ทดลองขับ MITSUBISHI LANCER Ex ได้สนุกแต่ยังไม่สุด
การกลับมาที่สนามบินดอนเมืองครั้งนี้ คงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเดินทางทางอากาศ เพราะผมไม่ได้ไปขึ้นเครื่องบินแต่หากจะมาลองรถที่หลายหลายคนรอคอย เฝ้ารอว่าเมื่อไรจะมา หลังจากงานเปิดตัวกับสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 15 กันยายน ที่ผ่านมา( http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=426)
จนวันนี้ 5 ตุลาคม ทางมิตซูบิชิได้เชิญให้เราไปร่วมทดลองขับแบบที่นักข่าวส่วนใหญ่เรียกว่า”การลงแขก”เพราะจำนวนรถน้อยกว่าจำนวนคน ทำให้ต้องมีการจัดคิว รอคิวกันตามลำดับก่อนหลัง ผมเดินทางไปถึงสนามบินดอนเมืองตอนประมาณเก้าโมงเช้า คนยังน้อยอยู่ครับ มาถึงก็แจ้งชื่อและสังกัดเรียบร้อยแล้วเดินเข้ามายังอาคารรับรองพิเศษ จะมีโต๊ะลงทะเบียน เพื่อจัดลำดับทดลองขับตามคิวก่อนหลัง ผมได้หมายเลข T28 ส่งใบขับขี่กับกรอกเอกสารตามแบบการทดลองครับ ว่าหากเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้นจะไม่มีการฟ้องร้องเรียกร้องใดใดกับทางบริษัท
บริเวณด้านหน้านั้นจะมีการเอารถออกมาโชว์ พร้อมทั้งมีบู๊ทของทาง ป.ต.ท. แสดงนิทรรศการเกี่ยวกับน้ำมัน E10, E20 และE85อยู่ด้วย โดยจะมีป้ายแสดงราคาน้ำมันเบนซินแสดงอยู่ด้วย
เมื่อถึงเวลาทางทีมงานก็ได้เชิญให้พวกเราเดินทางเข้าไปยังสถานีทดลองขับ แต่ก่อนจะไปถึงนั้น ต้องผ่านระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรการของการบินสากล มีการเอ็กซ์เรย์อุปกรณ์ต่างต่าง ก่อนที่เราจะขึ้นรถบัสคันใหญ่พาเราไปยังสถานีที่ทดสอบบริเวณอาคารระหว่างประเทศ
นี่ก็ไม่ครั้งแรกที่ผมมีโอกาสได้ขับรถในบริเวณสนามบิน น่าจะประมาณสามครั้งได้แล้วกระมั้ง ทำให้พอทราบกฎระเบียบและข้อห้ามต่างต่างได้เป็นอย่างดี เช่นห้ามออกนอกบริเวณที่กำหนด หรือห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาดฯลฯ
รถพาเรามาถึงบริเวณทดสอบ โดยมีการกั้นเชือก วางไพล่อนไว้แล้ว เราลงจากรถนั่งฟังบรรยายพร้อมกับชมวีทีอาร์กับรูปแบบในการทดลองขับในวันนี้
รถที่เราจะได้ขับนั้นมีสองรุ่นหกคัน โดยเป็นรุ่น 1.8 และ 2.0อย่างละสามคัน โดยรูปแบบการทดสอบนั้น ถ้าจะแยกออกมาก็จะการทดสอบในเรื่องของรัศมีวงเลี้ยว อัตราเร่ง การยึดเกาะถนน การควบคุมบังคับเลี้ยว ระยะทางในการเบรก
รออยู่ซักพัก เสียงเรียกหมายเลข T28นั้นก็ดังขึ้น ถึงเวลาที่เราจะต้องขึ้นไปขับเจ้าแลนเซอร์อีเอ็กซ์แล้วหรือนี่ อยากจะบอกท่านผู้อ่าน ผมไม่เคยคาดหวังหรือคาดคิดอะไรเลยกับรถที่กำลังขึ้นไปนั่ง ผมทิ้งความรู้สึกต่างต่างที่เคยมีมาก่อนการขึ้นไปขับ ต้องตั้งสติและสมาธิเพื่อจะจับอาการ ความรู้สึกต่างต่างของรถให้ได้มากที่สุด แม้ระยะเวลาที่ได้ขับนั้นจะมีไม่มากแต่พอที่รับรู้ สัมผัสอาการของรถได้
ผมขึ้นไปนั่งรถหมายเลข 3 เป็นรุ่น 1.8 GLS-Ltd ปรับตำแหน่งที่นั่งพร้อมคาดเข็มขัดนิรภัย รอสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยรถ พร้อมแล้วก็ไปกันเลย โดยในรถนั้นมีเจ้าหน้าที่ควบคุมนั่งไปด้วยกัน พร้อมผู้โดยสารกิตติมศักดิ์สองท่านคุณโอ สารฑูล และคุณพิสันต์ จากโพสต์ทูเดย์ จากจุดสตาร์ทวิ่งออกมายังการทดสอบวงเลี้ยวในรัศมีห้าเมตร ขับตรงเข้าแล้วขับวนไพล่อนโดยไม่ต้องตีวง ให้หักเลี้ยวเลย รัศมีในการกลับรถ 5 เมตรนั้นผ่านไปได้ ออกจากรัศมีวงเลี้ยวนั้น จะมีโค้ง แล้วเป็นทางตรง รอบแรกผมทำความคุ้นเคยกับสนามก่อน ขับเรื่อยแต่ไม่ถึงกับช้ามาก ออกจากโค้งเป็นทางตรงยาวมีช่วงให้ลองกดคันเร่งเล็กน้อย กดจนมิดเสียงเครื่องร้องครางขึ้น รอบเครื่องขึ้นไปรอก่อนความเร็วค่อยตามมาในแบบของเกียร์cvtขับต่อไป มัวแต่คุยกันสมาธิหลุด ขับหลงซะงั้น ในช่วงสลาลอมไม่ได้ดูทางเลย ไม่เป็นไร เข้ากลับมาในแทร็คใหม่ขับต่อไปมาถึงช่วงทดสอบเบรก แป้นเบรกไม่กินแรงเท่าไร ระยะเบรกนั้นทำได้ดีมากทีเดียว ระยะเบรกถือว่าสั้นมาก ออกจากจุดเบรกเลี้ยวกลับเข้ามาในจุดสตาร์ท เป็นอันหมดรอบแรก
รอบสองเมื่อคุ้นเคยกับแลนเซอร์กับทางมากขึ้น เราก็เริ่มเพิ่มความเร็วเข้าไป อัตราเร่งนั้นผมไม่จับเวลาว่าเท่าไร เพราะไม่มีเครื่องมืออะไร จะอาศัยนาฬิกาข้อมือก็ไม่แม่นพอ ใช้ความรู้สึกล้วนล้วน แม้จะไม่ดีนักแต่ทำไงได้ละครับท่านผู้อ่าน เวลาอยู่กับรถนั้นก็มีไม่มาก คนเยอะรถน้อย จะมาติดอุปกรณ์ในสถานการณ์นี้มีหวังโดนด่าแน่ อิอิ อัตราเร่งในแลนเซอร์อีเอ็กซ์1.8นั้น สำหรับผมไม่ค่อยพอใจเท่าไร เนื่องจากเป็นคนเท้าขวาหนัก แต่เอาเถอะ อย่างไรแล้วถ้าจะซื้อนั้นคงต้องไปลองเองว่าพอใจรึเปล่า การเข้าโค้งต่างต่างนั้นทำได้เยี่ยมครับ ให้ความรู้สึกมั่นใจได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าใช้ความเร็วเกินนั้นหักหัวเข้าแต่ท้ายจะไม่เข้าเอานะครับ การควบคุมบังคับรถนั้นน้ำหนักพวงมาลัยใช้ได้ดีทีเดียว ไม่หนักไม่เบากำลังดีเลย การหักพวงมาลัยในการเข้าสลาลอมนั้นกระชับทีเดียว การบาลานซ์น้ำหนักรถทำให้ควบคุมได้ง่ายขึ้น ในช่วงออกจากสลาลอมนั้นเป็นทางบังคับเลี้ยวเข้าโค้งแคบ รถยังทรงตัวได้เป็นอย่างดี การเข้าโค้งถ้าเข้าแรงไปหรือใช้ความเร็วเกินไปนั้น เสียงยางจะเป็นตัวเตือนเราได้เป็นอย่างดี หลุดมาจนเกือบถึงการทดสอบเบรก ใส่มาเต็มที่ระบบเบรก ที่มีทั้ง ABS EBD พร้อม BAทำงานพร้อมกัน แสดงประสิทธิภาพของเบรกอย่างเต็มที่ ระยะเบรกได้ใจผมมากทีเดียว เป็นอันจบรอบสำหรับเจ้าแลนเซอร์อีเอ็กซ์ 1.8
เปลี่ยนคันมาเป็นแลนเซอร์อีเอ็กซ์ 2.0พร้อมแล้วเริ่มเลยครับ สิ่งแรกที่เห็นว่าแตกต่างจาก1.8นั้นคือเกียร์ Paddle shiftพร้อมที่ควบคุมอุปกรณ์ต่างต่างที่พวงมาลัย การขับรอบแรกถือเป็นออร์เดิร์ฟก่อน ความรู้สึกถึงช่วงล่างที่ยึดเกาะดีมากขึ้นส่วนนึงน่าจะมาจากขนาดของยางที่ใหญ่ขึ้นจาก 205/60R16 ในรุ่น 1.8 เป็น 215/45R18 ในรุ่น 2.0 พวงมาลัยนั้นรู้สึกหนักขึ้นจากเดิมเล็กน้อย รัศมีวงเลี้ยว 5 เมตรนั้นทำได้เช่นเดียวกัน โดยไม่ต้องตีวงเลี้ยวช่วยแต่อย่างใด อัตราเร่งนั้นทำได้ดีกว่า 1.8 อยู่พอสมควร แต่ยังเหมือนมีการรอรอบอยู่แต่น้อยกว่า1.8 การเข้าโค้งและการทรงตัวมั่นใจได้ การเข้าแรงแรงเหมือนจะมีอาการดึงพวงมาลัยกลับคอยช่วยอยู่ การขับขี่แบบสลาลอมทำได้อย่างสบาย ลองเบรกกันอีกครั้งทำได้อย่างประทับใจ รอบสุดท้ายทิ้งทวนใช้ความเร็วมากขึ้น มีการเติมคันเร่งเพิ่มการเข้าโค้งนั้นและสลาลอมใช้ความเร็วมากกว่า1.8ได้ ช่วงล่างยังหนึบได้ใจอยู่ แต่อัตราเร่งยังไม่ประทับใจเท่าไร ขับมาจนเพลินแต่ก็ไม่ลืมหยุดทดสอบเบรก คราวนี้เป็นแบบเบรกฉุกเฉินทันทีทันใด ก็ยังทำได้เป็นอย่างดี นำรถเข้ามาจอดรอท่านต่อไปมาขับต่อ เป็นอันจบการทดลองขับครับ
ไม่อยากสรุปครับว่าดีหรือไม่ คุ้มหรือเปล่า แค่อยากจะเล่าประสบการณ์แรกพอ หรือเป็น First Impression เท่านั้น เพราะระยะทางประมาณ 1.2กิโลเมตรกับเวลาประมาณ 2-3นาทีต่อรอบนั้น คงบอกอะไรไม่ได้มาก แม้ว่าจะอยากขับต่อก็ไม่สามารถทำได้ เพราะพอขึ้นมายังทำแบบสอบถามไม่เสร็จก็เรียกขึ้นรถซะแล้ว
เก็บตกช่วงท้ายการเปลี่ยนเกียร์นั้นแทบไม่รู้สึกเพราะเป็นระบบซีวีที วัสดุหรือการประกอบเป็นอย่างไรไม่รู้ไม่ได้ดูอย่างละเอียด รูปทรงการออกแบบรถนั้นสวยดีครับ ส่วนใครจะว่าอย่างไร แล้วแต่รสนิยม เกียร์เป็น INVECS-III CVT อัตโนมัติ 6จังหวะ พร้อม Spot Mode ดิสก์เบรก 4ล้อทุกรุ่น โดยรถที่ทดสอบนั้นในรุ่น 1.8ได้เติมน้ำมัน E85 ส่วน 2.0 นั้นเติมเบนซิน95ครับ ระบบเบรกและช่วงล่างเยี่ยมครับ รถทั้งสองรุ่นนี้ขับสนุกแต่ยังไม่ถึงขีดสุด
**************************************************************************
เรื่อง: เปรมศักดิ์ เพียรพานิชย์
ภาพ: สารฑูล สักการเวช
ภาพ: บางส่วนจากมิตซู
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…