เปลี่ยนบรรยากาศมาหาความรู้รอบตัวเกี่ยวกับเรื่องรถยนต์นี่แหละ หนนี้เป็นรถใช้ในราชการทหาร ที่จำเป็นต้องเข้าไปปฏิบัติภารกิจในที่ทุระกันดาร หรือหลังแนวรบของข้าศึก อันไม่สามารถขับหน้าตาเฉยฝ่าแนวรบเข้าไปได้ หรืออาจจะต้องข้ามเขาสูงเหวลึก หรืออาจเป็นความจำเป็นเร่งด่วนคอขาดบาดตายชนิดช้าไม่ได้แม้แต่ชั่วโมงเดียว จำเป็นต้องแพ็คขึ้นเครื่องบินชนิดพร้อมใช้งาน แล้วไปปล่อยลงตรงจุดหมาย โดยใช้ร่มชูชีพ
ฟังดูเหมือนหนังนักสืบบู๊ล้างผลาญไปหน่อยแต่กองทัพสหรัฐไม่คิดอย่างนั้น ค้นคว้าวิธีการและเตรียมการทำงานเอาไว้พร้อมสรรพ เรียกว่าสามารถส่งยานพาหนะอย่างรถยก, รถเอทีวี มอเตอร์ไซค์ 4ล้อ, รถฮัมวี่ขนาดใหญ่ หรือศัพท์อย่างเป็นทางการว่า รถเอนกประสงค์ความสามารถสูง High Mobility Multipurpose Wheeled Vehicles ที่จะสามารถนำส่งไปที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้
แม้ว่ากองทัพจะไม่ได้ทำการปล่อยยานพาหนะในการทำสงคราม ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา เพราะส่วนใหญ่จะค่อนข้างหาสนามบินในย่านใกล้เคียงได้โดยง่าย แต่กองทัพ ก็ต้องมีการฝึกซ้อมเรื่องที่ว่านี้อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เหล่าทหารมีความคุ้นเคยกับการทำงาน เพราะจะต้องทำการปล่อยยานน้ำหนักตัวมากกว่า 6,000 กก. จากอากาศลงสู่พื้น โดยไม่ให้เกิดความเสียหายใดๆ
มาดูกันว่าวิธีการจะเป็นอย่างไร โดยการใช้เครื่องบินขนส่ง ซี-17 หรือ ซี-130 ปล่อยสิ่งของลงมาที่ความเร็วเครื่องบิน 140 น็อต ขณะบินอยู่เหนือพื้นดินอย่างน้อย 750 ฟุต หลังจากเปิดประตูท้ายเครื่องแล้ว พนักงานการบินจะปล่อยร่มนำออกมาก่อน ราว 5 ถึง 10 วินาที ก่อนที่นักขับเครื่องบินจะให้สัญญาณปล่อยสิ่งของ จากนั้นร่มนำก็จะเป็นตัวดึงร่มขนาดใหญ่ 22 ฟุต ซึ่งจะมีกลไกปลดล็อคถาดวัตถุหรือตัวรถจากพื้นเครื่องบิน และร่มขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 100 ฟุต นำ้หนักเฉพาะตัวรถอันละ 125 กก. 3 อัน ก็จะกางออก เมื่อตัวรถหลุดพ้นจากเครื่องบิน ทั้งนี้ระยะห่างจากตัวรถที่ปล่อยออกจากเครื่องถึงพื้นดิน ต้องไม่ต่ำกว่า 400 หลา เพื่อความปลอดภัย
จากนั้น นายทหารผู้ขับและทีมงาน ก็จะโดดร่มตามลงมา เพื่อแกะอุปกรณ์จับยึดออก และนำรถไปใช้งาน
ส่วนการเกาะยึดตัวรถนั้น ด้านใต้ A จะต้องมีแผ่นรวงผึ้งชนิดพิเศษรับแรงกระแทก 11 แผ่น รองใต้ท้องรถกับพื้น ซึ่งตัวรถจะลดตัวลงตามแรงกระแทกปกติ กดลงบนแผ่นรวงผึ้ง 4 แผ่น ขณะที่ต้องใช้แผ่นรวงผึ้งรองใต้ล้อทั้ง 4 แชสซีส์ โครงใต้ตัวรถ เพื่อรับแรงกระแทกเช่นกัน ค่าใช้จ่ายต่อการปล่อยรถสู่พื้นครั้งหนึ่ง จะตกประมาณ 22 ล้านบาท
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…