Brand: MITSUBISHI Model: Lancer
Year: 2006 Miles: 20001-40000
From: ภีชร จุลาตระกูล
เมื่อวันศุกร์ที่ 31 ส.ค. ดิฉัน จะขับรถออกไปที่ทำงาน พบว่าที่พื้นฝั่งข้างคนขับ (ขอเรียกว่า ฝั่งซ้ายนะคะ) ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง มีน้ำท่วมขังเป็นจำนวนมาก (โดยที่ฝั่งคนขับทั้งด้านหน้า-ด้านหลัง ไม่มีน้ำท่วมเลยค่ะ)ดิฉันจึงขับรถออกมาจอด ณ ลานกว้างๆ บริเวณลานจอดรถของหมู่บ้าน และเป็นที่โล่งแจ้งกว่าจุดที่ดิฉันจอดรถอยู่เพือตรวจดู ซึ่งเพื่อนดิฉัน บอกว่า น่าจะเป็นน้ำแอร์หยด เพราะตรงท่อน้ำแอร์ มีน้ำหยดอยู่นิดหน่อย (บริเวณที่อยู่ใต้ ที่เก็บของฝั่งซ้าย ที่อยู่เกือบๆ จะด้านล่างๆค่ะ)ดิฉันจึงเปิดประตูรถทุกด้านออกหมด เพื่อดูว่า น้ำท่วมที่ใดบ้าง และน่าจะมีการไหลซึมมาจากที่ใด
ดิฉันเปิดกระโปรงหน้า เพื่อตรวจดูหม้อน้ำ ณ จุดต่างๆ พบว่า น้ำคงอยู่ ณ ที่ปกติ (เปรียบเทียบกับการเปิดตรวจสอบน้ำ ครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณ อาทิตย์ก่อน เกือบๆ 10 วัน) จากนั้นจึงก้มลงดูว่ามีน้ำขังอยู่ตรงไหนหรือไม่ ซึ่งพบว่า บริเวณ ด้านหน้าติดๆ กับ ป้ายทะเบียนรถ ด้านล่างของรถ จะมีพื้นอยู่และมีน้ำเปียกอยู่นิดหน่อย แค่พื้นพอเปียกๆ เท่านั้น ดิฉันดูต่อไปจนกระทั่งถึงแถวบริเวณ ที่ติดกับที่เก็บของภายในฝั่งซ้าย ไม่พบความเปียกชื้นแต่อย่างใด และก้มลงไปดูใต้ท้องรถ เพื่อตรวจหารอยรั่วใต้ท้องรถ แต่ไม่พบ จากนั้น
1. ดิฉันมุดเข้าไปดูใต้ที่เก็บของด้านหน้าฝั่งซ้าย เห็นท่อน้ำ(ซึ่งเพื่อนที่อยู่ด้วยบอกว่าเป็นท่อน้ำแอร์) ดิฉันพบว่าท่อนั้นๆ เปียกอยู่นิดหน่อย และน้ำหยดอยู่ โดยหยดเพียงนิดหน่อย ประมาณ 1 หัวเข็มหมุดได้ค่ะ หรือ ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง ไม่เกิน 4 มิล (จากการใช้ไม่บรรทัดในรถวัดดู) ระยะเวลาหยด 1 หยด จะประมาณ 1 นาที
2. ดิฉันกดดูน้ำที่ขังอยู่ที่พื้นบริเวณที่นั่งข้างคนขับ(ฝั่งซ้าย) พบว่า น้ำท่วมอยู่ในพรมจำนวนนึง ดิฉันจึงเอา ยางกันเปื้อนออก แล้วนำถังขยะในรถ ซึ่งมีขนาด กว้าง*ยาว ประมาณ 4*4 นิ้ว (ถังขยะเล็กๆที่เราใช้ในรถกันทั่วๆไป) มาขูดที่พรมดูก็สามารถ ขูดน้ำออกมาได้ประมาณ ครึ่งถังขยะใบนั้น จึงเริ่มแห้งสำหรับจุดนี้
3. ดิฉันดูใต้เบาะฝั่งซ้ายด้านหน้า พบปริมาณน้ำมีมากกว่า จุดที่ 1 ดิฉัน นำกระป๋องที่พอหาได้แถวนั้น มาขูดน้ำออกไป ได้จำนวน 1 ประมาณ 1/4 ของถังขยะ ตามข้อที่ 2 และสามารถนำน้ำออกไปได้จำนวนหนึ่ง แต่ไม่แห้งสักเท่าไร เนื่องจากขูดน้ำจากพรม ได้ไม่ถนัดค่ะ
4. ด้านเบาะหลัง (ฝั่งซ้าย)ดิฉันพบว่า มีน้ำท่วมเป็นจำนวนมากกว่า 2 จุดแรก โดยไม่ต้องกดพรมดูก็เห็นน้ำท่วมขังอยู่ ดิฉันยังไม่จัดการน้ำตรงนี้ เพราะต้องการนำไปให้ช่างดูก่อน
5. ดิฉันกลับไปตรวจสอบบริเวณ ท่อน้ำแอร์ ตรงใต้ที่เก็บของใหม่อีกรอบ พบว่า ท่อนั้นๆ เริ่มแห้ง น้ำเริ่มหยดช้าลงและเม็ดน้ำเล็กลง เหลือนิดเดียว ประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 1-2 มิลได้ค่ะ ส่วนระยะเวลาต่อหยด ประมาณ 2 นาทีครึ่ง 3 นาที
6. ดิฉันตรวจสอบด้านคนขับทั้ง ด้านหน้าและหลัง ไม่พบว่า มีน้ำท่วมแต่อย่างใด
7. ดิฉันตรวจดูขวดน้ำทุกขวดที่มีในรถ 3 ขวด ฝาขวดน้ำยังคงถูกแพ็คด้วยพลาสติกอยู่ ยังไม่ได้เปิดสักขวดค่ะ
จากนั้น ดิฉันและเพื่อน จึงขับรถไปยังศูนย์ car care ใกล้บ้าน (ใหญ่พอสมควร) ซึ่งไปรับบริการเป็น ประจำ (ส่วนใหญ่ เติมลมไนโตรเจน และ เช็คแบต ในบางครั้งก่อนออกต่างจังหวัด)เพื่อให้ช่าง ตรวจสอบดู
เมื่อไปถึงจึงเล่าเหตุการณ์ให้ช่างฟังเป็นการเบื้องต้น ช่างบอกดิฉันว่า น่าจะเป็น ท่อน้ำแอร์รั่ว จึงทำให้น้ำหยดในรถ เดี๋ยวให้ช่างแอร์มาตรวจดู
ประมาณไม่เกิน 3 นาที ช่างแอร์ก็มาตรวจสอบดูและไปดูน้ำที่หยด ณ บริเวณ ท่อใต้ที่เก็บของ ซึ่งตอนนี้ แห้งแล้ว น้ำไม่หยดแล้ว ช่างแอร์จึงบอกดิฉันว่า ท่อแอร์ตัน เพราะเวลาขับรถไปนานจะมีฝุ่นเกาะที่แผงอะไรสักอย่าง (ดิฉันจำไม่ได้ค่ะว่าแผงอะไร) ทำให้น้ำรั่วออกมา และทำให้แอร์ไม่เย็น ช่างแอร์สอบถามดิฉันเพิ่มเติมว่า แอร์เย็นหรือไม่ ดิฉันก็ตอบไปว่า แอร์เย็นดีปกติ (เย็นจนหนาวมาก โดยดิฉันจะปรับความเย็นของแอร์ เพียงแค่ขีดเดียว และเปิดพัดลมแค่เลข 1 ทุกครั้ง แอร์ก็เย็นมากแล้ว ยกเว้นเวลาขับรถไปต่างจังหวัดช่วงบ่ายๆ จึงจะเปิดพัดลมที่เบอร์ 2 และปรับความเย็นขึ้นไปอีก นิดนึง (การปรับความเย็นของดิฉัน ถ้าเทียบกับนาฬิกาก็ คือ ที่ใช้ปกติจะอยู่ที่ 7 นาฬิกา และ ถ้าช่วงบ่ายๆ ก็จะเป็น 8 นาฬิกา ไม่เคยปรับถึง 9 นาฬิกา หรือสูงกว่านั้นค่ะ)
จากนั้น ช่างแอร์ จึงทำการตรวจสอบ แอร์ของดิฉัน โดยเปิดพัดลมไปสุดๆ พร้อมกับปรับความเย็นแอร์สุดๆ เพื่อทำการตรวจของเขาน่ะค่ะ ระหว่างนั้น ดิฉันจึงตรวจดูน้ำที่ขังอยู่อีกครั้ง บริเวณฝั่งซ้ายด้านหน้า ขูดน้ำไม่ค่อยออกแล้ว ออกมาแค่นิดหน่อยค่ะ ขอไม่นับ จากนั้น
ดิฉันจึงใช้ถังขยะ ตักน้ำและขูดน้ำบริเวณเบาะหลังฝั่งซ้าย ออกไปจนพรมเกือบแห้ง ปริมาณน้ำที่ตักออกไปประมาณ 3 ถังครึ่ง (ช่วงแรกตักน้ำออกโดยไม่ต้องขูดกับพรมได้โดย ตักแต่ละครั้งเกือบ ครึ่งถังขยะ ขอประมาณว่าเป็น 1/3 ของถังขยะค่ะ) จนพรมเริ่มแห้งขึ้น
รวมน้ำทั้งหมดที่ตักออกไปก็ประมาณ 4 ถังกว่าๆ ได้ ถ้าเทียบกับขวดน้ำขวดใหญ่ ดิฉันประมาณว่า 2 ขวดลิตรกว่าๆ
ระหว่างที่ดิฉันตัก/ขูดน้ำออกอยู่ ช่างแอร์ก็ตรวจสอบเสร็จและเดินมาหาดิฉันที่ฝั่งซ้าย และก็บอกดิฉันว่าแอร์เย็นปกติ และระหว่างที่เขาเห็นดิฉันตักน้ำออกอยู่นั้น ช่างแอร์ก็บอกว่า น้ำท่วมมากขนาดนี้เลยเหรอ เขาคงต้องเปิดเครื่องเพื่อตรวจและล้างเครื่องแล้ว เนื่องจากท่อแอร์คงตันมาก ทำให้น้ำรั่วออกมาได้ขนาดนี้
ดิฉันจึงสอบถามกลับไปว่า ใช้เวลานานขนาดไหน เขาแจ้งว่า ต้องเอารถทิ้งไว้ เกือบวัน ซึ่งตอนนั้นก็ 10 โมงกว่าๆ แล้ว ดิฉันจึงถามเขาต่อว่า ค่าใช้จ่ายประมาณเท่าไร ช่างบอกว่าประมาณ 4,000 ดิฉันถามเพิ่มต่ออีกว่า แอร์จะเสียไหม หรือจะเป็นอะไรหรือไม่ มาทำประมาณวันจันทร์ เขาบอกว่า ไม่เป็นไร ขับได้ อีก 2-3 วัน ดิฉันตัดสินใจนำรถเข้าเช็คอาการอีกครั้งในวันจันทร์ ที่ 3 แต่ยังไม่ตกลงใจที่จะซ่อม ณ ศูนย์ car care แห่งนั้น
ดิฉันตัดสินใจว่า
– ดูอาการของแอร์ ภายในช่วงเสาร์-อาทิตย์ ว่า แอร์เย็นหรือไม่ เพราะช่างบอกว่า ท่อแอร์ตันแต่เมื่อช่างตรวจสอบแล้ว ช่างก็บอกว่า แอร์ปกติ จนกระทั่งมาเห็นน้ำที่ดิฉันตักออก จึงบอกว่าท่อตันอีกครั้ง
– ดูว่าน้ำยังคงหยดอีกหรือไม่ และถ้าจอดรถในคืนวันศุกร์แล้ว เช้าวันรุ่งขึ้น น้ำยังคงออกมาท่วมขังภายในรถอีกหรือไม่
– ดิฉันยังคงสงสัยว่า ทำไมน้ำในหม้อน้ำ ณ จุดต่างๆ ยังคงเท่าๆ เดิม ไม่เปลี่ยนแปลง แล้วน้ำจำนวนมากมาจากไหน
– จะเอารถไปตรวจสอบอาการกับศูนย์มิตซูดูว่า เป็นเหมือนกับที่ช่าง car care บอกหรือไม่แล้วค่อยตัดสินใจอีกที ซึ่งดิฉันคงต้องเลือกศูนย์พอสมควร เพราะศูนย์ที่เคยไปเข้านั้น เพื่อนดิฉันขับมิตซูเหมือนกันแต่รุ่นเก่ากว่านี้ นำรถไปเข้าศูนย์มิตซู แห่งหนึ่ง ช่างมีพฤติกรรมไม่ค่อยดี สักเท่าไร เกี่ยวกับเรื่องอะไหล่ของรถ และด้วยเหตุนี้ ดิฉันอยากหาศูนย์ที่ตรวจรถ ที่อนุญาติให้เจ้าของรถ เข้าไปดูพร้อมๆ กับเขาได้ ว่าอะไรเป็นอะไร เพราะดิฉันต้องการวิเคราะห์อาการต่างๆ ตามไปด้วย และเพื่อประเมิณไปพร้อมกันกับช่าง(ประเมิณในใจ)ด้วยว่า อาการที่ช่างพูดนั้น น่าจะสมเหตุสมผลหรือไม่ ถึงแม้จะไม่มีความรู้เรื่องเครื่องรถยนต์แต่ก็อยากจะเรียนรู้ไปด้วยน่ะค่ะ
จนกระทั่งวันนี้ ผ่านไป 1 อาทิตย์ดิฉัน ยังไม่ได้นำรถเข้าไปตรวจที่ศูนย์ใดๆ ทั้งสิ้นเลยค่ะ เนื่องจาก แอร์ยังคงเย็นปกติ น้ำไม่ท่วม ไม่หยดอีกแล้วนับตั้งแต่วันนั้นมา น้ำในหม้อน้ำหรือจุดต่างๆ ยังคงอยู่ในปริมาณปกติ
ดิฉันยังคงต้องการนำรถไปเช็คอีกทีอยู่ดี แต่ยังหาศูนย์ที่ดิฉันต้องการไม่ได้ (ต้องการเข้าไปดูระหว่างที่เขาซ่อมด้วย)
– คืนวันพฤหัส ที่ 30 แถวเสนานิคม ฝนตกหนักมาก โดยเฉพาะบริเวณหมู่บ้านของดิฉัน ตั้งแต่ประมาณ 4 ทุ่ม เกือบตี 2 (ดิฉันประมาณเวลาพอจะใกล้เคียง เนื่องจากนั่งทำงาน เมื่อกลับมาบ้าน ตั้งแต่ 3 ทุ่ม จนเกือบ ตี 4)
ซึ่งเมื่อฝนตกหนักๆ อย่างต่อเนื่อง สักครึ่งชั่วโมง แล้วบริเวณ ลานจอดรถ หมู่บ้านดิฉัน จะมีน้ำท่วมขัง ประมาณ 1 ฟุต – 1 ฟุตครึ่ง แต่วันนั้น ฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบ 4 ชั่วโมง
เป็นไปได้หรือไม่ว่า น้ำจะซึมเข้ารถของดิฉันผ่านทางประตูรถ เนื่องจากพื้นที่จอดรถ ก็เอียง(แต่ไม่มากนัก สังเกตุจากการขังของน้ำ ณ ลานจอดรถที่คงเหลืออยู่ตอนเช้า) บริเวณที่ดิฉันจอดรถพอดี ที่ดิฉันคิดเช่นนี้ เนื่องจากเมื่อ ต.ค. ปีที่แล้ว ดิฉัน ขับรถกลับจากบางแสนและแวะไปส่งเพื่อนแถวบางนา ซึ่งตอนนั้น ฝนตกหนักมาก พอลงมาจากทางด่วนก็เจอน้ำท่วมบริเวณถนนที่ไปสมุทรปราการทันที ซึ่งตอนนั้น น้ำท่วมถนน อยู่ประมาณ 1 ฟุต แต่แรงของระลอกน้ำที่ปะทะกับตัวรถค่อนข้างแรง เพราะมีรถวิ่งไปมาอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดคลื่นน้ำอย่างต่อเนื่อง (รถฝั่งตรงขาเข้ากทม วิ่งได้ปกติ แต่ฝั่งดิฉันที่ไปสมุทรปราการ นิ่งเกือบสนิท ระลอกคลื่นเกิดจากรถวิ่งฝั่งตรงข้าม) และดิฉันได้ยินเสียงอยู่ตลอดเวลาที่ระลอกน้ำกระทบกับรถ และเมื่อรถติดอยู่ได้สักประมาณเกือบ 40 นาที ซึ่งดิฉันขยับรถไปได้แค่ ไม่ถึง 2 km เพื่อนดิฉันที่นั่งอยู่เบาะหลังฝั่งดิฉัน (คนขับ) บอกว่า น้ำซึมเข้ารถ มาหน่อยๆ ซึ่งดิฉันอยู่เลนขวาสุด ดิฉันจึงพยายามมองหา รถมิตซู lancer รุ่นเดียวกัน ปีเดียวกัน ซึ่งก็เจออยู่ทางด้านซ้ายมือ ด้านหน้าดิฉันพอดี และมองดูระยะน้ำว่าท่วมไปขนาดไหนและเมื่อระลอกน้ำปะทะรถนั้นสูงแค่ไหน ก็พบว่า ถ้าระยะน้ำปกติ ระลอกน้ำไม่แรง น้ำจะท่วมไปเกือบๆ ครึ่งล้อ แต่ถ้าระลอกน้ำแรง น้ำจะปะทะรถ ที่ 3/4 ของเส้นผ่าศูนย์กลางล้อ ดิฉันจึงมองไปที่ ฟุตบาท เห็นน้ำท่วมเลยฟุตบาทขึ้นมาพอควร และที่เกาะกลางถนน น้ำท่วมสูงเลยเกาะกลางถนนนิดหน่อย รถเก่าๆ จอดเสีย กลางถนน หลายคัน
– จากข้อแรก น้ำฝนไม่เข้าทางกระจกแน่นอน เนื่องจาก ดิฉันปิดกระจกทุกด้านสนิท และตรวจกระจกรถทุกครั้งหลังจาก lock รถเสร็จ ว่าปิดสนิทหรือไม่ และเช้าวันศุกร์ ตอนที่เห็นน้ำขังดิฉันก็ดูแล้วว่า กระจกปิดสนิท รวมทั้ง ที่เบาะนั่ง ไม่มีความเปียกชื้นแต่อย่างใด
– จากข้อแรก การ lock ประตูรถไม่สนิท และทำให้น้ำเข้าได้ ไม่สามารถเกิดจากความเผลอเรอ ของดิฉันได้ เนื่องจาก เมื่อ lock รถเรียบร้อยแล้ว ดิฉันจะยืนรออยู่ประมาณ 10 วิ ทุกครั้ง เพื่อดูว่า รถจะร้องหรือไม่ เพราะรถดิฉัน ถ้าปิดประตูไม่สนิท แล้วกด lock รถ มันจะร้อง ภายใน 10 วิ (รถคันอื่นๆ (ก็คงเหมือนกันหรือเปล่าคะที่เป็นรุ่นใหม่ๆ) ต่อให้เดินไปเลยทันที ก็ได้ยินเสียงร้องอยู่ดี แล้วก็ต้องมา lock ใหม่
– รถดิฉันไม่เคยเกิดอุบัตเหตุหนักค่ะ เคยเคลมแค่ รอยขีดข่วนเมื่อเดือนมิถุนา ที่ผ่านมาเท่านั้น
ดิฉันขอคำปรึกษาและความรู้เป็นวิทยาทาน จาก คุณธเนศร์ หน่อยนะคะ
1. น้ำที่ขังอยู่ในรถเกือบๆ 2 ขวดครึ่งนั้น น่าจะมาจากน้ำแอร์อะไรนั่นหรือเปล่าคะ หรือน่าจะมาจากไหนคะ
2. หม้อน้ำ หรือ จุดที่เก็บน้ำปกติ นอกจากที่เราเห็นง่ายๆ คือพวกหม้อน้ำใสๆ กับจุดท่อที่เราต้องเติมน้ำเป็นประจำแล้ว พวกหม้อพักน้ำอื่นๆมีซ่อนอยู่ตรงไหนอีกไหมคะหรือแบบที่เป็นหม้อทึบอะไรประมาณนั้นน่ะค่ะ แล้วไอ้ท่อน้ำแอร์นี่มันมาจากหม้อพักน้ำอันไหนคะ เพราะดิฉันจะไม่รู้เรื่องพวกนี้น่ะค่ะ นอกจากเติมน้ำตามจุดต่างๆ และเติมน้ำกลั่นที่แบตเตอรี่ กับ เปลี่ยนยางเล็กๆน้อยๆ เท่านั้นน่ะค่ะ
3. ปริมาณน้ำที่มีอยู่ภายในรถ ตามหม้อน้ำต่างๆ รวมๆ แล้วน่าจะสักประมาณกี่ขวดลิตรคะ
4. ดิฉันจะหาหนังสือเกี่ยวกับเครื่องยนต์รถได้ที่ไหนหรือตามหมวดไหนได้บ้างคะ เพราะดิฉันเคยไปตามร้านหนังสือแล้ว ส่วนใหญ่มีแค่ เรื่องการขับรถถูกกฎ ถูกวินัย หรือเรื่องน่ารู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรถ เช่นการเติมลมอะไรๆ พวกนี้เท่านั้นน่ะค่ะ ดิฉันอยากจะศึกษาเรื่องเครื่องยนต์ไว้บ้าง เพื่อที่เมื่อไปศูนย์ หรือ อู่ จะได้ไม่โดนหลอก และดิฉันเดินทางต่างจังหวัดบ่อยๆ จึงไม่อยากจะถูกหลอกจากช่างต่างจังหวัดทั่วไป และด้วยความที่ดิฉันเป็นผู้หญิงด้วย จึงควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาเรื่องเครื่องยนต์ไว้น่ะค่ะ ซึ่งคิดว่าน่าจะพอเรียนรู้กันได้ ด้วยความที่ดิฉันเรียนด้านวิทยาศาสตร์มาน่ะค่ะ
ขอบคุณ คุณธเนศร์ ไว้ล่วงหน้าด้วยนะคะ
1-น้ำที่คุณถามว่า น่าจะมาจากแอร์หรือไม่นั้น ผมไม่อยากคิดว่ามาจากแอร์หรอกครับ เพราะหากมาจากแอร์จริง ก็น่าจะมีไม่มากเท่านั้น ด้วยว่า คุณใช้รถไม่มากนักในแต่ละวัน
ส่วนที่คุณบอกตั้งแต่ต้นนั่นแหละ ทำให้ผมไม่กล้าบอกลงไปว่า ไม่ใช่น้ำจากแอร์ คือคุณบอกไว้ว่า มีน้ำจากท่อแอร์หยดลงมานาทีละหยด
แต่เอาเข้าจริง อาจจะเป็นแค่ความชื้นจากท่อน้ำทิ้งของแอร์ ก็ได้ และน้ำจากแอร์นั้น ไหลออกไปทางด้านล่างหมดแล้ว
ดังนั้น ผมจึงบอกว่า ไม่อยากคิดว่า มาจากแอร์ครับ
2-ไม่มีที่อื่นแล้วละครับ น้ำในระบบเครื่องยนต์ จะมีอยู่เพียงแค่ในหม้อน้ำ ในถังพักน้ำ และในเสื้อเครื่องยนต์ตามปกติ
อ้อ อาจจะมีในหม้อ Heater ของระบบแอร์อีกหน่อยหนึ่ง ตรงนี้ เป็นน้ำร้อนครับ และหากรั่วออกมา ก็จะมีสีเดียวกับน้ำผสมน้ำยาในระบบระบายความร้อน ไม่ใสเหมือนน้ำจากแหล่งอื่น
นอกจากนั้น ก็มีน้ำอีกที่หนึ่ง คือในถังเก็บน้ำล้างกระจก ซึ่ง ก็มีไม่มากนัก และไม่มีทางทีน้ำเหล่านี้จะเข้ามาในตัวรถได้
3-น้ำในระบบระบายความร้อน มีอยู่ได้ตั้งแต่ 4-7 ลิตร ในหม้อล้างกระจกมีอยู่ได้ราว 1-4 ลิตร นี่ขึ้นอยู่กับรถยนต์นะครับ ไม่ใช่รถของคุณ ซึ่งเป็นรถเล็ก ไม่มีถึงระดับนั้นหรอก อย่าไปกังวลเลย
4-เสียดายครับ ที่หนังสือดีที่สุดนั้น คือ”กลับให้ได้ ไปให้ถึง” เขียนโดยธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา พิมพ์มาแล้ว 9 ครั้งโดยสำนักพิมพ์มติชน หมดเกลี้ยงไปแล้ว
รออีกสักพักดีไหม ให้ผมมีอารมณ์ที่จะงัดเอาหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาปัดฝุ่น พัฒนาให้ทันสมัยขึ้นหน่อย แล้วพิมพ์ใหม่อีกครั้ง คุณจะได้หนังสือที่ผู้หญิงอ่านได้ ง่ายง่าย และได้ประโยชน์ครับ
ส่วนปัญหาของคุณ เรื่องน้ำเข้านั้น ผมอยากคิดว่า คุณคงดูใต้ท้องไม่ทั่วถึง เพราะหากคุณเปิดพรมขึ้นดูจริงจริง เปิดให้ถึงพื้นรถเลยนะ คุณจะเห็นว่า มีจุกยางอยู่ที่พื้นรถทั้งหน้า และหลัง
ผมว่า จุกยางนั้นแหละ ที่เผยอขึ้นมา ทำให้น้ำฝนที่ตกลงมาท่วมพื้นที่ที่คุณจอดรถอยู่ ไหลเข้าไปได้ครับ
ลองดูสักหน่อยก็ได้ครับ เอารถไปล้างแบบเครื่องล้าง ที่มีการฉีดน้ำใต้ท้องด้วย แถววิภาวดีรังสิต จากลาดพร้าวผ่านการบินไทยไปหน่อย มีปั๊มที่ล้างรถแบบนี้ เข้าไปให้เขาล้างให้ ไม่ต้องบอกอะไรเขาหรอก
พอล้างเสร็จ ขับรถออกมา ก็ลงมาดูเลยครับ ผมว่า ถ้าคุณยังไม่ได้กดจุกยางนั่นให้ปิดสนิท น่าจะมีน้ำเปียกขึ้นมาบนพรมได้อีกครับ-ธเนศร์
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…