ทำไมแก๊สโซฮอล์ E20 จึงขายไม่ดี : By;Thunyaluk Seniwongs


น้ำมันแก๊สโซฮอล์ กับ น้ำมันเบนซิน

น้ำมันที่มาจากฟอสซิล เช่น น้ำมันเบนซิน หรือน้ำมันดีเซลเป็นน้ำมันที่ใช้แล้วหมดไป ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ ในขณะที่เทคโนโลยีได้ขยายไปสู่ประเทศกำลังพัฒนา และประเทศด้อยพัฒนา ทำให้ความต้องการในการใช้น้ำมันของโลกมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ราคาของน้ำมันที่ผลิตมาจากฟอสซิลมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้น ภาครัฐได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้ และหาทางออกโดยผลักดันให้พลังงานทดแทนเป็นวาระแห่งชาติ โดยสนับสนุนการผลิตและการใช้พลังงานทดแทนโดยเฉพาะการพัฒนาเชื้อเพลิงชีวภาพและชีวมวล เช่น เอทานอล ซึ่งผลิตได้จากโมลาส และพืชจำพวกแป้ง โดยเอทานอลนั้นสามารถนำไปผสมกับน้ำมันเบนซินเป็น น้ำมันแก๊สโซฮอล์(E10 E20 และ E85) แทนการใช้น้ำมันเบนซินล้วนซึ่งมีประโยชน์ดังนี้

• เพิ่มรายได้และสร้างเสถียรภาพด้านราคาให้แก่เกษตรกรที่ปลูกอ้อยและมันสำปะหลัง
• ลดมลพิษทางอากาศ เพราะเอทานอลมีการเผาไหม้ที่สมบูรณ์กว่าเบนซิน
• สร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศชาติ

1. ราคาน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ E20 แพงเกินไป

โดยจากข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานเดือนตุลาคม 2553 ยอดการใช้เอทานอลอยู่ที่ 1,240,823 ลิตรต่อวัน ในขณะที่ประเทศไทยสามารถผลิตเอทานอลได้ 2,925,000 ลิตรต่อวัน จะเห็นได้ว่ายอดการใช้เอทานอลยังไม่ถึง 50% ของปริมาณการการผลิตจริง แม้ยอดการใช้ของแก๊สโซฮอล์ E20 จะเพิ่มขึ้นตลอด 3 ปีที่ผ่านมา แต่การเพิ่มขึ้นนั้นอยู่ในอัตราส่วนที่น้อยเกินไป ถ้าเทียบกับปริมาณรถยนต์ที่รองรับน้ำมันแก๊โซฮอล์ E20 และสถานีบริการน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ที่เพิ่มขึ้น


จำนวนปั๊มน้ำมัน แก๊สโซฮอล์ E20 ที่เพิ่มขึ้น


โดยในเดือนกันยายน ปี 2553 มีปั๊มแก๊สโซฮอล์ E20 ของปตท. และบางจาก แบ่งตามภูมิภาคได้ดังนี้


จำนวนรถยนต์ที่สามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ได้

จากข้อมูลของกรมธุรกิจพลังงานกระทรวงธุรกิจพลังงาน (http://www.doeb.go.th/knowledge/e20.htm) รถยนต์ที่สามารถใช้น้ำมัน E20 ได้โดยส่วนใหญ่แล้ว คือรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไม่เกิน 7 คน (Sedan) ตั้งแต่ ปี 2551 ตัวเลขเบื้องต้นโดยประมาณอ้างอิงจากข้อมูลของกรมสถิติ รถ Sedan ตั้งแต่เดือน ม.ค. ปี 2551 – ต.ค. ปี 2553 คือ 923,324 คัน

จาก Figure 3 ยอดจำหน่ายน้ำมัน E20 ในเดือน ต.ค. ปี53 ซึ่งเท่ากับ 12,730,000 ลิตร มาเทียบกับยอด รถ E20 ในเดือน ต.ค. ปี 53 ซึ่งเท่ากับ 923,324 คัน จะพบว่ารถยนต์ที่สามารถเติมน้ำมัน E20 ได้ในหนึ่งเดือนเติม E20 แค่ 14.14 ลิตรเท่านั้น ซึ่งโดยขั้นต่ำแล้ว รถยนต์แต่ละคันจะเติมน้ำมันประมาณ 2 ถังต่อเดือน โดยให้ 1 ถังประมาณ 40 ลิตร คิดเป็นเดือนละ 80 ลิตร นั่นหมายความว่า รถยนต์ที่สามารถเติมน้ำมัน E20 ได้ เติมน้ำมัน E20 เพียงแค่ 17.68% ของปริมาณน้ำมันที่รถสามารถเติมได้ในแต่ละเดือน

สาเหตุหลักที่ผู้บริโภคไม่เลือกใช้นั้น น่าจะเป็นเพราะราคาของน้ำมัน E20 มีราคาที่แพงเกินไป ถ้าเทียบกับอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันของ E20 ที่เพิ่มขึ้นจาก E10 ทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ตัดสินใจกลับไปใช้ E10 ตามเดิม ดังนั้นแนวทางแก้ไข คือ ปรับเพิ่มส่วนต่างราคาน้ำมันระหว่าง E10 กับ E20 ใหม่โดยให้ E20 มีราคาที่ถูกลงกว่าปัจจุบันเพื่อสอดคล้องกับอัตราการกินน้ำมันที่เพิ่มขึ้น


ผลการวิจัยอัตราการสิ้นเปลืองของน้ำมันเบนซินแก๊สโซฮอล์ E10 และแก๊สโซฮอล์ E20

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ได้จัดทำโครงการวิจัยในหัวข้อ “โครงการวิจัย และทดลองใช้แก๊สโซฮอล์ที่ผสมเอทานอลร้อยละ 20 ในรถยนต์ และรถจักรยานยนต์” ในเดือนกันยายน ปีพ.ศ 2551 โดย ผศ.ดร.จินดา เจริญพรพาณิชย์ ซึ่งผลการทดสอบในรถยนต์นั้นรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน E20 มีอัตราการกินน้ำมันที่มากกว่า รถยนต์ที่ใช้เบนซิน 91 ประมาณ 5.57% – 6.6% หรือค่าเฉลี่ยคือ 6.09%

ในขณะที่ผลการวิจัยเมื่อปีพ.ศ. 2547 ของบริษัท Orbital Engine Company ในประเทศออสเตรเลีย ในหัวข้อ Markets Barriers to the Uptake of Biofuels Study Testing Gasoline Containing 20% Ethanol (E20) ได้ทำการศึกษาน้ำมัน E20 กับรถยนต์จาก 5 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ ยี่ห้อละ 2 คัน คือ Holden, Ford, Toyota, Hyundai, และ Subaru ทดสอบจากรถที่มีเครื่องยนต์ขนาดใกล้เคียงกัน โดยคันหนึ่งมีเลขไมล์น้อย (6,400 km)

และอีกคันมีเลขไมล์มาก (84,000 km) คือ Holden Commodore VX, Ford Falcon AUIII, Toyota Camry Altis , Hyundai Accent และ Subaru Impreza WRX โดยเปรียบเทียบอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันระหว่าง E0 และ E20 ซึ่งในการทดสอบการขับขี่จะทดสอบทั้งหมด 3 รูปแบบ คือ City, High way, และ Metro High way แต่ในรายงานฉบับนี้จะขออ้างอิงผลการวิจัยการขับขี่ใน City เท่านั้น

จากผลการทดสอบจะเห็นได้ว่าเลขไมล์ของรถนั้น ส่งผลต่ออัตราการการสิ้นเปลืองน้ำมันน้อยมากเพียง 0.386% และค่าเฉลี่ยอัตราการสิ้นเปลืองของ E0 และ E20 ในผลการทดสอบนี้ คือ 7.669%

เมื่อนำผลการวิจัยทั้ง 2 โครงการมาหาค่าเฉลี่ยของอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันระหว่าง E0 และ E20 จะได้เท่ากับ 6.89% ค่าเฉลี่ยอัตราการกินน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของน้ำมันเบนซิน 91(E0) เทียบกับ E10 และ E20 คือ 3% (ข้อมูลโดยประมาณ) และ6.89% ตามลำดับ ดังนั้นค่าเฉลี่ยอัตราการกินน้ำมันที่เพิ่มขึ้นของน้ำมัน E10 เมื่อเทียบกับ E20 โดยประมาณคือ 4.01%

สถานการณ์พลังงานทดแทนในปัจจุบัน

ในขณะที่ปัจจุบันผู้บริโภคได้หันมาใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 มากขึ้น เนื่องด้วยการส่งเสริมของรัฐบาลในหลายๆปีที่ผ่านมา โดยการเก็บภาษีเบนซิน E0 และส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันในอัตราส่วนที่สูงกว่าน้ำมัน แก๊สโซฮอลล์เพื่อจูงใจให้ผู้บริโภคหันไปใช้น้ำมันแก๊สโซฮอลล์มากขึ้น แต่ด้วยอัตราการเติบโตจากการใช้ เอทานอลเพียง 10% (จากน้ำมัน E10) ในปัจจุบันนั้นไม่อาจสนองต่อเป้าหมายการใช้เอทานอล ตามนโยบายพลังงานทดแทนที่ทางกระทรวงพลังงานได้ตั้งเป้าไว้ที่วันละ 9 ล้านลิตรในปี 2565 เป็นเหตุผลให้รัฐบาลต้องสนับสนุนให้ประชาชนใช้น้ำมันที่มีส่วนผสมเอทานอลมากขึ้น เช่น E20 หรือ E85 ที่มีส่วนผสมเอทานอล ร้อยละ 20 และร้อยละ 85 ตามลำดับ


ราคาของน้ำมันแก๊โซฮอล์ E 20 ที่ไม่สอดคล้องกับความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับแก๊โซฮอล์ E10
จาก Figure4 จะเห็นได้ว่าราคาน้ำมันของ E10(91) และE20 อยู่ที่ 30.94 บาทต่อลิตรและ 30.14 บาทต่อลิตรตามลำดับ ความแตกต่างของราคา คือ 0.80 บาท หรือคิดเป็น 2.59% ในขณะที่อัตราการสิ้นเปลืองที่มากขึ้นของ E20 และ E10 อย่างน้อย 4.01% ขึ้นกับรถยนต์แต่ละรุ่น ซึ่งจะเห็นได้ว่าอัตราการสิ้นเปลืองที่เพิ่มขึ้นมากกว่าราคาที่ลดลง ผู้บริโภคที่ขับรถในเส้นทางเดิมเป็นประจำ จะพบว่าการใช้ E20 เสียค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันมากกว่าการใช้ E10 ในระยะทางที่เท่ากัน ผู้บริโภคนั้นก็จะหันกลับไปใช้ E10 เหมือนเดิม แทนที่จะเป็น E20

แนวทางการแก้ไข

เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างราคาของน้ำมัน E10 และ E20 แล้ว ภาษีสรรพสามิตของ E20 อยู่ที่ 5.60 บาทต่อลิตร ในขณะที่ E10 อยู่ที่ 6.30 บาทต่อลิตร ถูกกว่า 1.3 บาทต่อลิตร ซึ่งรัฐบาลสามารถที่จะปรับเพิ่มหรือลดอัตราภาษีเพื่อให้ส่วนต่างราคาน้ำมัน E10 และ E20 นั้นมากขึ้น หรือให้กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงช่วยสนับสนุนราคาน้ำมัน E20 ให้ถูกลง ดังนั้นหากภาครัฐต้องการสนับสนุนการใช้ E20 ให้มากขึ้นก็ควรปรับส่วนต่างราคาของ E20 ให้ถูกกว่า E10 อย่างน้อย 4.01% แต่ในทางปฏิบัติแล้วหากอยากจูงใจ และให้ผู้บริโภครู้สึกได้ว่า E20 ใช้แล้วคุ้มค่ากว่า E10 อย่างเห็นได้ชัด ก็ควรปรับราคาให้ถูกกว่าอย่างน้อย 6% ขึ้นไป เพื่อให้ครอบคลุมกับรถยนต์ทุกยี่ห้อที่มีอยู่ในท้องตลาด ที่ไม่ใช่มีเพียงแต่รถญี่ปุ่นเท่านั้น

thunyaluk @caronline.net

Facebook Comments