500 แอมป์ก็ผ่านได้สบาย
และเราก็ลุ้นกันว่าจะมากันทันไม๊ เพราะไปกัน 27 คนขึ้นมารอบนเครื่อง ครึ่งหนึ่งอีกครึ่งกำลังผ่านขั้นตอนการตรวจอยู่
สุดท้ายก็ผ่านตลอดขึ้นเครื่องทันวิ่งกันเหนื่อยเลย
เราก็บินตรงไปอูลานบาร์ตาร์เลย ถึงที่อูลานบาร์ตาร์ประมาณเที่ยง ลงสนามบินก็ตื่นเต้นแล้ว บริเวณโดยรอบสนานบินเต็มไปด้วยหิมะ
เมื่อผ่านขั้นตอนตรวจคนเข้าเมืองแล้วที่สนามบินเจงกีสข่าน ก็ได้เจอคุณกิตติ นิลถนอม เจ้าของบริษัทรานส์เอเซียซึ่งเป็นผู้นำทางและประสานงานทั้งหมดของทริปนี้รอรับอยู่ที่สนามบินมาสด้า Cx-3จำนวน 6 คัน และ Cx-5 จำนวน 2 คัน รวม 8 คันและรถทีมเซอร์วิสอีก 2 คันซึ่งเป็นรถ มาสด้า BT-50 รวมเป็น 10 คัน เป็นรถที่มาจากเมืองไทย ก็รอเราอยู่ที่จอดรถของสนามบินพร้อมแล้วที่จะออกเดินทาง ไปถึงปุ๊บก็ขับรถเลย
เดินออกจากสนามบินอุณหภูมิอยู่ที่ -3 องศา พูดนี่ควันอกจากปากเลยค่ะ ส่วนรถที่จอดอยู่ก็ยังมีหิมะจับอยู่บนฝากระโปรงรถทั้งๆที่เที่ยงแล้ว แต่มีแดดเล็กน้อย ต้องรีบใส่เสื้อหนาๆ หมวกและผ้าพันคอพร้อม
คันที่ดิฉันจะเดินทางเป็นรถ CX-5 ค่ะ เดินทางกันผู้หญิงล้วน 4 คน ที่เก็บของท้ายรถสามารถเอาขึ้นได้หมดซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ขนาดกระเป๋าขนาด 24 นิ้วแต่มีใหญ่สุดน่าจะ 26 นิ้วหรือ32 นิ้วนี่แหละ ก็จัดลงได้ แล้วมีเป้อีกหนึ่งใบด้วยนะ จุทีเดียว
ขึ้นรถก็ต้องเปิดฮีทเตอร์กันค่ะ ถ้าอยู่เมืองไทยเราก็เปิดแอร์ ฮีทเตอร์ก็อุณหภูมิแยกซ้าย-ขวา ใครต้องการเท่าไหร่ก็ปรับเอาค่ะ
เแล้วเราก็ออกเดินทางกันเป็นขบวนคาราวาน เจอด่านจ่ายตังค์ด่านแรก เท่าที่จำได้ มีด่านเก็บตังค์แค่ 2 ด่านเองตลอดทริปนี้ และอยู่ในมองโกเลียแค่นั้นเอง
การเดินทางเราก็จะเดินทางกันเป็นขบวน ซึ่งถนนที่นี่จะเป็นถนนสองเลน ถนนหลายช่วงจะเป็นคลื่นขรุขระ ทำให้เรารับรู้ถึงระบบช่วงล่างของ Mazda CX-5 เลยว่าซับแรงกระแทกได้ดีมาก ช่วงล่างหนึบหนับดี พวงมาลัยหนักแน่น ไม่วอกแวกตามสภาพถนน
และการเดินทางในครั้งนี้ก็จะมีผู้นำขบวนจากทรานส์เอเซีย ซึ่งจะรายงานเส้นทางตลอดการเดินทาง โดยรถทุกคันก็จะมีวิทยุสื่อสารกัน
ถนนที่นี่ข้างทางเป็นทุ่งโล่งสุดลูกหูลูกตา เป็นทุ่งหญ้าแห้ง และมีฝูงม้าและฝูงวัวเลี้ยงอยู่ในทุ่งหญ้า ซึ่งการขับรถที่นี่ ต้องระวังม้าและวัวข้ามถนน ซึ่งจะพบเห็นเป็นระยะระยะ และถนนเป็นหลุมบ่อบ้างในบางช่วงแต่ไม่เยอะ
เห็นทุ่งโล่งแล้วใจปลอดโปร่งไปด้วย
แต่วัวที่นี่เดินช้าช้าไม่ค่อยวิ่งค่อยๆเดิน วัวหน้าขาวขาวอ้วนสุขภาพดี
เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง สํญญาณโทรศัพท์มีเป็นช่วงๆ เพราะเปิดโรมมิ่งไว้ แต่ไม่มี Wi-Fi , Wi-Fi มีที่โรงแรม
เราถึงโรงแรม ประมาณสามทุ่ม ตอนนั้นประมาณ -3 องศาแต่มีลมและเราเพิ่งไปถึง ยังไม่ชินกับอากาศหนาวก็เลยรู้สึกหนาวมาก และเราต้องจอดรถจากอีกโรงแรมหนึ่งมาอีกโรงแรมซึ่งอยู่ใกล้กัน เพื่อทานข้าวและพักที่นี่ แค่ช่วงสั้นๆแต่เดินกันปากสั่นไปหมด
อาหารมื้อนี้ก็มีสลัดผัก มีเนื้อแพะ เนื้อวัว เนื้อหมู และมีข้าว ซึ่งรสชาติแตกต่างจากบ้านเราข้าวจะนิ่มๆ แต่ก็ทานได้ เพียงแต่เป็นรสชาติที่ไม่คุ้นเคย
โรงแรมส่วนใหญ่จะไม่มีลิฟท์ถ้าเป็นโรงแรมที่ไม่ใช่เมืองใหญ่ แต่มีน้ำร้อนมีฮีทเตอร์มีทีวี มีตู้เย็น และมี Wi-fi ซึ่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตไปแล้ว
คืนนั้นเราก็เลยนอนเร็วเพราะนอนมาบนเครื่องตลอด เพื่อเตรียมตัวเดินทางในวันพรุ่งนี้
นี่คือวันแรกของการเดินทางกับ Mazda Skyactive CX-5 และเราก็จะเดินทางต่อไปอีกในวันรุ่งขึ้น จากเมือง Sukbatarในมองโกเลีย ข้ามชายแดนมองโกเลียไปยังฝั่งไซบีเรียของรัสเซีย ที่เมือง Ulan Ude กับระยะทางอีก 330 กิโลเมตร
อีซูซุส่งเครื่อ…