หลังจากที่ได้มีโอกาสไปลองขับก่อนการเปิดตัวอย่างเป็นทางการมาวันนี้ได้มีโอกาสไปขับกันยาวๆกับทริปที่ทาง MG ได้จัดให้สื่อมวลชนขับอย่างเป็นทางการซะทีคราวนี้ลงใต้ โดยใช้เส้นทาง สุราษฎร์ธานีไปยังภูเก็ต กับระยะทางกว่า 250 กิโลเมตร
NEW MG5 ได้รับการออกแบบด้วยแนวคิดบริท ไดนามิก (Brit Dynamic) อันเป็นเอกลักษณ์ของ เอ็มจี ที่โดดเด่นทั้งในด้านการออกแบบ สมรรถนะ การควบคุม และความปลอดภัย
NEW MG5 จะเป็นรถยนต์รุ่นที่สองของ เอ็มจี ที่ติดตั้งระบบ inkaNet เทคโนโลยีการสื่อสารระหว่างผู้ขับและรถยนต์ เอ็มจี ที่ทำงานบนเครือข่ายโทรศัพท์ไร้สาย inkaNet ประกอบด้วย 7 ฟังก์ชั่นหลัก ได้แก่ ฟังก์ชั่นแจ้งเตือนความผิดปกติ เมื่อมีการเคลื่อนหรือสตาร์ทรถยนต์ ฟังก์ชั่นระบบนำทาง ผ่านทาง Google Map และช่วยให้ผู้ใช้สามารถติดตามตำแหน่งของรถ และข้อมูลสภาพการจราจรแบบเรียลไทม์ ฟังก์ชั่นระบบขอบเขตอิเล็กทรอนิกส์ ช่วยกำหนดขอบเขตรัศมีการขับรถยนต์ ฟังก์ชั่นแสดงอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันในการขับรถ เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยทั้งแบบรายสัปดาห์และแบบรายเดือน ฟังก์ชั่นระบบเลขา ส่วนตัว ให้ติดต่อ MG CALL CENTRE ได้อย่างง่ายดาย และ ฟังก์ชั่นวางแผนการเดินทาง
ส่วนรูปลักษณ์ภายนอกของ NEW MG5 มาในแนวสปอร์ตแบบ คูเป้ ดีไซน์ (Coupe Design) มิติตัวถังแบบ 4 ประตูที่เน้นความปราดเปรียว ฝากระโปรงหน้ามีสันขอบรูปทรง V-Shape กรอบไฟหน้าแบบโปรเจ็คเตอร์ พร้อมไฟส่องสว่างขณะขับขี่ตอนกลางวันหรือ Daytime Running Lights (DRL) ไฟท้ายแบบยาว แถมด้วยหลังคาซันรูฟที่สามารถเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง เบาะที่นั่งหุ้มหนังกระชับลำตัว พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่น พร้อมหน้าจอแสดงผล เครื่องเสียงและหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้วพร้อมระบบนำทาง และกล้องมองหลัง สามารถเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือผ่านบลูทูธได้
โดย NEW MG5 ขนาดมิติตัวถังขนาด ความยาว 4,612 มม. ความกว้าง 1,804 มม. ความสูง 1,488 มม. ระยะช่วงล้อ 2,650 มม. นั้นอาจจะไปใกล้เคียงกับรถในกลุ่มคอมแพ็คคาร์ หรือ C-Segment ทั้งๆที่ตัว NEW MG5 นั้นอยู่ในกลุ่ม B-Segment
NEW MG5 มีเครื่องยนต์เบนซิน 2 รุ่นให้เลือกทั้งเครื่องยนต์ TURBO 1.5 ลิตร และรุ่นปกติ 1.5 ลิตร แบบไม่มีเทอร์โบ ทั้ง 2 เครื่องยนต์รองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ซึ่งในช่วงแรกนั้นได้ในรุ่น 1.5 ลิตรแบบไม่มีเทอร์โบก่อน ซึ่งเครื่องนี้มีกำลังอยู่ที่ 106 แรงม้าที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตรที่ 4,500 รอบระบบส่งกำลังแบบ 4 สปีด การตอบสนองทั้งเครื่องและเกียร์นั้นอาจจะไม่เป็นแบบที่คิดไว้ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากขนาดตัวถังและน้ำหนักของรถที่มีขนาดใหญ่ทำให้การตอบสนองในเรื่องของอัตราเร่งอาจจะไม่ทันอกทันใจ แต่อย่างว่าละครับรถแนวนี้เน้นการขับขี่ในเมืองแบบขับเรื่อยๆ การควบคุมบังคับเลี้ยวพวงมาลัยในความรู้สึกดีควบคุมง่ายไม่เครียด ส่วนระบบเบรกนั้นอาจจะมีแถมอยู่นิดหรือต้องใช้แรงกดแป้นเบรกเยอะขึ้นอีกหน่อยถึงจะอยู่แบบที่คนขับมั่นใจ ซึ่งอาการนี้จะไม่มีในเครื่องที่เป็น 1.5 เทอร์โบ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากขนาดของคาลิปเปอร์เบรกที่ขนาดใหญ่กว่ารุ่นธรรมดา จังหวะการเปลี่ยนเกียร์สมูทนิ่มนวลดี
แต่เมื่อย้ายมาขับเครื่องยนต์ TURBO 1.5 ลิตร ซึ่งมีพละกำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตันเมตรที่มาตั้งแต่ 2,000-4,400 รอบต่อนาทีให้การตอบสนองที่ผิดกันกับเครื่องปกติอย่างชัดเจน ขับสนุกขึ้นอัตราเร่งดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เร่งแซงแต่ละครั้งนั้นไม่ต้องลุ้นเหยียบส่งได้เลยซึ่งเครื่องยนต์ 1.5 TURBO นั้นมาพร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
ส่วนจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของรุ่นนี้ทั้งสองเครื่องยนต์นั้นคือช่วงล่างที่เซ็ตมาในแนวรถยุโรป แบบEuropean Tuning Suspension ด้านหน้าแบบ Ultra-Rigid MacPherson Strut ด้านหลังแบบ H-Type Torsion Beam คานขวางแบบ U-Shape ระบบเบรกเป็นแบบดิสก์เบรก 4 ล้อ ซึ่งช่วงล่างนั้นมั่นใจได้แม้จะผ่านทางคดเคี้ยว หรือโค้งลึกก็ผ่านได้แบบไม่ยากเย็น
ส่วนเรื่องระบบความปลอดภัยอื่นๆนั้นก็มีมาให้อย่างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน (HAS – Hill Start Assist System) ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล (TCS – Traction Control System) ระบบป้องกันล้อล็อกขณะเบรกฉุกเฉิน (ABS – Anti-lock Braking System) พร้อมระบบช่วยกระจายแรงเบรก (EBD – Electronic Brake Force Distribution) ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อเกียร์ลดต่ำอย่างฉับพลัน (MSR – Motor control Slide Retainer) ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง (CBC – Curve Brake Control) และ ระบบตรวจสอบความผิดปกติของลมยาง (ITPMS – Indirect Tire Pressure Monitor System) นอกจากนี้ ยังเพิ่มความมั่นใจกับระบบเสริมแรงเบรกอิเล็กทรอนิกส์ (EBA – Electronic Brake Assist) และ ระบบควบคุมการทรงตัว (SCS – Stability Control System)
สรุปหลังจากขับนั้นต้องบอกท่านผู้อ่านว่าจุดเด่นอยู่ที่ช่วงล่างซึ่งทั้งสองเครื่องยนต์นั้นไม่ต่างกันนอกจากระบบเบรก ส่วนหากจะเลือกว่าสนใจเจ้า NEW MG5 นั้นแนะนำว่าตัว 1.5 เทอร์โบน่าจะตัวเลือกที่น่าสนใจเพราะอัตราเร่งนั้นดีกว่าเยอะและราคานั้นแพงกว่ากันนิดเดียวเอง ไม่เชื่อก็ลองดูราคากันนะครับ
NEW MG5 1.5 ลิตร รุ่น D 649,000 บาท
NEW MG5 1.5 ลิตร รุ่น X Sunroof 699,000 บาท
NEW MG5 TURBO 1.5 ลิตร รุ่น D 719,000 บาท
NEW MG5 TURBO 1.5 ลิตร รุ่น X Sunroof 759,000 บาท
premsak@caronline.net
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…