ค่ายรถยนต์นิสสัน แถลงข่าวประกาศความสำเร็จในการควบรวมกิจการ ค่ายมิตซูบิชิ 34% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา มูลค่า 237 พันล้านเยน ราว 68.4 พันล้านบาท หลังจากการประกาศครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคม หลังจากราคาหุ้นของมิตซูบิชิ ร่วงอย่างหนัก จากการประกาศค่าไอเสียไม่ตรงกับความจริง และกระเทือนยอดการขายในประเทศญี่ปุ่น
จากการควบรวมกิจการ ทำให้ค่าย นิสสัน กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของ มิตซูบิชิ และมีสิทธิ์ในการบริหารงานของบริษัท โดยที่ มร.คาร์ลอส โกสท์ ซึ่งเป็นประธานและซีอีโอ ของนิสสัน ประกาศว่า จะดำรงตำแหน่งประธาน Chairman ของมิตซูบิชิ อีกหนึ่งตำแหน่ง
และเมื่อรวบรวมยอดการขายของรถยนต์ทั้ง 3 ค่าย เรโนลต์ นิสสัน และ มิตซูบิชิ จะทำให้เครือสหกรณ์กลุ่มนี้ก้าวขึ้นเป็นค่ายรถยนต์ที่มียอดขายอันดับ 3 ของโลก ภายในปีนี้ โดยประเมินว่าจะสามารถจำหน่ายได้รวมกัน 10 ล้านคัน
ในปี 2558 ค่ายรถยนต์อันดับ 1 ได้แก่ โตโยต้า ขายได้ 10.15 ล้านคัน, กลุ่มโฟล์คสวาเก้น ขายได้ 9.93 ล้านคัน และ เจเนอรัล มอเตอร์ ขายได้ 9.8 ล้านคัน
โกสท์ กล่าวว่า “การควบรวม นิสสัน, มิตซูบิชิ มอเตอร์ส และ เรโนลต์ จะทำให้สามารถก้าวขึ้นไปเป็นผู้ผลิตระดับโลกได้ในไม่ช้า”
โกสท์ ระบุว่า เพื่อให้ต้นทุนต่อหน่วยต่ำสุด พร้อมเทคโนโลยีที่ทันสมัย และความสามารถในการผลิตรุ่นรถตามความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ ไม่ว่าจะเป็นรถในเซ็กเม้นท์ใด ทั้งโลกใบนี้
นั่นคือเป้าหมายของ โกสท์ ที่มีชื่อเสียงมาจากการสร้างให้เรโนลต์ สามารถกลายเป็นค่ายรถยนต์ที่มีกำไรได้ในเวลาเพียงปีเดือน เมื่อ 2549 และอีก 5 ปีต่อมา เขาก็ทำลักษณะเดียวกันกับ นิสสัน และสร้างให้ทั้งสองค่ายเป็นพันธมิตรกัน ก่อนหน้านั้น โกสท์ เองก็เคยทาบทามค่ายรถยนต์จาก ดีทรอยต์ 3 เพื่อแบ่งยอดการขายในตลาดอเมริกาเหนือ แต่การตกลงก็ไม่ประสบความสำเร็จ
ค่ายนิสสัน และ มิตซูบิชิ ร่วมมือกันในการผลิตรถยนต์มาหลายปี การควบรวมครั้งนี้ จะทำให้มีข้อต่อรองในการจัดซื้อได้มากขึ้น ใช้ชิ้นส่วนในประเทศได้เพิ่มขึ้น สามารถร่วมมือกันในการผลิต หรือโครงสร้างพื้นฐานของรถรุ่นปกติ การแบ่งปันเทคโนโลยี และขยายการทำงานของบริษัท ทั้งในด้านการพัฒนา และการบุกเข้าไปในตลาดเกิดใหม่
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…