Categories: รถใหม่

ทดลองขับ MINI Cooper / Cooper-S / Clubman ใหม่ : โกคาร์ท ไฮโซ กิน 16 กิโลฯ / ลิตร!? By : J!MMY



อย่างที่เคยบอกไว้
พื้นที่เบาะนั่งด้านหลังนั้น
มันก็พอกันกับ รถยนต์ พรีเมียมคอมแพกต์ทั่วๆไป ที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
คือ พอนั่งได้ มีพื้นที่ที่รับได้ แต่จะให้นั่งสบาย หรือมีเบาะหลังนั่งได้เต็มก้น
ก็คงจะต้องทำใจกันเอาไว้ก่อน เ็ป็นเช่นนี้ ทั้ง IS250 ซีรีส์ 3

และรวมเลยเถิดไปถึงรถขับเคลื่อนล้อหน้า หรือ สี่ล้อ อย่าง เอาดี้ A4
ตัวเก่านั่นก็ด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม เบาะนั่งด้านหลัง แม้จะโดนซุ้มล้อคู่หลัง
เบียดเข้ามาบ้าง เหมือนกับ ซีรีส์ 3
แต่ด้วยการเลือกใช้หนังชั้นดี การออกแบบที่เน้นความสบายมากขึ้น
ทำให้เบาะนั่งด้านหลังของ IS250 นั่งสบายกว่า ซีรีส์ 3 E90 นิดหน่อย
นั่นรวมถึงพื้นที่วางขา ที่มีมาให้พอๆกัน



พนักพิงตรงกลาง ดึงลงมา เป็นที่วางแขน ที่วางแก้วน้ำ 2 ตำแหน่ง ซ่อนไว้
พร้อมฝาปิดช่องเก็บของขนาดเล็ก
อีกทั้งยังสามารถเปิดทะลุไปยังห้องเก็บสัมภาระด้านหลังได้

มีช่องแอร์ สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง และที่เขี่ยบุหรี่มาให้



ห้องเก็บสัมภาระด้านหลัง
มีขนาดใหญ่พอสมควร

แต่เสียดาย ไม่มีโอกาสลงไปนอนวัดดูว่า มันกว้างขวางและลึกพอหรือไม่

เมื่อก้าวขึ้นไปนั่ง คุณจะพบสวิชต์ต่างๆ มากมาย อาจจะไม่ถึงกับน่าหวาดกลัวอย่างใน LS 460 L
แต่ก็แทบจะใกล้เคียงกัน นอกเหนือจากสวิชต์กระจกหน้าต่างไฟฟ้า แบบ One-Touch ทั้ง 4 บาน
พร้อมระบบดีดกลับ เมื่อมีสิ่งกีดขวาง และสวิชต์จำตำแหน่งเบาะและกระจกมองข้าง ที่แผงประตูแล้ว
มาดูด้านขวา ของพวงมาลัยสักหน่อย

ไล่จากซ้าย ไปขวา เป็นสวิชต์ปรับระดับแสงสว่างบนชุดมาตรวัด
สวิชต์ ปรับเปลี่ยนการทำงานของระบบต่างๆในรถ กดซ้าย-ขวา แล้วกด OK สั่งการ บนปุ่มวงกลมตรงกลาง
สวิชต์ ของระบบฉีดน้ำล้างไฟหน้า สวิชต์ ม่านไฟฟ้า สำหรับกระจกบังลมหลัง
ถัดลงไป เป็นสวิชต์ เปิด ฝาถังน้ำมัน และฝากระโปรงหลัง ด้วยไฟฟ้า



และถ้าเป็นยามค่ำคืน
นอกจากภายในรถจะเรืองแสงสีขาวสวยแล้ว
คุณยังจะเห็น Scuff Plate แบบมีโลโก้ LEXUS เรืองแสงได้



แผงหน้าปัด ดูเข้าจริงแล้ว แทบไม่ได้ต่างอะไรจากรุ่นเดิมเลย

ยกเว้นแค่ลายไม้เมเปิลเท่านั้น นั่นละ



สังเกตในรูปนี้ จะพบ สวิชต์ เลือกโหมดการทำงานของเกียร์อัตโนมัติ Super ECT และสวิชต์ ปิด-เปิด ระบบควบคุมเสถียรภาพ

การติดเครื่องยนต์ ก็เหมือนเดิม และเหมือนกับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ
ของโตโยต้า หลายๆรุ่น ตั้งแต่ Yaris ไปจนถึง LS 460L
คือใช้ปุ่มกด ถ้าไฟสีส้มติด แสดงว่า มีเพียงอุปกรณ์ในรถเท่านั้นที่ทำงาน
หากต้องการติดเครื่องยนต์ ต้องเหยียบเบรก จนไฟสีเขียวที่ปุ่มสว่างขึ้นมา
แล้วจึงกดปุ่มลงไปอีกครั้ง

บอกไว้นิดนึงว่า ระหว่างขับรถ ถ้าคุณ กดสวิชต์นี้ ค้างไว้ 3 วินาที เครื่องยนต์จะดับ
ดังนั้น ระมัดระวังกันนิดนึงนะครับ ผมไมได้ทดลองเองหรอก คู่มือผู้ใช้รถ เขาเตือนเอาไว้



ชุดมาตรวัด จะกวาดไปจนสุด 1 รอบ…



และเมื่อติดเครื่องยนต์
ชุดมาตรวัด จะกวาดไปจนสุด 1 รอบ…



ก่อนจะติดสว่างขึ้นมา
จอแสดงผล Multi Information System LCD
จะแสดงข้อมูล ทั้งระบบ เซ็นเซอร์กะระยะถอยหลังเข้าจอด
เปิด-ปิด ระบบ ไฟหน้า AFS ระบบ สั่ง กาง และพับกระจกมองข้างอัตโนมัติ

การเปลี่ยนอ่านข้อมูล กดปุ่ม DISP บนพวงมาลัย
และ สวิชต์ ซ้ายขวา พร้อมวงกลม OK ที่ฝั่งขวา ติดกับสวิชต์ ปรับระดับแสงสว่างชุดมาตรวัด



จุดเด่นของชุดมาตรวัดนี้ก็คือ จะมีแถบวงกลม แสดงสีเหลืองอำพันขึ้นมา หากรอบเครื่องยนต์ เกินกว่า 5,000 รอบ/นาที
และเมื่อเกินเข้าสู่ขีดแดงRed Line ก็จะเปลี่ยนสีไฟเตือนเป็น สีแดง

ขณะเดียวกัน ในมาตรวัดความเร็ว ก็เป็นเช่นกัน
หากความเร็ว เกิน 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็จะเตือนเป็นสีเหลืองอำพัน
แต่ถ้าเกิน 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงเป็นต้นไป ก็จะเตือนเป็นสีแดง

อย่างที่เห็นในรูป ซึ่งเป็นท็อปสปีดของรถรุ่นนี้

จอ LCD บนมาตรวัด ยังแสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทั้งค่าเฉลี่ย
และค่าจริงในขณะขับขี่สดๆ ได้อีกด้วย



ระบบปรับอากาศ เป็นแบบ ดิจิตอลแยกฝั่ง ซ้าย-ขวา
จาก DENSO เย็นเร็ว ตามสไตล์ โตโยต้า

ชุดเครื่องเสียง ในรุ่นปกติ เป็นแบบ Lexus Premium Sound System 13 ลำโพง
แต่ในรถคันทดลองขับ เป็นรุ่นท็อป จึงมีชุดเครื่องเสียง Mark Levinson Surround Sound System
ประกอบด้วยลำโพงมากถึง 14 ชิ้น พร้อมเครื่องเล่น CD-MP3 มาให้
มีชุดควบคุมเครื่องเสียง ด้วยสวิชต์บนพวงมาลัยฝั่งซ้าย

มาวันนี้ การันตีอีกครั้งว่า
คุณภาพเสียง เหนือกว่า McIntosh นิดนึงครับ
ระบบ Surround นั้น แยกมิติเสียง ตามที่แผ่น CD ต้นฉบับ เขา Mixed เอาไว้เลย!
เช่นถ้ามี Effect แยกซ้าย-ขวา หรือไปทางหน้า-หลัง เสียงก็จะออกมาตามนั้นทุกประการ
เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีแก่หูของคุณ

เครื่องเสียงชุดเดียวกัน
ฟังในเวลาต่างกัน
บางที ก็ทำให้ความคิดของคนเรา
คนเดียวกัน แตกต่างกันไปได้ฉันใด

รถยนต์เองก็เช่นกัน รถรุ่นเดียวกัน
ขับในเวลาที่ต่าง ถ้าจำฟีลลิงเดิมไม่ได้
บางที ก็อาจจะเกิดความรู้สึกนึกคิดกับรถคันนั้น แตกต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นดี หรือร้าย

แต่กับ IS 250 โชคดีที่ผมจำความรู้สึกเดิมได้อยู่
และยิ่งมีบทความรีวิวเก่าที่ผมทำเอาไว้ เป็นเครื่องเตือนความทรงจำ
ก็ยิ่งทำให้มองเห็นการเปรียบเทียบได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

แต่แปลกใจนิดนึงว่า
ยังไม่มีจอมอนิเตอร์ พร้อมระบบนำร่องผ่านดาวเทียมมาให้อีกเหรอ?
ได้เวลาจะต้องมีมาให้แล้วนะ ระดับราคาสูงขนาดนี้
ถ้าไม่มีเลย ดู 320d กับ C230 นั่นปะไร เขามีมาให้แล้ว
เล็กซัส ก็ควรจะมีได้แล้วซะที



ชุดคอนโซลกลาง เหมือนกับรุ่นเดิมเป๊ะ
กล่องเก็บของ ที่มีฝาปิด เป็นที่วางแขน ซึ่งวางได้อย่างดีมาก ไม่แพ้ LS 460 L และ Camry ใหม่นั้น
แทบจะไม่มีประโยชน์อะไรกับผม การวางกล่อง CD เพียงแค่ 2-3 กล่องลงไป
อาจทำให้การเลื่อนปิด-ฝา เกิดการขัดตัวได้ง่ายดาย

ช่องวางแก้ว ยังคง แยกชิ้นกัน โดยช่องหลัก โผล่ให้เราเห็น เป็นฝาปิด ถัดจากคันเกียร์ถอยร่นมาทางด้านหลัง
ส่วน ช่องวางแก้ว อีกตำแหน่ง ยังคงถูกซ่อนไว้ ใต้ฝาปิดคอนโซลกลาง อันเป็นที่วางแขนในตัวนั่นละ
และมันยังคงมีแสงไฟส่องสว่าง ให้เห็นความใสของน้ำแข็งได้ตามเดิม

ในตำแหน่งเดิมนั้น ยังคงมีช่องเสียบ AUX สำหรับเครื่องเล่น MP3 หรือ iPod
และช่องเสียบอุปกรณ์ไฟฟ้า ขนาด 12V /120 W มาให้ตามเคย

ลิ้นชักใส่ของ มีขนาดเท่าเดิม
พอคราวนี้ มีคู่มือผู้ใช้รถมาให้ หลายเล่มเหลือเกิน
ก็เลยได้นั่งเปิดอ่านกันอย่างเพลิดเพลิน
และได้เห็นความจุที่แท้จริง ว่าพอจะใส่เอกสารต่างๆได้ในระดับหนึ่ง
หรืออาจจะเก็บปืนพกสักกระบอก ก็พอได้



ไฟอ่านแผนที่ และไฟส่องสว่างในรถ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง
แผงบังแดด มีไฟสำหรับแต่งหน้า ตอนกลางคืน
ซึ่งฝังตัวอยู่บนเพดานหลังา แทนที่จะรวมอยู่ในชุดเดียวกับแผงบังแดด

นอกเหนือจากทั้งหมดที่กล่าวมานี้ ยังมีออพชันรายการหนึ่ง ซึ่งผมเคยเขียนเอาไว้
ในรีวิวรถรุ่นเดิมว่า ถ้าต้องเพิ่มเงินอีกถึง 1 แสนบาท เพื่อให้มีมันติดมากับรถ
ดูจะไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลเท่าไหร่

แต่มาวันนี้ พอได้เห็นออพชันชิ้นนี้ ติดตั้งมากับรถคันทดลองขับนี้แล้ว

ผมเริ่มลังเลใจแล้วว่า จะขอเปลี่ยนคำพูดดีไหม?
ถ้าคุณจะซื้อ IS 250 จริง สิ่งที่ผมขอแนะนำเลยว่า คุณควรพิจารณาดูด้วย

คือ ซันรูฟ!
แม้ว่ามันจะยังคงใช้วิธีการเปิด แบบสวิชต์มือบิดหมุน ตามต้องการ
อันดูคล้ายคลึงกับรถรุ่นโบราณกาลนานมาก็ตามแต่

เพราะอะไร?

ก็เพราะว่ามันจะทำให้บรรยากาศภายในห้องโดยสาร โปร่งขึ้นผิดหูผิดตาหนะสิ!

การที่รถรุ่นเดิม ซึ่งผมเคยลองขับไปนั้น ไม่มีซันรูฟ
มันสร้างความน่าอึดอัดให้กับการเดินทางอยู่ในรถคันนี้เอาเรื่องอยู่บ้าง

เนื่องจาก การออกแบบให้แนวกระจกรอบคัน บีบเล็ก แบบรถยุโรปอย่างเอาดี้ มากไปหน่อย
จริงอยู่ว่า มันเพิ่มความสปอร์ต และเสริมภาพลักษณ์ของคนที่นั่งขับอยู่ในรถ
ให้สายตาประชาชีภายนอกได้มองเห็น และทึ่งในความเท่ของมัน
ทว่า หากนั่งนานๆ บางคนที่ไม่คุ้นชิน ก็อาจจะรู้สึกอึดอัดได้บ้างเหมือนกัน

กระนั้น การจะต้องจ่ายงินเพิ่มขึ้นอีกถึง 1 แสนบาท แลกมากับ
อิสระภาพจากหลังคาที่มีช่องเปิดรับลมจากภายนอกรถได้ เนี่ยนะ?

เฮ้อ บางที ผู้ผลิตรถยนต์ ก็มักสร้างความน่ากลุ้มใจให้กับลูกค้า
อย่างน่าประหลาด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องผาดๆผิวๆ เช่นนี้

ถ้าซันรูฟชุดที่เห็น มีค่าตัวที่ต้องจ่ายเพิ่ม สัก 5-6 หมื่นบาท
ก็ยังพอจะเร้าการตัดสินใจได้ง่ายขึ้นกว่านี้อีกอักโข
แต่พอมันแพงตั้ง 1 แสนบาท ต่อให้จะรวยมาจากไหน ถ้าเป็นคนรู้จักค่าของเงิน
ก็คงจะคว้า เซียงเพียวอิ๊ว ตราอาแป๊ะยิ้มเยาะตอแหลข้างกล่อง ขึ้นมาดม
ก่อนจะเซ็นเช็คสั่งจองนั่นละ



ทัศนวิสัยก็ยังคงเหมือนเดิม

เพียงแต่ มีข้อสังเกตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

หลังคาที่โค้งงุ้มลงมา ทำให้การมองเห็นด้านหน้า ดูคล้ายๆกับ รถสปอร์ต 350Z
อยู่บ้าง

กระจกมองข้าง มีขนาดใหญ่กว่า ซีรีส์ 3 และ ซี-คลาส
แถมยังมีมุมเยื้องให้เห็นรถที่มาจากด้านข้าง

แถมมีระบบตัดแสงอัตโนมัติ มาให้ในยามค่ำคืน
กระจกจะมีสีเข้มขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงที่พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว
ลดการสะท้อนแสงไฟหน้าจากรถคันที่ตามมา



แต่ ด้านข้าง ก็ยังคงเหมือนเดิม

กระจกจะดูเหมือนหลอกตานิดๆ จนต้องใช้วิธีชำเลืองเหลียวมองไปข้างหลังเองในบางครั้ง



แต่ทัศนวิสัยด้านหลังก็ต้องทำใจอยู่สักหน่อย
เวลาจะเปลี่ยนเลน ออกสู่ทางคู่ขนาน บางทีเชื่อกระจกมองหลังอย่างเดียว
ไม่พอ ต้องหันไปมองดูรถจากทางด้านหลังควบคู่กันไปด้วย



********** รายละเอียดทางวิศวกรรม และการทดลองขับ **********

เครื่องยนต์ แม้ว่าในต่างประเทศมีทางเลือกมากถึง 4 แบบ
ตามแต่ละตลาดที่ต่างกันไป ทั้ง IS 350 IS 300 สำหรับตลาดเอเซียบางแห่ง
และ IS220d เครื่องยนต์ ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ สำหรับตลาดยุโรปโดยเฉพาะ

แต่สำหรับเวอร์ชันไทย
มันก็ยังคงเหมือนกับรุ่นที่แล้วนั่นละ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง

มันยังคงเป็น เครื่องยนต์ บล็อก วี6 ตระกูล GR เช่นเดิมนั่นละ

รหัสของมันก็คือ 4GR-FSE
บล็อก V6 สูบ DOHC 24 วาล์ว 2,499 ซีซี
กระบอกสูบ x ช่วงชัก อยู่ที่ 83.0 x 77.0 มิลลิเมตร
อัตราส่วนกำลังอัด 12.0 : 1 จุดระเบิดแบบ ไดเร็กต์อินเจ็กชัน D-4
พร้อมระบบแปรผันวาล์วแบบ Dual VVT-i ซึ่งแตกต่างจากระบบ VVT-i เดิม
ตรงที่การเพิ่มระบบแปรผันวาล์ว ในฝั่งไอเสีย เพิ่มเข้ามาจากที่มีเฉพาะฝั่งไอดีอย่างเดียว

เวอร์ชันญี่ปุ่น ให้ตัวเลขกำลังสูงสุดอยู่ที่ 215 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
แต่เวอร์ชันไทย ถูกตอนม้าลง 3 ตัวด้วยเหตุผลในด้านมาตรฐานการควบคุมมลพิษ
ของบ้านเรา ที่ใช้มาตรฐานยุโรป ซึ่งสูงกว่าทางฝั่งญี่ปุ่น
ตัวเลขกำลังสูงสุดของเวอร์ชันไทยจึงลดลงเหลือ
212 แรงม้า (PS) ที่ 6,400 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด 260 นิวตันเมตร หรือ 26.49 หรือ 26.5 กก.-ม.ที่ 3,800 รอบ/นาที



เชื่อมเข้ากับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง
ด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ Super ECT
พร้อมโหมด บวก-ลบ ให้ผู้ขับขี่เล่นเกียร์ได้ จาก AISIN ซึ่งทำงานได้นุ่มนวล
เปลี่ยนเกียร์ได้ดี ไม่กระตุกกระชาก มีปุ่ม ECT เพื่อเปลี่ยนโหมดการทำงานของเกียร์
หากกดไปที่ PWR หรือ Power หมายความว่า สั่งให้เกียร์
เปลี่ยนตำแหน่งให้สูงขึ้นช้ากว่าเดิมนิดหน่อย จากเดิมที่ตัดเปลี่ยนเกียร์ที่ 6,400 รอบ/นาที
เพิ่มเป็น 6,700 รอบ/นาที หรือลากเข้าไปในเขตแดน Red Line บนมาตรวัดรอบ
เพื่อให้ผู้ขับขี่ลากรอบ เรียกพละกำลังออกมาได้นานขึ้น

ส่วน โหมด SNOW มีไว้ใช้สำหรับการออกตัวบนทางลื่น ด้วยเกียร์ 3
ควรเปิดระบบ TRC แทร็กชันคอนโทรล ทำงานไปด้วย

และมีแป้น Paddle Shift ติดตั้งมาให้หลังพวงมาลัย
เพื่อเอาใจนักขับรถที่คุ้นชินกับการขับรถในเกมเพลย์สเตชันเป็นหลัก
ฝั่งซ้าย เป็น – เปลี่ยนเกียร์ลงต่ำ ฝั่งขวาเป็น + เปลี่ยนเกียร์สูงขึ้น

อัตราทดของเวอร์ชันไทยนั้น เหมือนกันกับ ชุดเกียร์ของเวอร์ชันญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ว่า ไม่น่าแตกต่างกัน
เพราะสำหรับรถยนต์ที่จะต้องทำตลาดทั่วโลกแบบนี้แล้ว
รายละเอียดทางเทคนิคนั้น หากสามารถใช้ร่วมกันได้มากเท่าใด
ยิ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในแทบจะทุกด้าน

เกียร์ 1………………………3.538
เกียร์ 2………………………2.060
เกียร์ 3………………………1.404
เกียร์ 4………………………1.000
เกียร์ 5………………………0.713
เกียร์ 6………………………0.582
เกียร์ถอยหลัง…………….3.168
อัตราทดเฟืองท้าย………3.909

บอกไว้เป็นข้อมูลคร่าวๆสักหน่อยว่า
นำมันเกียร์ คู่มือระบุให้ใช้ Toyota Genuine ATF WS
การถ่ายและเติมนั้น ตัวเลขอ้างอิงอยู่ที่ 1.5 ลิตร
—————————————————

มาดูตัวเลขการทดลองดีกว่าครับ
มาดูกันว่า หากเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังชุดนี้ ต้องฉุดลากตัวรถที่มีน้ำหนักตัวตั้งแต่ 1,560 – 1,625 กิโลกรัม
หรือ น้ำหนักบรรทุกรวม 2,055 กิโลกรัม ตัวเลขจะออกมาเป็นเช่นไร

เราใช้วิธีเดิมในการทดลอง
คือ ใช้เวลากลางคืน เปิดแอร์ และนั่ง 2 คน
คนที่มาช่วย ก็คือ น้องกล้วย (Login น้องชายคนเล็ก pantip.com ห้องรัชดา) น้ำหนักตัว 48 กิโลกรัม รวมคนขับแล้ว ประมาณ 140 กิโลกรัม

ตัวเลขที่ได้ เมื่อเทียบกับคู่แข่ง มีดังนี้



อัตราเร่งจากเครื่องยนต์ที่คุ้นเคย ก็ยังคงเหมือนเดิม
ตัวเลขดูเหมือนจะช้ากว่าเดิม แต่ก็แค่ 0.05 วินาที
ซึ่งตัวเลขแบบนี้ หากเป็นในสนามแข่ง มันอาจจะช้าเกินไป
แต่สำหรับรถบ้านธรรมดา ที่ไม่ได้ไปแข่งกับใคร
ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ยอมรับได้

มันไม่ได้มากมายขนาด 1 วินาที ซึ่งผมคงจะยอมรับไม่ได้แน่ๆถ้าเป็นเช่นนั้น

ทันทีที่กดคันเร่งออกตัว คุณจะสัมผัสได้ถึงแรงดึง
แบบกระชากนิดๆ ตอนออกตัว แต่หลังจากนั้น
พละกำลังจากเครื่องยนต์ จะพาให้รถทะยานไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
และฉับไว ไม่มีสะดุด ยิ่งได้เกียร์ลูกนี้ ซึ่งเปลี่ยนเกียร์ได้อย่างนุ่มนวลมากๆ
แทบไม่มีอาการกระตุกกระชากให้เห็นเลยตลอดเวลาที่รถคันนี้มาใช้ชีวิตกับผม
(ต่อให้คุณเปลี่ยนเกียร์ จาก 6 ลง 4 ในทันที ตัวรถก็ยังมีอาการหน้าทิ่มให้พบน้อยมากๆๆๆ)
ยิ่งทำให้คุณสนุกสนานในการเร่งแซงชาวบ้านชาวช่องมากขึ้น

ความเร็วสูงสุดในแต่ละเกียร์ เหมือนเดิมเป๊ะ แทบทุกประการ
ส่วนตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมานิดเดียว ในรถคันใหม่นั้น
ผมไม่ถือว่าเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างแท้จริงนัก
เพราะเราต้องไม่ลืมเรื่องของ ความเพี้ยนจากมาตรวัด
ซึ่งรถแทบทุกคันก็มักจะมีความเพี้ยนเหลื่อมล้ำกันออกไปเล็กๆน้อยๆ

ตัวเลขที่โตโยต้า ระบุเอาไว้ในคู่มือผู้ใช้รถ อยู่ที่ 225 กิโลเมตร/ชั่วโมง



ระบบกันสะเทือนหน้าเป็นแบบปีกนกคู่ (ดับเบิลวิชโบน)
ส่วน ด้านหลังเป็นแบบมัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ใช้ช็อกอัพแก้ส แบบ Monotube ทั้ง 4 ล้อ
ชิ้นส่วนปีกนกต่างๆทำจากอะลูมีเนียม เพื่อช่วยลดน้ำหนัก ถ่วงใต้ช่วงล่าง
หรือ Unsprung Weight นอกจากนี้ ยังออกแบบปรับปรุง มุ่งเน้นให้
มีการควบคุมมุมล้อ ที่ละเอียดและเที่ยงตรงมากขึ้น

ไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือเปล่า ที่ผมเพิ่งจะคืน BMW 325i Convertible
ไปหมาดๆ เมื่อสัปดาห์ก่อน แล้วจึงรับ IS 250 มาอยู่ด้วยในสัปดาห์ที่แล้ว

เพราะนั่นทำให้ผมได้พบข้อดีอยู่เรื่องนึง ของระบบกันสะเทือน IS 250

เมื่อครั้งที่ทำรีวิวของ รถรุ่นเดิมนั้น
ผมเคยเขียนถึงเอาไว้ว่า

“ให้ความนุ่มนวลกว่า ซีรีส์ 3 เมื่อคุณต้องขับรถในเมือง ใช้ความเร็วต่ำ และจำต้องขับผ่านเนินลูกระนาดบ่อยๆ…”

“แต่เมื่อใดที่คุณอยู่บนทางด่วน หรือกำลังเดินทางออกต่างจังหวัด ระบบกันสะเทือนที่นุ่มกำลังดีนี่แหละ
ที่จะช่วยให้คุณไม่รู้สึกเหนื่อยมากเวลาขับรถเป็นเวลานานๆ แถมยังได้ความมั่นใจในขณะเข้าโค้งในแบบที่
GS300 รุ่นพี่ยังทำได้ในระดับรองลงมานิดนึงเสียด้วยซ้ำ เมื่อผสานกับอัตราเร่งจากเครื่องยนต์ วี6 แล้ว
เพียงเท่านี้ ความสนุกในการขับขี่แบบกำลังดี ก็จะตามมา”

ครั้งนี้ ผมก็ยังคงยืนยันความคิดเดิม อยู่ดี ไม่มีเปลี่ยนไป
กับรถรุ่นใหม่ ที่สดกว่าคันนี้

แต่จะเสริมให้อีกนิดนึงว่า

การเข้าโค้งยาวๆ ที่ความเร็ว 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงนั้น
ก็ยังนิ่งสนิท และสงบ ไม่ก่อให้เกิดความหวาดเสียวใดๆ

เฮ้ๆ ถ้าพูดถึงความนิ่งแล้ว เทียบชั้น ซีรีส์ 3 ได้เลยนี่นา ในประเด็นนี้

แต่ต้องบอกกันก่อนว่า ถ้าคุณชอบรถที่ดิบๆ กระด้างๆ
ซีรีส์ 3 น่าจะตอบโจทย์คุณได้ดีกว่า

แต่ถ้าชอบรถที่นุ่มๆหน่อย บรรยากาศกำลังดี คุณภาพการประกอบ
ระดับขั้นว่า ประณีต….IS 250 คือคำตอบ

แต่ คงต้องบอกไว้ก่อนว่า
ช่วงล่าง มันจะนุ่มไปสักหน่อย สำรับคนที่ชอบรถดิบๆ
ทางแก้ปัญหา ก็คงจะต้องพึ่งพา ช็อกอัพ และสปริงที่แข็งขึ้นกว่านี้อีกนิด

สรุปแล้ว ในด้านเครื่องยนต์ ระบบกันสะเทือน ไม่มีอะไรแตกต่างไปจากรุ่นก่อนที่ทำตลาดอยู่แล้ว

แต่สิ่งที่เพิ่มเติมเข้ามา สำหรับ IS 250 ทั้ง 3 รุ่นย่อย นั่นคือ ระบบควบคุมการทรงตัวที่เรียกว่า
VDIM (VEHICLE DYNAMIC INTEGRATED MANAGEMENT)
ระบบนี้ การทำงานก็คือ มันจะคอยมอนิเตอร์ จากข้อมูลที่เซ็นเซอร์ต่างๆ วัดค่ามา
แล้วคอยคาดการณ์ล่วงหน้าว่า สมควรจะเริ่มสั่งการให้ระบบต่างๆ ช่วยเหลือผู้ขับขี่ได้หรือยัง

ถ้าพบว่า รถเริ่มหมุน หรือไถล ก็จะสั่งานโดยอัตโนมัติเพื่อควบคุมเบรก และลิ้นปีกผีเสื้อ
ผ่านระบบควบคุมเสถียรภาพ VSC ระบบควบคุมการจ่ายแรงดันน้ำมันเบรก
ECB (ELECTRONIC CONTROL BREAK SYSTEM) ระบบป้องกันล้อล็อก ABS
ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบควบคุมไม่ให้ล้อหมุนฟรี TRC แทร็กชันคอนโทรล เข้าไว้ด้วยกัน

แต่ในเรื่องการตอบสนองของพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมเพาเวอร์ไฮโดรลิค ควบคุมด้วยปั้มไฟฟ้า EPS นี่แหละ
คือสิ่งที่ผมสนใจ ว่ามีการปรับปรุงแก้ไขไปจากเดิมหรือไม่ เพราะคราวก่อนนั้น ผมเขียนเอาไว้ ว่า

“สิ่งที่ผมขอติติงสักหน่อย ก็เห็นจะได้แก่พวงมาลัย แร็คแอนด์พีเนียน พร้อมระบบ EPS (Electronic Power Steering)
อันเป็นระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ไปปั่น ตัวปั้มเพาเวอร์แบบไฮโดรลิก แปรผันความหนืดและน้ำหนักพวงมาลัย
ตามความเร็วรอบเครื่องยนต์ อัตราทดเฟืองพวงมาลัย 13.5 : 1 รัศมีวงเลี้ยว 5.1 เมตร

GS300 มีปัญหาพวงมาลัยเบาไปหน่อย ในช่วงความเร็วเดินทางธรรมดาไว้อย่างไร
IS250 ก็ยังคงถอดเอกลักษณ์ญาติผู้พี่มาเสียแทบจะทุกกระเบียดนิ้ว
ไม่เว้นแม้กระทั่งข้อเสียในประเด็นนี้ แม้ว่าจะนิ่งในความเร็วสูงแค่ไหน
แต่เมื่อใดที่คุณกำลังเข้าโค้ง บนทางด่วน บริเวณทางต่างระดับพระราม 4
หรือจะเป็นช่วงโค้งขวาลงเนิน จากอนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหน้าไปทางแจ้งวัฒนะ
ด้วยความเร็วระดับ 120-130 กิโลเมตร/ชั่วโมง

กับ IS250 แล้ว คุณน่าจะต้องการพวงมาลัยที่มีน้ำหนักมากกว่านี้อีกสักนิด แค่นิดหน่อยเท่านั้น
ไม่ต้องเยอะขนาด ซีรีส์ 3 แต่ก็ไม่ใช่การตอบสนองที่คล้ายคลึงกับพวงมาลัยของ”คัมรี” หรือพี่ชายอย่าง GS300 เยี่ยงนี้!”

นั่นคือสิ่งที่ผมเคยเขียนเอาไว้ จากสัมผัสในรถคันก่อน

มาคราวนี้ ผมพบว่า การตอบสนองของพวงมาลัย ดีขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

ระยะฟรี ต่ำกว่า 30 มิลลิเมตร (1.2 นิ้ว)
ที่ผมเคยบ่นว่า มันเบาไปสำหรับรถยนต์ที่เซ็ตมาแบบนี้
เพื่อกลุ่มลูกค้าแบบนี้ มันก็ยังคงเป็นแบบเดิม

เพียงแต่ว่า ณ วันที่มันยังสดใหม่อยู่ การตอบสนองยังคงกระชับและแม่นยำดีอยู่
ไม่เหมือนกับรถคันที่ผ่านมือมากว่า 25,000 กิโลเมตร จน บุคลิกพวงมาลัยในแบบของ โตโยต้า
โผล่ขึ้นมาปรากฎให้เห็น อย่างเช่นที่รถคันก่อนนั้นเคยเป็น

แต่ถ้าเวลาที่รถคันนี้ ถูกใช้งานผ่านไปถึงระดับนั้น อย่างไม่ทะนุถนอมแล้วละ็

มันก็ไม่แน่…

อีกสิ่งหนึ่งคือ เรื่องระบบเบรก

จานเบรกคู่หน้า แบบมีรูระบายความร้อน มีเส้นผ่าศูนย์กลาง 11.65 นิ้ว
ด้านหลัง เส้นผ่าศูนย์กลาง 11.45 นิ้ว เมื่อทำงานร่วมกับระบบ ABS EBD
และระบบ เพิ่มแรงเบรกในภาวะฉุกเฉิน Break Assist ด้วยแล้ว

การตอบสนองของระบบเบรก ทำได้ดีขึ้นกว่ารถคันเดิม ที่มีสภาพโทรมพอสมควร
การจับตัวของแป้นเบรกนั้น คนไทยน่าจะชอบ เพราะค่อนข้างจับเร็ว แต่แป้นเบรก มีความยืดหยุ่น
และยิ่งเมื่อเบรกเพื่อหน่วงความเร็วนั้น ถ้ายังคงรักษาน้ำหนักทเท้าที่เหยียบเบรกลงไป
ตัวรถก็จะมีอาการหน่วง เพิ่มมากขึ้น เมื่อช่วงที่รถใกล้จะชะลอจนเกือบหยุดสนิท อีกก๊อกหนึ่ง

ส่วนการเก็บเสียงในห้องโดยสาร นั้น เงียบบบบบบบบ มากกกกกกก แทบไม่ต้องเพิ่มเสียงพูดคุยจากเดิม
แม้จะใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตร/ชั่วโมง และสูงขึ้นกว่านั้นอีกนิด ก็ตาม แต่ต้องเริ่มเพิ่มเสียงมากขึ้น
เมื่อใช้ความเร็ว เกินกว่า 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง



********** การทดลองหาอัตราสิ้นเปลือง **********

เนื่องจาก ในตอนที่เราทดลอง รุ่นดั้งเดิมของ IS 250 นั้น ปั้มเอสโซ่ ยังคงมี น้ำมัน เบนซิน 95 ให้เติมอยู่
จึงไม่ต้องลำบากลำบนอะไรมากนัก แต่วันนี้ อย่างที่บอกไว้ในรีวิวช่วงระยะหลังๆมานี้ว่า
เอสโซ่เลิกขาย เบนซิน 95 ไปแล้ว ผมก็เลยเปลี่ยนใจ มาพึ่งพาปั้มเชลล์ หน้าปากซอยอารีย์ ถนนพหลโยธินแทน
และพบว่ามีความสุขกว่ากันพอสมควร

อย่างน้อย ก็ได้ เป๊ปซี่ แถมมา 2 กระป๋องรวดด้วยความใจดีของน้องๆเด็กปั้มที่นั้น
ทั้งที่ผมเติมน้ำมันยังไม่ครบ 800 บาทแต่อย่างใด ^_^

ผมห่างเหินจากน้ำโคล่า และน้ำเย็นมาพักใหญ่
รู้สึกว่าชีวิตมีความสุขขึ้น เสียงครืดคราดในลำคอ
ถ้าไม่ใช่เทศกาลหวัด ก็ไม่โผล่มาเยือนให้รำคาญใจอีก

แต่ในเมื่อ น้องเด็กปั้มแถมมา ก็ควรจะรับไว้…ในฐานะ…ของฟรี!

ในรุ่นใหม่นี้ ทั้งคู่มือผู้ใช้รถ และฝาถังน้ำมัน ระบุไว้อย่างชัดเจน
ว่า เติมน้ำมันได้ทั้งเบนซิน 95 และ แก็สโซฮอลล์ 95

แต่ผมก็ยังจะเลือกเติมน้ำมันเบนซิน 95 อันเป็นมาตรฐานเดียวกับรถคันอื่นๆที่ทดลองไว้ตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา
เติมลงไปให้เต็ม ถังน้ำมันของรถซึ่งมีความจุ 65 ลิตร นั่นละ

ออกจาก ปั้มเชลล์ ก็ลัดเลาะออกากซอยอารีย์ ไปขึ้นทางด่วน พระราม 6
ใช้ความเร็ว 110 กิโลเมตร/ชั่วโมง เปิดแอร์ และ นั่งกัน 2 คน กับน้องกล้วย อีกตามเคย
น้ำหนักถ่วงในรถ จึงเท่ากัน ราวๆ 140 กิโลกรัม

มุ่งหน้าไปยังปลายสุดสายทางด่วนเชียงราก ที่อยุธยา แล้ววนกลับมาตามทางด่วนเส้นเดิม
มาลงทางด่วนที่อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ก่อนจะขับผ่าน ททบ.5 โรงพยาบาลพญาไท และ มุ่งหน้าเข้าปั้มเชลล์
เติมน้ำมัน 95 ที่หัวจ่ายเดิม

นี่คือตัวเลขระยะทางบนมาตรวัด



และนี่คือปริมาณน้ำมันที่เติมกลับ



และนี่คือตัวเลขเฉลี่ย ที่คำนวนออกมาได้…



เมื่อเทียบกับตัวเลขของคู่แข่ง ภาพก็จะออกมาเป็นเช่นนี้…



อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ในรถคันนี้ กลับดีขึ้นกว่ารถคันก่อน
และจัดอยู่ในเกณฑ์เดียวกับ GS300

แต่ถ้าเอาเข้าจริง ก็ยังถือว่า อยู่ในเกณฑ์เฉลี่ย
และหากเทียบกับเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ของ BMW
รายนั้น อาจต้องยกประโยชน์ให้จำเลย เพราะน้ำหนักของระบบหลังคาพับเก็บได้
และ การเปิดประทุนขณะทดลองขับ นั้น ทำให้ตัวเลขออกมา ยังไม่ถึงกับดีนัก
แต่ถ้าเป็นรุ่้นคูเป้หลังคาแข็ง ตัวเลขน่าจะดีกว่านี้แน่ๆ
และเผลอๆ อาจจะเทียบเท่ากับ IS 250 ก็น่าจะเป็นไปได้



********** สรุป **********
***** ซีรีส์ 3 เอ๋ย ระวังตัวได้แล้วละ!!! *****

ถึงจะเป็นรถคันที่สดใหม่ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมพบเจอใน IS 250 ใหม่คันนี้ ก็ยังคงให้กลิ่นอายแบบเดิมๆ

ชื่อบทความก็จั่วหัวเอาไว้แล้วว่า เป็นการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์
จะให้คาดหวังถึงการเปลี่ยนแปลงแบบฉีกขาด เหมือนฉีกผ้าดิบ ไปเลย
ก็ใช่เรื่อง



อันที่จริง…มันก็เป็นการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ ตามเวลาถึงการณ์อันควร
เพราะนี่ก็อยู่ในตลาดกันมา 3 ปีเต็มแล้ว

ความสดใหม่ที่เกิดขึ้น อาจจะช่วยกระตุ้นตลาดได้บ้าง
ในยามที่ ผู้คนทั่วโลก กำลังตื่นกลัว กันอย่างเกินขนาด
จากการรับสาร และข้อมูลต่างๆ จากสื่อมวลชนมากเกินไป

สถานการณ์ต่างๆ ผมยังเชื่อว่า ไม่ถึงกับเลวร้ายมากขนาดวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง
และนั่นก็น่าจะ ไม่ถึงกับเลวร้าย ถ้าคนรวยสักคน คิดจะซื้อรถขนาดไม่ใหญ่ไม่โต
แต่หรูกำลังดี และมีคุณงามความดีพอประมาณสักคันในเวลานี้

IS 250 ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่ดี ถ้าคุณกำลังมอง C-Class และ ซีรีส์ 3 อยู่

แต่ อาจจะต้อง คิดให้ดีๆสักหน่อย



เพราะค่าตัวที่ตั้งไว้สูงกว่าที่หลายคนคิดนั้น
เมื่อเทียบกับความคุ้มค่า จากคู่แข่ง อย่าง BMW 320d ขุมพลังดีเซล แล้ว
อาจทำให้ยอดขายไม่ถึงกับตามเป้า 200 กว่าคัน ตามตั้งใจนัก
เว้นเสียแต่ว่า จะเข็ดกันแล้วกับ ค่าซ่อมบำรุงของ BMW ที่แพงเลือดไหลเหมือนกัน

อีกทั้งการปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์นั้น ก็เป็นเพียงแค่ การกระตุ้นตลาด
ไปจนกว่าจะถึงเวลาออกโรงของรุ่นเปลี่ยนโฉมโมเดลเชนจ์
ซึ่งยังไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆออกมา เพราะว่า รุ่น เปิดประทุน
เพิ่งจะเผยโฉมในตลาดโลก ซึ่ง คงต้องรอกันอีกนานพอดู



เครื่องยนต์ ไม่ใช่ข้อกังขาเลย มันเร่งได้ดี แถมนุ่มนวล
แต่เร้าอารมณ์ได้ง่าย เป็นเครื่องยนต์ วี6 ที่ดี เครื่องหนึ่ง

แถมช่วงล่างนั้น แม้จะนุ่มนวลในระดับผู้ใหญ่ และคุณสุภาพสตรีจะชื่นชอบ
แต่สำหรับชายหนุ่ม ที่ชอบขับรถอย่างสนุกสนาน และติดแนวดิบๆสปอร์ตนิดๆนั้น

อาจต้องการช็อกอัพและสปริงที่แข็งกว่านี้ขึ้นอีกนิดนึง
(และซันรูฟ เพื่อให้ห้องโดยสาร โปร่งขึ้นกว่านี้อีกหน่อย)
รวมทั้งน้ำหนักของพวงมาลัยที่ควรจะหนืดกว่านี้
อีกสักนิดเดียว ไม่ต้องให้ถึงกับหนืดเกินเหตุ เท่า ซีรีส์ 3 รุ่นมาตรฐาน หรือรุ่นที่ใช้พวงมาลัยไฟฟ้า
แต่ถ้าถามว่า ปัจจุบันที่เป็นอยู่ เพียงพอไหม สำหรับสาวๆ และผู้สูงวัย อาจบอกว่า ดีแล้ว ไม่ต้องไปเปลี่ยนหรอก

มันแล้วแต่ความเห็นของแต่ละบุคคลซึ่งแตกต่างกันไป ทั้งที่เป็นรถรุ่นเดียวกัน คันเดียวกัน อันเป็นเรื่องปกติ



ถ้าถามว่า รถคันนี้เหมาะกับใคร
ก็คงตอบได้เลยว่า เหมาะกับคนมีเงิน Young at Heart
อยากได้รถยนต์พรีเมียมคอมแพกต์ ขนาดกำลังดี ขับใช้งานเอง
หรือนั่งไปกับแฟน

แต่ความแตกต่างของ IS 250 จากซีรีส์ 3 ก็คือ รถคันนี้ อาจดูเท่
แต่ไม่ใช่รถที่ฉาบฉวยมากพอ ที่ผู้เป็นเจ้าของ จะรับสาวใด หรือหนุ่มใดก็ได้ขึ้นมานั่งข้างๆ

คนที่ใช้รถรุ่นนี้ บ่งบอกชัดเจนอยู่แล้วว่า รสนิยมจะต้องดี อีกทั้งยังต้องฉลาดเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง
และรู้จักค่าของเงิน อีกทั้ง ต้อง มั่นใจในตัวเองพอสมควร ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสังคมผู้ลากมากดีร้อยแปดสาแหรก
ได้อย่างไม่เกรงกลัวเสียงนินทากาเลเหมือนเทน้ำ ของใคร

หรือเอาง่ายๆคือ มีความเป็นตัวของตัวเอง ในระดับที่ กำลังดี นั่นเอง

ความเป็นตัวของตัวเอง ในแบบที่ คนในสังคมไทย ปัจจบัน จำนวนมาก กำลังขาดแคลนอยู่

————————————————-///————————————————-



ขอขอบคุณ
คุณ Suchaya Chienklawkla (พี่แข)
Assistant Manager
Product & Marketing Communication.
Public Affair Office

และ ทีม เล็กซัส (Lexus Group)
บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด
เอื้อเฟื้อรถทดลองขับ

********** บทความของรถยนต์รุ่นที่เกี่ยวข้อง หรืออยู่ในระดับเดียวกัน ที่ควรอ่านประกอบไปด้วย **********

– ทดลองขับ LEXUS IS 250 รุ่นแรกก่อนปรับโฉม
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=109

– ทดลองขับ Mercedes-Benz C-Class <--- เร็วๆนี้ – ทดลองขับ BMW ซีรีส์ 3 E90 ใหม่ (320i SE และ 330i)
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/10/V4815155/V4815155.html

– ทดลองขับ BMW ซีรีส์ 3 E90 ใหม่ (320d ดีเซล เทอร์โบ)
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=189&dshow=all#head

– ทดลองขับ First Impression : BMW ซีรีส์ 3 E92 ใหม่ (330d Coupe)
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2007/09/V5782589/V5782589.html

– ทดลองขับ Audi A3 5 Door (Modified by MTM)
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/12/V4931931/V4931931.html

– ทดลองขับ Audi RS4 (Modified by MTM)
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=134#head

– ทดลองขับ Saab 9-3 และ 9-3 Aero
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3540067/V3540067.html

– ทดลองขับ Volvo S60
รุ่นเบนซิน 2.3
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/V3350016/V3350016.html
รุ่น D5
http://www.caronline.net/ArticleDetail.aspx?ArticleID=139#head

– ทดลองขับ Peugeot 407 HDi Saloon
http://topicstock.pantip.com/ratchada/topicstock/2006/02/V4070379/V4070379.html

(ถ้า url ไหน กดแล้วไม่ยอม Link ไป ให้ copy url นั้น ไปแปะ ใน บราวเซอร์ของคุณโดยตรงแทนได้เลยครับ)



J!MMY
20 พฤศจิกายน 2008
10.44 – 13.37 น.


ฮอนด้าเผยบทบาท ”โรงงานแม่” สร้างมาตรฐานการผลิตรถยนต์และคุณภาพทีมงานในประเทศไทย

– โรงงานของฮอนด้าในประเทศไทยนำการผลิตฮอนด้า ซิตี้ ใหม่และซีวิค 2009 ทั่วโลก
– นำระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้นเพื่อยกระดับคุณภาพและประสิทธิผลการผลิต
– โรงงานในประเทศไทยใหญ่เป็นอันดับหกของฮอนด้าทั่วโลก พร้อมเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาดและล้ำหน้า


พระนครศรีอยุธยา (19 พฤศจิกายน 2008) – บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยวันนี้ว่า โรงงานผลิตรถยนต์ในประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็น “โรงงานแม่” ซึ่งเป็นการรับรองมาตรฐานการผลิตและคุณภาพทีมงานฮอนด้าในประเทศไทย


มร.เคนจิ โอตะกะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้าได้มอบหมายโรงงานในประเทศไทย ให้เป็น “โรงงานแม่” เพื่อนำการผลิตในระดับโลกของรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้ ใหม่ และฮอนด้า ซีวิค 2009 ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆนี้ บทบาทดังกราวแสดงถึงการนำเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ามาใช้ในประเทศไทย รวมถึงบุคลากรที่มีทักษะสูง โครงสร้างพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม และเครือข่ายผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ที่ครอบคลุมกว้างขวาง ซึ่งเป็นการย่ำวิสัยทัศน์และมความมุ่งมั่นของเราที่จะทำให้ประเทศไทย เป็นฐานการผลิตรถยนต์คุณภาพระดับโลก”

มร.โอตะกะอธิบายว่า ความเป็นโรงงานแม่มีความสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจาก บทบาทดังกล่าวแสดงว่า โรงงานที่อยุธยาเป็นศูนย์กลางด้านการผลิตในภูมิภาคนี้ และมีหน้าที่แบ่งปันความรู้ด้านการผลิตแก่ทีมงานในประเทศอื่น

“ทีมงานฮอนด้าจากประเทศอื่นที่มีหน้าที่รับผิดชอบด้านการผลิตจะได้รับการถ่ายทอดความรู้ละความชำนาญจากโรงงานที่อยุธยา จากนั้น เมื่อโรงงานในประเทศนั้นๆพร้อมดำเนินการผลิต ทีมงานจากประเทศไทยจะให้การสนับสนุนด้านเทคนิคและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับกระบวนการผลิต” มร.โอตะกะอธิบาย

ในส่วนของช่างเทคนิคและวิศวกรชาวไทยได้รับมอบหมายให้สนับสนุนการผลิตรถยนต์ฮอนด้า ซิตี้และฮอนด้า ซีวิค ในประเทศอื่นๆในภูมิภาค พนักงานเหล่านี้มีหน้าที่ช่วยถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับระบบการผลิตที่มีคุณภาพแก่ผู้ร่วมงานของเขาในโรงงานฮอนด้า ในประเทศไต้หวัน มาเลเซีย อินเดีย อินโดนีเซีย เวียดนาม ปากีสถาน และฟิลิปปินส์

เมื่อเดือนที่แล้ว (20 ต.ค.) ฮอนด้าได้เริ่มการผลิตใน โรงงานแห่งที่สองซึ่งใช้เงินลงทุน 6.2 พันล้านบาท และเป็นส่วนขยายของโรงงานแห่งแรกที่ จ.พระนครศรีอยุธยา โรงงานแห่งนี้จะเพิ่มกำลังการผลิตของฮอนด้าในประเทศไทยเป็น 240,000 คันต่อปี

การเปิดโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยเนื่องมาจากความต้องการรถยนต์ฮอนด้าที่เพิ่มขึ้นทั้งภายในประเทศและในตลาดส่งออกหลักๆ ในภูมิภาคเอเชียและโอเชียเนีย สำหรับประเทศไทย ฮอนด้ามียอดจำหน่ายรถยนต์ปีนี้ถึงเดือนตุลาคมกว่า 72,000 คัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี พ.ศ.2550 ทำให้ฮอนด้ามีส่วนแบ่งตลาดระหว่างเดือนมกราคมและตุลาคม 2551 ร้อยละ 14.1 จากร้อยละ 10.5 ในปีที่แล้ว

โรงงานทั้งสองแห่งมีพื้นที่ 850,000 ตารางเมตร (กว่า 530 ไร่) มีระบบการผลิตแบบยืดหยุ่นและผลิตรถยนต์นั่งของฮอนด้าได้แก่ ฮอนด้า แจ๊ซ ซิตี้ ซีอาร์-วี และแอคคอร์ดเพื่อตลาดในประเทศและต่างประเทศ

“การนำเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและระบบอัตโนมัติมาใช้มากขึ้นทำให้กระบวนการผลิตของเรา มีประสิทธิภาพ การติดตั้งเทคโนโลยีการผลิตที่สะอาด การใช้ประโยชน์สูงสุดจากอากาศที่ไหลเวียน และแสงธรรมชาติ รวมทั้งการใช้ระบบอัตโนมัติในขั้นตอนการประกอบเครื่องยนต์และการพ่นสี ช่วยลดต้นทุน การมีกระบวนการผลิตที่ดีและเป็นระบบ เป็นความได้เปรียบในการแข่งขัน และทำให้เราสามารถคงความเป็นผู้นำทั้งด้านเทคโนโลยีและคุณภาพ รวมทั้งสามารถเอาชนะความท้าทายที่เกิดจะต้นทุนที่สูงขึ้นได้” มร.โอตะกะกล่าว


การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ เช่น ระบบสายพานลำเลียงที่ทันสมัยในโรงงานประกอบเครื่องยนต์และในงานพ่นสีช่วยลดต้นทุนการผลิตที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่า ระบบขนชิ้นส่วนเครื่องยนต์ซึ่งขนย้ายชิ่นส่วนที่จะนำมาประกอบไปพร้อมๆกับรถยนต์ที่อยู่บนสายพานลำเลียง ทำให้กระบวนการผลิตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ขณะเดียวกัน การนำระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์มาใช้มากขึ้นช่วยปรับปรุงงานเชื่อมตัวถังให้มีประสิทธิภาพขึ้นอย่างมาก


นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ฮอนด้าไม่เคยหยุดนิ่ง เรามองหาวิธีใหม่ๆเพื่อยกระดับคุณภาพของการทำงานในองค์กรโดย เน้นนวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อใหการผลิตมีความผิดพลาดน้อยที่สุด คุณสมบัติเหล่านี้ทำให้เราเป็น “โรงงานแม่” เพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานด้านคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า”

โรงงานแห่งใหม่ของฮอนด้าเป็นโรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งกับสิ่วแวดล้อมที่สุดในโลก ด้วยเทคโนโลยีล้ำหน้า และระบบนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ที่สมบูรณ์ ฮอนด้าสามารถเป็นผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีสีผสมน้ำสามารถลดปริมาณสารระเหยลงได้ถึงร้อยละ 70

ปัจจุบัน โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าในปรเทศไทย มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหกในโลกของฮอนด้า นับจากโดรงงานในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนนาดา และสหราชอาณาจักร ทั้งนี้ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งรายใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศไทย

# # # # # #

ข้อมูล โรงงานผลิตรถยนต์ของฮอนด้าในประเทศไทย (19 พฤศจิกายน 2551)

บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งที่ใหญ่เป็นอันดันสองของประเทศไทย เปิดดำเนินการโรงงานผลิตแห่งที่สองซึ่งเป็นส่วนขยายของโรงงานแห่งแรก ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2551


– โรงงานแห่งที่สองของฮอนด้าใช้เงินลงทันกว่า 6.2 พันล้านบาท ทำให้ปัจจุบัน ฮอนด้าได้ลงทุนในประเทศไปแล้วกว่า 21,000 ล้านบาท นับตั้งแต่เปิดดำเนินการโรงงานแห่งแรกในปี พ.ศ.2539

– โรงงานแห่งที่สองมีกำลังการผลิตรถยนต์ 120,000คันต่อปี ทำให้กำลังการผลิตโดยรวมของฮอนด้าเพิ่มชึ้นเท่าตัวเป็น 240,00 คันต่อปี

– โรงงานแห่งใหม่มีเนื้อที่ 150,000 ตารางเมตร (ประมาณ 120 ไร่) และเมื่อรวมกันโรงงานแห่งแรกทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้าในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 850,000 ตารางเมตร (กว่า 530 ไร่)

– ปัจจุบัน ฮอนด้ามีพนักงานประจำโรงงานทั้งสองแห่งกว่า 6,400 คน

– รถยนต์ที่ผลิตที่โรงงานทั้งสองคือ ฮอนด้า แจ๊ซ ซิตี้ ซีวิค ซีอาร์-วี และแอคคอร์ด


– โรงงานใหม่ของฮอนด้า ใช้เทคโนโลยีการผลิตล้ำหน้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เป็นหนึ่งในโรงงานผลิตรถยนต์ที่สะอาดที่สุดในโลก


– ใช้เทคโนโลยีสีสูตรผสมน้ำ ทำให้สามารถลดปริมาณสารอินทรีย์ระเหยง่ายลงร้อยละ 70


– มีระบบนำน้ำกลับมาใช้ใหม่ที่สมบูรณ์


– ใช้อุปกรณ์ที่มีน้ำหนักเบา สะดวกและง่ายต่อการทำงาน ซึ่งลดข้อจำกัดด้านสรีระและผู้หญิงสามารถทำงานได้


– เพิ่มกระบวนการพ่นสีด้วยระบบอัตโนมัติเพื่อลดจำนวนพนักงานที่ต้องสัมผัสกับสารอินทรีย์ระเหยง่ายลง


– เพิ่มเครื่องมือต่างๆ ในสายการผลิตที่ช่วยลดภาระที่พนักงานต้องยกชิ้นส่วนที่มีน้ำหนักมาก และลดความยากลำบากในการยกชิ้นส่วนขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยลดการเกิดรอยขูดขีด


– ใช้ระบบอัตโนมัติในขั้นตอนการเชื่อมตัวถังและระบบสายพานลำเลียงในขั้นตอนการประกอบรถยนต์


– ระบบสายพานที่ออกแบบมาอย่างดีจะทำการปรับตำแหน่งรถยนต์บนสายการประกอบเพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งของพนักงานในสถานีทำงาน ช่วยลดการเคลื่อนไหวและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน


– โรงงานผลิตรถยนต์ของฮอนด้าได้มาตรฐานของระบบจักการคุณภาพสากล ISO 9001 และ มาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อม ISO 14001


– ส่วนที่สำคัญมากอีกประการหนึ่งคือ โรงงานใหม่ของเรามีลู่ทดสอบรถยนต์ภายในโรงงานนับเป็นโรงงานฮอนด้าแห่งแรกในภูมิภาคเอเชีย/โอเชียเนียที่มีลู่ทดสอบภายในอาคาร จุดเด่นของลู่ทดสอบนี้ก็คือ ไม่ต้องกังวลเรื่องปัจจัยสภาพอากาศภายนอก จึงเหมาะสมในการใช้ทดสอบเรื่องเสียง การสั่นสะเทือน และความทนทานต่อสภาพถนนในทุกเงื่อนไขของสภาวะอากาศ

**************************************************************************

สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net

“BANGSAEN THAILAND SPEED FESTIVAL 2008”

7 พันธมิตรยักษ์ใหญ่ ผนึกกำลังร่วมกันเปิดตำนานหน้าที่ 2 ของวงการมอเตอร์สปอร์ตเมืองไทย “BANGSAEN THAILAND SPEED FESTIVAL 2008” เนรมิตชายหาดบางแสนแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศไทย ให้กลายเป็นสนามแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่มีมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล และตัวสนามที่ยาวที่สุดในประเทศไทยถึง 3.7 กม. เพื่อรองรับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบที่รวมนักแข่งชั้นนำของเมืองไทยกว่า 170ชีวิตไว้อย่างคับคั่ง รวมไปถึงรถที่ลงทำการแข่งขันในปีนี้กว่า 200 คัน โดยได้รวมเอาการแข่งขันรายการใหญ่ๆไว้ถึง 2 รายการด้วยกัน คือ Super Car Thailand 2008 และรายการ Toyota One Make Race ซึ่งเปิดศึกความมันส์กันในระหว่างวันที่ 7-8-9 พฤศจิกายน 2551


ประเดิมการแข่งขันแรกด้วยรายการ “555 ENDURANCE SERIES” ซึ่งเป็นการแข่งขันที่ต้องใช้ความอึดเป็นอย่างมาก โดยการแข่งขันดังกล่าวจะต้องแข่งกันยาวนานถึง 6 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 session session ละ 2 ชั่วโมง หรือ 50 รอบสนามโดยประมาณ ซึ่งนักแข่งแต่ละคนต้องขับไม่เกิน 40 นาที


Super Bike
เปิดเกมส์กันในช่วงเข้าตรู่ ด้วยการแข่งขันทางเรียบสุดระทึกใจในสไตล์ 2 ล้อที่ลงสนามกันถึงกว่า 22 คัน นำทีมจรวดทางเรียบโดยรถหมายเลข 11 คริสมาส วิไลโรจน์ ที่ขึ้นนำตั้งแต่ออกสตาร์ท แต่กลับมาโดนรถหมายเลข 78 แสน เชยศักดิ์ ที่สวนขึ้นมาคว้าธงตราหมากรุกก่อนเข้าเส้นชัยเพียงนิดเดียว


Super 1500 / Super 1500 Open Rd.7
ไฮไลต์เด็ดคงจะหนีไม่พ้นจ่าฝูงระหว่างรถหมายเลข 3 หทัย ไชยวัณณ์ และหมายเลข 41 ณัฐพงษ์ เลิศล้ำประเสริฐกุล เกิดอุบัติเหตุ เพราะรถหมายเลข 41 ณัฐพงษ์ ชนท้ายรถหมายเลข 3 หทัย เข้าเต็มๆ และพอรอบถัดมาก็กลับมาเบียดกันอีกรอบ จนเกือบจะมีปัญหากัน จนต้องเข้าพิทไปทั้งคู่ ทำให้ตำแหน่งจ่าฝูงเลยตกเป็นของ รถหมายเลข 4 ขจรศักดิ์ ณ สงขลา โดยปริยาย และขึ้นนำยาวไปจนกระทั่งจบการแข่งขัน


Super 1600 Rd.7
ไฮไลต์ ต้องยกให้อันดับที่ 2 รถหมายเลข 17 ปรมินทร์ มีสมานยนต์ และชาญวิทย์ จิราษฏร์ รถหมายเลข 19 อันดับที่3 ที่ไล่บี้กันตลอด เรียกได้ว่าแทบหายใจรดต้นคอกันเลยทีเดียว แต่ยิ่งใกล้จบการแข่งขันเท่าไหร่ คู่เด็ดเลยกลายไปเป็นระหว่างอันดับที่ 3 รถหมายเลข 19 และอันดับที่ 4 รถหมายเลข 86 ของเอกสิทธิ์ ก็ไล่บี้กันไม่ยอมห่างจนกระทั่งไปเบียดกันที่โค้ง ทำให้ต้องเสียตำแหน่งไปทั้งคู่ แต่ก็ยังทำการแข่งขันกันต่อได้ จนกระทั่งจบการแข่งขัน ผลรุ่น Over all อันดับที่ 1 เป็นของรถหมายเลข 5 ณัฏฐวุฒิ ธงพานิช ขึ้นนำไปแบบม้วนเดียวจบ รับธงตราหมากรุกไปครอง และอันดับที่ 2 เป็นรถหมายเลข 17 ของปรมินทร์ มีสมานยนต์ ที่ตามมาติดๆ ส่วนอันดับที่ 3 นั้นตกเป็นของรถหมายเลข 7 ปริทัศน์ พูลผล


Retro Car
ว่าด้วยการแข่งขันของรถเก่าสุดคลาสสิค ที่เป็นอีกหนึ่งสีสันของงาน ซึ่งใครที่เป็นแฟนพันธ์แท้รถเก่า ไม่ควรพลาด เพราะศึกนี้ก็ดุเดือดไม่แพ้กัน


และในสนามนี้ คุณสมชาย ช่วยรอด จากอู่เบนซ์ ธนันต์ หนึ่งในกลุ่ม เพื่อนช่าง เพื่อคุณ จากรายการ “กลับให้ได้ ไปให้ถึง”โดย คุณธเนศร์ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ได้นำรถเข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน ขับโดย สุพรศักดิ์ มาตรจำรูญกุล
จบการแข่งขันไปโดยรถหมายเลข 12 ของ สรัญ เสรีธรณกุล เข้าเส้นชัยรับธงตราหมากรุกเป็นคันแรก


Super Car Rd.7
ศึกสุดยอดที่เป็นไฮไลต์ และเป็นรุ่นที่รอคอยของหลายคน บนสนามเฉพาะกิจแห่งปี ศึกนี้เปี่ยมไปด้วยทัพนักแข่งขแนวหน้าของประเทศไทย ลงสนามกับรถที่เป็นสุดยอดแห่งวงการทางเรียบ ซึ่งสนามนี้สุดทางตรงสามารถวิ่งกันได้ถึงเฉลี่ยประมาณ 300 กม./ชม.


จบการแข่งขันรุ่น Over All ปิติ ภิรมย์ ภักดี รถหมายเลข 12 ไล่ขึ้นมาจากตำแหน่งที่ 20 ขึ้นสู่อันดับที่ 1 เข้าเส้นชัยคว้าธงตราหมากรุกไปเป็นคันแรก ตามด้วยรถหมายเลข 28 ของ ชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม เข้าเส้นชัยเป็นอันดับที่ 2 ปิดท้ายอันดับที่ 3 ด้วยรถหมายเลข 44 ของ สุนิจ ศรีแสนสุชาติ


Super Commonrail Rd.8
รถคันแรกที่เข้าเส้นชัยรับธงตราหมากรุก เป็นรถหมายเลข 29 ของ จรัส แจ้งกมลกุลชัย นำม้วนเดียวจบไปสบายๆ ตามมาติดๆ ด้วยศิษย์สำนักเดียวกัน รถหมายเลข 92 ของ ทรงศักดิ์ กรสิริสืบสกุล ที่ตามชนิดหายใจรดต้นคอ ปิดท้ายด้วยอันดับที่ 3 กับรถหมายเลข 4 ของ ขจรศักดิ์ ณ สงขลา ที่ยังไล่กดดันได้ไม่มากพอ


Vios Lady Rd.5
ฝีมือจัดจ้านไม่แพ้ผู้ชาย นำขบวนด้วยรถหมายเลข 72 ปาลีรัฐ ปานบุญห้อม ผ่านไปครึ่งทางของการแข่งขันรถหมายเลข 25 ของกระแต ศุภักษร ไชยมงคล ที่มาเป็นอันดับที่ 2 ไปหลุดโค้ง ทำให้ต้องออกจากการแข่งขัน ตำแหน่งจึงหล่นใส่ตักของ อัจฉราพร พันธ์พาณิชย์ รถหมายเลข 33 ทันที และในรอบที่ 6 ของการแข่งขัน แตงโม ภัทริดา รถหมายเลข 60 หลุดโค้ง แต่ยังคงแข่งขันต่อได้ และรถหมายเลข 72 ปาลีรัฐ ก็นำม้วนเดียวจบเข้าเส้นชัยไปตามระเบียบ


Vios C Rd.5
18 ขุนพล Vios ลงทำศึกบนเวทีเฉพาะกิจ และรุ่นนี้มีตัวเต็งเพียบ ออกสตาร์ทรอบแรก รถเซฟตี้ คาร์ ก็ต้องออกทำงานแล้ว เพราะมีรถชนกันถึง 3 จุดด้วยกันทั่วสนามต้องออกจากการแข่งขันไปถึง 4 คันด้วยกัน ด้านผู้นำอย่างรถหมายเลข 43 จินดา ศรีแสนสุชาติ ยังคงนำอย่างไร้ปัญหา มาถึงรอบที่ 7 รถหมายเลข 77 ของ หลุยส์ สก๊อต ชนขอบแทรคเข้าเต็มๆ ต้องออกจากการแข่งขันไปทันที และรถเซฟตี้ คาร์ต้องออกทำงานอีกครั้ง พร้อมๆ กับการจบการแข่งขันทันที โดยมีรถหมายเลข 43 ของจินดา ศรีแสนสุชาติ เข้าเส้นชัยโดยการนำของรถเซฟตี้ คาร์


Super 2000 Rd.8
เป็นนัดล้างตาของหลายคู่ ที่ต้องใช้ฝีมือกันอย่างเต็มที่ในการคว้าอันดับบนโพเดียม ส่วนอันดับแรกในรุ่นนี้ยังคงเป็นชยุส ยังพิชิต รถหมายเลข 38 อยู่เช่นเดิม ผลการแข่งขันแบบ Over All ผู้ที่เข้าเส้นชัยเป็นคันแรกได้แก่ รถหมายเลข 38 ชยุส ยังพิชิต นำม้วนเดียวจบเข้าเส้นชัยไป ส่วนอันดับที่ 2 เป็นรถหมายเลข 11 กรัณฑ์ ศุภพงษ์ ปิดท้ายอันดับที่ 3 ด้วยรถหมายเลข 53 ของสันติ ภู่สุนทรธรรม ที่ตามเข้ามารับธงตราหมากรุก


ปิดท้ายด้วย Super Car Rd.8
นำขบวนรุ่นใหญ่ลงสนามด้วยรถหมายเลข 18 วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ ผู้ทำเวลาควอลิฟายดืได้ดีที่สุด เป็นผู้นำบนจุดสตาร์ท ออกสตาร์ทไปไม่ถึงนาที รถหมายเลข 28 ของ ชนมสวัสดิ์ อัศวเหม ไปเบียดกับรถหมายเลข 9 ประเสริฐ ครุจิตร หลุดไปชนขอบแทรคเต็มๆ จนพลิกคว่ำ ต้องออกจากการแข่งขัน กรรมการต้องสั่งตีธงแดง หยุดการแข่งขันชั่วคราว เพื่อเคลียร์สภาพสนาม และลดรอบการแข่งขันลงเหลือ 12 รอบ
หลังออกสตาร์ทรอบที่ 2 รถหมายเลข 18 วุฒิกร อินทรภูวศักดิ์ นำโด่งม้วนเดียวจบส่วนอันดับที่ 2 เปลี่ยนมือมาเป็นรถหมายเลข 81 วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ที่เสียบแซงรถหมายเลข 2 ศักดิ์ นานา ขึ้นมาได้ และที่ตามเป็นอันดับที่ 4 คือ รถหมายเลข 8 ของ สนธยา คุณปลื้ม โดยอันดับของกลุ่มนำยังคงเดิมไม่เปลี่ยนแปลง จนกระทั่งจบการแข่งขันไปทั้ง 12 รอบสนาม

**************************************************************************
สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net


วอลโว่โชว์รถต้นแบบแต่งหรู “S80 T6 AWD High Performance Concept ”
พร้อมนำทัพรถสีเขียวกระหึ่มมอเตอร์เอ็กซ์โป

กรุงเทพฯ, วอลโว่ ยกทัพรถหรูทรงพลังโชว์โฉมในมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 นำโดย S80 T6 AWD HPC (High Performance Concept) E85 ที่เพิ่งสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับสื่อมวลชนในสนามแข่งเนอร์เบิร์กริง (Nürburgring) ในเยอรมนีที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามแข่งขันที่ท้าทายที่สุดแห่งหนึ่งของโลก พร้อมด้วย วอลโว่ S80 2.5 FT ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกันแต่เป็นเวอร์ชั่นที่ผลิตออกวางจำหน่ายจริง และ C30 1.8 F สปอร์ต คูเป้หรูที่โดดเด่นสะดุดตาและสามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ โดยทั้ง 3 รุ่นซึ่งเป็นไฮไลต์ของงานล้วนแต่เป็นรถ FlexiFuel Vehicles (FFV) หรือรถยนต์ที่สามารถใช้เชื้อเพลิงได้หลากหลายชนิด และจะสะท้อนถึงความมุ่งมั่นของวอลโว่ในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่รักษ์สิ่งแวดล้อมได้อย่างชัดเจน เพราะทุกรุ่นสามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 (ที่มีส่วนผสมของไบโอเอทานอล 85% และน้ำมันเบนซิน 15%) ได้โดยที่ยังคงให้สมรรถนะเหนือใคร


S80 T6 AWD HPC (High Performance Concept) เป็นรถยนต์รุ่นพิเศษที่เกิดจากการนำรถยนต์ที่โดดเด่นของวอลโว่มาปรับแต่งเครื่องยนต์ใหม่ให้ทรงพลังมากขึ้น ด้วยฝีมือของบริษัทแต่งรถยนต์วอลโว่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกคือ Heico Sportiv ทำให้ S80 T6 AWD HPC สะดุดตาด้วยสีอลูมิเนียมเงินที่เป็นมันวาวจากการเคลือบแบบพิเศษหนาถึง 7 ชั้น ภายในตกแต่งด้วยหนังสีฟ้าและคาร์บอนไฟเบอร์สีเงินที่ขลิบริมขอบการตกแต่งภายใน เครื่องยนต์ถูกปรับแต่งวางเครื่องยนต์ทรงพลังความจุ 3.0 ลิตร 6 สูบเรียงและเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อให้พลังที่น่าประทับใจ 350 แรงม้า (ที่ 5,500 รอบต่อนาที) และแรงลิดประมาณ 550 นิวตันเมตรต่อเนื่องระหว่าง 1,500-4,000 รอบต่อนาทีได้สบายๆ แม้จะเติมน้ำมันแก๊สโซฮออล์ E85


พร้อมกันนี้ วอลโว่ยังยึดมอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 ให้เป็นเวทีเปิดตัว “วอลโว่ S80 2.5 FT” รถยนต์ FlexiFuel หรูเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เทอร์โบชาร์จแบบ 5 สูบที่ให้พลังแรงถึง 200 แรงม้าและแรงบิด 300 นิวตันเมตรที่ 1,500-4,000 รอบต่อนาที ซึ่งตอบสนองได้ดีเยี่ยม ขับขี่ได้คล่องตัวทันใจ ขณะเดียวกันก็ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมโดยช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้เป็นอย่างดีเพราะสามารถเติมน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 รถยนต์หรูทรงพลังรุ่นนี้จะเริ่มวางตลาดในประเทศไทยเร็วๆ นี้

อีกหนึ่งไฮไลต์ของงานได้แก่ C30 1.8 F ที่สร้างชื่อมาแล้วจากการแข่งขันสวีทดิชทัวริ่งคาร์แชมเปียนชิป (Swedish Touring Car Championships) และจะมีจำหน่ายในเมืองไทยเร็วๆ นี้ วอลโว่ C30 1.8 F พัฒนาขึ้นจากรถต้นแบบ Volvo Safety Concept Car (SCC) โดยติดตั้งเครื่องยนต์ 1.8 F FlexiFuel 4 สูบ ถูกใจคนรุ่นใหม่ด้วยรูปลักษณ์ที่ทันสมัย ปราดเปรียว ที่ทำให้รถรุ่นนี้ได้รับรางวัลมากมายด้านการออกแบบจากทั่วโลกนับตั้งแต่เปิดตัว นอกจากนี้วอลโว่ C30 1.8 F ยังตอกย้ำความเป็นหนึ่งของวอลโว่ในฐานะรถยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยเครื่องยนต์ที่สามารถเติมแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ และเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมยานยนต์ที่ทันสมัยและใช้พลังงานชีวภาพเช่นเดียวกับ S80 2.5FT

มร. พอล สโตคส์ ประธานบริหาร บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ยานยนต์ทุกรุ่นที่วอลโว่นำมาโชว์ คือ สุดยอดยานยนต์ทรงพลังในสนามแข่งที่มาปรากฏตัวบนถนนจริงและเป็นยานยนต์ที่พิสูจน์ได้ว่าเทคโนโลยีอันล้ำสมัย สมรรถนะ รูปลักษณ์ที่โฉบเฉี่ยวทันสมัย และการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมสามารถผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นวอลโว่ S80 T6 AWD HPC หรือ S80 2.5FT เราเชื่อว่าจะสามารถสร้างความตื่นเต้นเร้าใจให้กับตลาดรถยนต์เมืองไทยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้รถทั้งสองรุ่นนี้ยังจะบอกใบ้ว่าในอนาคต รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ของวอลโว่จะมีหน้าตาหรือเทคโนโลยีอย่างไรบ้าง”

นอกจากสุดยอดยนตร์กรรมที่กล่าวไปแล้ว วอลโว่ยังจะนำรถยนต์ครบทุกรุ่นทั้งรุ่นปี 2008 และ 2009 มาแสดง และเปิดให้ผู้ที่สนใจจองซื้อกันได้ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่าง 28 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2551 ที่ชาลเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี

# # # # # # #


ทาทา รุกตลาดปลายปี เปิดตัว “ซีนอน ซูเปอร์ ซีเอ็นจี” ครั้งแรกในโลก
คอนเซ็ปต์งานมอเตอร์เอ็กซ์โป ชูประเด็นสิ่งแวดล้อม

กรุงเทพฯ ประเทศไทย 24 พฤศจิกายน 2551 – ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด สร้างสีสันกระหึ่มงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 25 ด้วยการเนรมิตบูธทาทา ให้เป็นป่านิเวศน์ เน้นเรื่องความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมซึ่งตรงกับแนวคิดของงานปีนี้ พร้อมการเปิดตัว “ซีนอน ซูเปอร์ ซีเอ็นจี” รถปิคอัพคันแรกในตลาดรถของไทย ที่ใช้ระบบเครื่องยนต์ ซีเอ็นจี แท้ทั้งระบบ 100% ให้ความประหยัด และมีมลพิษต่ำกว่ารถปิคอัพทั่วไป นับเป็นการเปิดตัวเป็นครั้งแรกในโลกอีกด้วย

ทาทา ซีนอน ซูเปอร์ ซีเอ็นจี เอ็กซ์เท็นด์แค็บ CLE เปิดตัวดัวยราคาพิเศษช่วงแนะนำเพียง 519,000 บาท

นายอาจิต เวนคาทารามัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงการเปิดตัวรถปิคอัพ เครื่องยนต์ซีเอ็นจีแท้ทั้งระบบว่า “ทาทารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ และมีโอกาสเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับลูกค้า ด้วยสินค้าที่มีความแตกต่าง และโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาดอย่างแท้จริง ซึ่งลูกค้าของทาทา จะได้เลือกใช้รถปิคอัพที่ออกแบบมาเพื่อการใช้งานในชีวิตประจำวัน ใช้ในการประกอบอาชีพอย่างแท้จริง เป็นรถที่สร้างรายได้ ประหยัดกว่าทั้งในเรื่องการบำรุงรักษา และค่าเชื้อเพลิง ซึ่งนับเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดที่ทาทาได้มีโอกาสเปิดตัวรถปิคอัพ “ซีนอน ซูเปอร์ ซีเอ็นจี” เป็นครั้งแรกในโลก ให้ลูกค้าชาวไทยได้มีโอกาสสัมผัสรถยนต์พลังงานทางเลือกนวัตกรรมล่าสุด ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงต่ำกว่า ประหยัดกว่า รถปิคอัพทุกคันที่มีวิ่งอยู่ในประเทศไทย จากนโยบายของรัฐบาลที่กำหนดให้ราคาของก๊าซต่ำกว่าราคาดีเซลอย่างน้อยครึ่งต่อครึ่ง”


ปิคอัพฉีกกฎ”ซีนอน ซูเปอร์ ซีเอ็นจี” เครื่องยนต์ 2.1 ลิตร DOHC หัวฉีดมัลติพอยต์ แรงม้าสูงสุด 115 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 175 นิวตันเมตร ที่รอบต่ำเพียง 3,750 รอบ/นาที โดดเด่นด้วย ระบบเครื่องยนต์ซีเอ็นจี แท้ทั้งระบบ ใช้วัสดุอุปกรณ์ชั้นนำคุณภาพสูงสุด ที่ผ่านการทดสอบและคัดเลือกมาเพื่อระบบเครื่องยนต์ ซีเอ็นจีโดยเฉพาะอาทิ ระบบท่อก๊าซใช้ของ Sandvik เยอรมัน และ Swagelok สหรัฐอเมริกา วาล์วนิรภัยของ OMB อิตาลี ช่วยป้องกันอุบัติเหตุจากการรั่วซึม แรงดัน และอุณหภูมิ ส่วนระบบประมวลผลอัจฉริยะคำนวณการผสมผสานก๊าซ อากาศ สภาพการขับขี่ ใช้ของ Bosch เยอรมัน และเซ็นเซอร์ของ Valeo ฝรั่งเศส เป็นต้น

การปรับกำลังอัดภายในเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับเชื้อเพลิง CNG เพื่อการเผาไหม้ที่สมบูรณ์สูงสุด เครื่องยนต์จึงทำงานอย่างราบเรียบ และยิ่งไปกว่านั้น เครื่องยนต์ยังถูกออกแบบให้เหมาะกับการใช้งานที่สมบุกสมบัน ทนทานในทุกสภาพการใช้งาน ประหยัดเชื้อเพลิงสูงสุด และบำรุงรักษาง่าย

จุดเด่นอื่นๆ ของทาทา ซีนอน ซูเปอร์ ซีเอ็นจี อาทิ
• ผ่านการทดสอบอย่างหนักหน่วง ทุกสภาพการใช้งานจริง บนทุกสภาพถนนของไทย
• ผ่านการทดสอบการใช้เชื้อเพลิงซีเอ็นจี ที่มาจากแหล่งต่างๆ ของประเทศไทย จากนั้นจึงได้นำข้อมูลมาปรับแต่งการทำงานของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมลงตัว กับแหล่งก๊าซในประเทศไทยให้มากที่สุด เพื่อตอบสนองการใช้งานในชีวิตประจำวันได้อย่างลงตัวกับทุกความต้องการของลูกค้าที่ต้องการรถปิคอัพที่สร้างเสริมรายได้ในยุคเศรษฐกิจปัจจุบัน
• จัดวางถังซีเอ็นจี ไว้บนโครงสร้างตัวถัง ใต้พื้นกระบะ ให้ความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งทำให้พื้นที่สำหรับขนส่งสินค้ายังสามารถใช้งานได้เช่นเดียวกับรถปิคอัพทั่วไป ในขณะที่รถที่ถูกนำมาดัดแปลงเพื่อติดตั้งถัง ซีเอ็นจี ภายหลัง จะต้องเสียพื้นที่บรรทุกในกระบะไปพอสมควร
• รับประกัน 3 ปี 100,000 กิโลเมตร

กลุ่มลูกค้าเป้าหมายค่อนข้างจะชัดเจน และแตกต่างจากคู่แข่งในตลาด อาทิกลุ่มผู้ใช้รถประจำถิ่นที่ใช้งานขนส่งสินค้าบนเส้นทางที่แน่นอน และอีกกลุ่มที่มีศักยภาพมาก คือลูกค้ากลุ่มบริษัทใหญ่ๆ ที่มีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงสูงมากๆ การเลือกใช้ CNG จะทำให้ต้นทุนในการบริหารจัดการต่ำลงทันทีอย่างน้อย 30-50%

เชิญพบกับรถทาทา ซีนอนใหม่ ได้ที่บูธทาทา ซึ่งในงานมอเตอร์เอ็กซ์โปครั้งนี้ ทาทา ได้สะท้อนแนวคิดด้านสิ่งแวดล้อม ออกมาในการจัดแต่งบูธ ด้วยต้นไม้ใหญ่ นำป่ามาสู่เมือง จัดแสดงรถในสวนสวย ลูกค้าที่มาเยี่ยมชมบูธของทาทา จะได้ชมรถทาทา ซีนอน ครบทุกรุ่น ทั้งรุ่น ดับเบิ้ลแค็บ เอ็กซ์เท็นด์แค็บ เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร และยังมีโอกาสร่วมสนุก เล่นเกมส์ ชิงของรางวัลมากมาย ส่วนลูกค้าที่ต้องการสัมผัสประสบการณ์การขับขี่ ทาทาก็ยังได้จัดเตรียมรถทดสอบให้ลูกค้าได้ทดลองสมรรถนะได้อย่างเต็มที่ ตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน ถึงวันที่ 10 ธันวาคม ศกนี้ ที่เมืองทองธานี

**************************************************************************


TATA WILL UNVEIL THE XENON SUPER CNG AT MOTOR EXPO

Bangkok, November 24, 2008: Tata Motors (Thailand) is launching the Xenon Super CNG pickup truck at the forthcoming Bangkok International Motor Expo 2008, starting November 29. The TATA Xenon Super CNG is Thailand’s first pickup truck with a factory-installed 100-per cent CNG system. It offers one of the better energy-saving options available in Thailand and therefore one of the more cost-effective alternatives for the Thai customer.

The Xenon Super CNG X-tend Cab CLE is being introduced at a special price of
฿ 519,000.

Speaking on the introduction of this first-of-a-kind pickup vehicle, Mr. Ajit Venkataraman, Chief Executive Officer of Tata Motors (Thailand) Co Ltd, said, “We are very pleased to be a part of Thailand’s automobile industry and to provide options to Thai customers that are both innovative and distinctive. Tata Motors’ pickup trucks are designed keeping in mind the requirements of pickup vehicle customers – low operating cost through low fuel consumption and low cost of maintenance. Vehicles that use alternative fuels, especially compressed natural gas (CNG) like the Tata Xenon Super CNG, are going to be more advantageous as the government’s policy is to maintain CNG price to at least half of the price of diesel. We are confident that customers will find the Xenon Super CNG a vehicle of their choice.”


The Xenon Super CNG comes with a 2.1 litre, DOHC multi-point injection engine with a maximum output of 115 hp and a maximum torque of 175 nm at 3,750 rpm. Its CNG system and components are state-of-the-art. The gas line is from Sandvik (Germany) and Swagelok (USA), the cylinder valve is from OMB (Italy) and the ECU processes data through various Bosch (Germany) and Valeo (France) sensors.

Compression ratio of the engine is appropriate for CNG. This ensures that combustion in the engine is always smooth. In addition, the engine is durable, fuel efficient and easy to maintain.

Other unique features of the Tata Xenon Super CNG are:

• It has been tested in all road conditions in Thailand.
• It has also been test-driven with CNG from different sources. The varying fuel characteristics have been incorporated into the engine tuning process to ensure that it is capable of meeting varied requirements of commercial pickup vehicle users.
• Its unique tank placement under the load body ensures high safety and optimal utilization of the loading area. In modified pickups, the gas tank has to be placed in the load body.
• It is being launched with 3 years / 100,000 km warranty.

Target customers for Xenon Super CNG are both individual customers who use pickup vehicles for transporting goods on fixed routes, and also big companies which have very high fuel expenses. It can help them cut their operating costs by up to 30 to 50 per cent.

The new Xenon will be showcased at Tata’s booth, decorated as a verdant jungle, befitting the ecological theme of the Motor Expo. Double and the X-tend cab Xenon 2.2L diesel models will also be exhibited at the booth. Visitors can participate in test-drives and enjoy various activities at the booth from November 29 to December 10.

# # # # # # #


วอลโว่ ย้ำความมุ่งมั่นในการร่วมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทย
ประกาศเดินหน้าผลิตและจำหน่ายรถยนต์ E85 อย่างเป็นทางการ!!
พร้อมเผยโฉม “วอลโว่ S80 2.5FT” รถยนต์ FFV E85 คันแรกที่ผลิตในประเทศไทย

กรุงเทพฯ, 26 พฤศจิกายน 2551 – วอลโว่ ย้ำความมุ่งมั่นในการร่วมสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของไทยพร้อมช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ด้วยการประกาศเดินหน้าผลิตและจำหน่ายรถยนต์ FFV E85 อย่างเป็นทางการ!!

วอลโว่ ไม่เพียงเปิดตัวรถยนต์นำเข้า วอลโว่ C30 1.8F อย่างเป็นทางการที่งาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2008” ที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น แต่ที่สนามบางกอก เรสซิง เซอร์กิตในวันนี้ วอลโว่ยังเผยโฉม วอลโว่ S80 2.5FT รถยนต์ FFV E85 คันแรกและคันเดียวที่ผลิตขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรกด้วย โดยภายในงาน ฯพณฯ เลนนาร์ท ลินเนร์ เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งราชอาณาจักรสวีเดนประจำประเทศไทย นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รวมถึงผู้บริหารจาก ปตท. บางจาก กลุ่มมิตรผล เพโตรกรีน ตัวแทนสมาคมผู้ผลิตเอทานอลแห่งประเทศไทย และแขกผู้มีเกียรติมากมายเข้าร่วมงาน


ความเคลื่อนไหวของวอลโว่ในครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย ผ่านการส่งเสริมการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพซึ่งเป็นพลังงานที่ปลดปล่อยไอเสียสู่บรรยากาศน้อยลง ทั้งยังเป็นพลังงานที่ผลิตขึ้นใหม่ได้จากผลผลิตทางการเกษตรที่เพาะปลูกได้ภายในประเทศ ที่สำคัญยังได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากทั้งผู้ใช้รถ ภาครัฐ และภาคเอกชนว่า เป็นพลังงานที่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ใช้รถและลดภาระการต้องนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศซึ่งข้อมูลในปีที่แล้วระบุว่า คิดเป็นร้อยละ 9 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) เลยทีเดียว


การประกาศส่งรถยนต์พลังเอทานอล E85 ลงตลาดอย่างเป็นทางการในวันนี้เกิดขึ้นเพื่อร่วมสนับสนุนความร่วมมือระหว่างกระทรวงพลังงาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) ที่ผลักดันแก๊สโซฮอล์ E85 ออกวางจำหน่ายได้เป็นผลสำเร็จ และเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับผู้บริโภคชาวไทยยิ่งขึ้นอีก รถยนต์ FFV E85 ทั้ง 2 คันคือ วอลโว่ S80 2.5FT และ วอลโว่ C301.8F จะเปิดขายอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่งาน “มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2008” ตั้งแต่วันที่ 28 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไปด้วย


มร.พอล สโตคส์ ประธานบริหาร บริษัท วอลโว่ คาร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “สำหรับวอลโว่ เราย้ำเสมอถึงความห่วงใยในสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นพันธกิจหลักของแบรนด์ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา ดังนั้น เราจึงสนับสนุนแนวนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงพลังงาน ที่มุ่งมั่นสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทยด้วยการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนให้มากขึ้น ซึ่งในวันนี้ วอลโว่ขอย้ำความมุ่งมั่นของเราด้วยการประกาศการเป็นบริษัทรถยนต์ที่ผลิตรถยนต์ FlexiFuel ซึ่งสามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้เป็นรายแรกในไทย เริ่มต้นด้วยรถยนต์ซีดานหรูขนาดใหญ่ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วทั่วโลก วอลโว่ S80 2.5FT ก่อนเป็นรุ่นแรก พร้อมทั้งเปิดตัว วอลโว่ C30 1.8F รุ่นนำเข้า อย่างเป็นทางการในวันนี้ด้วย”


นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า “การสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทน ยังคงเป็นแนวนโยบายหลักของภาครัฐ ไม่ว่าราคาน้ำมันจะแพงขึ้นหรือถูกลง โดยเฉพาะการสนับสนุนให้คนไทยใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์นั้น ยิ่งสัดส่วนของเอทานอลที่เราใช้กันมีมากขึ้น ก็ยิ่งช่วยชาติลดการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศได้มากขึ้น ทั้งยังสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ รวมทั้งช่วยให้ประชาชนพึ่งพาตนเองทางพลังงานได้ในระยะยาวอีกด้วย ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมา ภาครัฐได้รับความร่วมมืออย่างดีจากวอลโว่ในการร่วมสนับสนุนนโยบายพลังงานของรัฐบาล ผมหวังว่า รถยนต์วอลโว่ S80 2.5FT E85 คันนี้ จะเป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ใช้รถชาวไทย”


“วอลโว่ S80” ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนกันยายน 2550 โดยมีให้เลือกทั้งรุ่นเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เป็นเจนเนอเรชั่นที่ 2 ของรถยนต์ซีดานหรูขนาดใหญ่จากวอลโว่ มาพร้อมดีไซน์หรูหราไร้กาลเวลาตามวิถีการออกแบบสไตล์สแกนดิเนเวียน และนวัตกรรมความปลอดภัยระดับโลกในแบบฉบับของวอลโว่ ที่ทำงานในรูปแบบของเครือข่ายความปลอดภัยซึ่งเชื่อมโยงถึงกันทั้งภายในและภายนอกตัวรถ จนได้รับการกล่าวชื่นชมจากสถาบันยานยนต์ทั่วโลกว่าเป็นรถยนต์ที่ปลอดภัยที่สุดคันหนึ่งในโลก สำหรับวอลโว่ S80 รุ่นปี 2009 ยังคงเพียบพร้อมด้วยระบบความปลอดภัยระดับโลกอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมเพิ่มระบบความปลอดภัยใหม่ๆ อาทิ ระบบกล้องและสัญญาณไฟเตือนมุมอับสายตา (Blind Spot Information System: BLIS) ระบบเตือนเมื่อขับข้ามเลน (Land Departure Warning: LDW) และระบบเตือนผู้ขับขี่ (Driver Alert Control: DAC) รวมถึงระบบการขับขี่โดยไม่ต้องใช้กุญแจ หรือ Personal Car Communicator (PCC) และอื่นๆ ติดตั้งในรุ่นผลิตในประเทศด้วยเช่นกัน


วอลโว่ S80 รุ่น 2.5FT เครื่องยนต์ FlexiFuel E85 นับเป็นอีก 1 ทางเลือกที่ผู้บริโภคมั่นใจได้เลยว่า ความพิเศษที่รถยนต์คันนี้มอบให้นั้น หาไม่ได้ในรถยนต์คันอื่นๆ อย่างแน่นอน

“ถึงเวลาสำหรับผู้ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับ E85 ต้องคิดใหม่อีกครั้ง เพราะ E85 เป็นทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดแล้วสำหรับประเทศไทยในขณะนี้ โดยเฉพาะในเวลาที่ประเทศไทยมีทั้งสถานีให้บริการน้ำมัน E85 จากปตท.และบางจาก และรถยนต์ E85 ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ทั้งที่ผลิตขึ้นเองในประเทศและนำเข้ามาวางจำหน่าย ภาคธุรกิจและผู้บริโภคสามารถเลือกทางเลือกที่ทั้งฉลาดเฉลียวและยังผลดีแก่ประเทศชาติรวมไปถึงสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้อย่างมั่นใจ” มร.พอล สโตคส์ กล่าว “เทคโนโลยี FlexiFuel ของวอลโว่ยังได้รับการพิสูจน์ประสิทธิภาพทั้งในสนามแข่งและบนท้องถนนทั่วไป ผมเชื่อว่า วอลโว่ S80 และ C30 รุ่นเครื่องยนต์ FlexiFuel จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากภาคธุรกิจและผู้ใช้รถชาวไทยอย่างแน่นอน”


“การตัดสินใจผลิตและจำหน่ายรถยนต์ E85 พร้อมกันถึง 2 รุ่นคือ วอลโว่ S80 2.5FT ซึ่งผลิตในประเทศ และ วอลโว่ C30 1.8F ซึ่งวอลโว่นำเข้ามาจำหน่ายในไทยครั้งนี้ ผมเชื่อว่าเป็นโอกาสดีที่จะได้กระตุ้นให้ผู้บริโภคชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญและประโยชน์ของพลังงานทางเลือกทั้งสำหรับตนเองและประเทศชาติ ราคาน้ำมันอาจจะลดลงบ้างในช่วงนี้ ทว่าในระยะยาวราคาน้ำมันต้องขยับขึ้นไปสูงอีกแน่ ดังนั้น จึงเป็นการดีกว่าสำหรับทุกคนที่จะเตรียมตัวเองด้วยการเลือกใช้พลังงานที่สามารถผลิตขึ้นใหม่ได้จากผลผลิตทางการเกษตรภายในประเทศ ทั้งยังช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศด้วย” นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธาน กลุ่มมิตรผล กล่าว “ทั้งนี้ กลุ่มมิตรผลได้สั่งซื้อรถยนต์วอลโว่ S80 แล้วจำนวน 21 คัน เพื่อแสดงออกถึงความมุ่งมั่นและความห่วงใยในสิ่งแวดล้อมของเรา”


ขณะเดียวกัน ภายในงานเปิดตัวรถยนต์พลังงานทางเลือก วอลโว่ S80 2.5FT และวอลโว่ 1.8F ที่สนามบางกอก เรสซิง เซอร์กิต ถนนศรีนครินทร์ วอลโว่ยังมาพร้อมอีกหนึ่งไฮไลต์ นั่นคือ การนำ “โรเบิร์ต ดาห์ลเกรน” นักขับรถแข่งชื่อดังสังกัดทีมวอลโว่ บินตรงจากสวีเดนมาขับรถแข่ง “วอลโว่ C30 E85” ที่เพิ่งคว้าชัยชนะในการแข่งขันสวีดิช ทัวริ่ง คาร์ แชมเปี้ยนชิพครั้งล่าสุด โชว์ให้ทุกคนได้สัมผัสความแรงอย่างใกล้ชิดที่เมืองไทยเพื่อพิสูจน์สมรรถนะและประสิทธิภาพของรถยนต์วอลโว่พลังเอทานอล E85 กันให้เต็มที่อีกด้วย


สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสิ่งแวดล้อมและสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย แวะเยี่ยมชมและสั่งจอง “วอลโว่ C30 1.8F” และ “วอลโว่ S80 2.5FT” ซึ่งรองรับได้ตั้งแต่น้ำมันเบนซินธรรมดาไปจนถึงเบนซินผสมเอทานอลทุกสัดส่วนตั้งแต่ E10 และ E20 ไปจนถึง E85 ได้ที่บูธวอลโว่ในงาน “ไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ เอ็กซ์โป 2008” ภายในชาเลนเจอร์ฮอลล์ เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน ถึง 10 ธันวาคมนี้ หรือเยี่ยมชมรถยนต์ E85 ได้แล้ววันนี้ที่โชว์รูมวอลโว่ทุกแห่ง!!

# # # # # # # # # #


Thailand’s Energy Future Will Be Powered By Volvo FlexiFuel E85
In Surprise Announcement, Volvo Reveals First Locally Produced
E85 FlexiFuel Vehicle – Volvo S80 2.5FT

Bangkok, November 26, 2008 – Volvo announces a double first for Thailand set to benefit the Thai economy and environment.

Not only does Volvo formally launch the import of the Volvo C30 1.8F at the upcoming Motor Expo 2008, but astonishes all with the launch of Thailand’s first and only locally produced E85 FlexiFuel vehicle with the reveal of the Volvo S80 2.5FT at Bangkok Racing Circuit today, attended by HE The Ambassador of Sweden, Lennart Linnér, Minister of Energy, Dr. Wannarat Charnnukul, and the CEO’s of PTT, BCP, Mitr Phol, PetroGreen and the Thai Ethanol Manufacturing Association amongst many other VIP guests.


This move is seen as another critically needed and key step in Thailand’s development towards a more secure energy future through the promotion and use of less polluting and more importantly renewable biofuels made from home-grown agricultural produce. Embraced by the people, businesses and the government, renewable local biofuels will save more money for Thai motorists and reduce the Kingdom’s economic burden from the need to buy foreign oil which last year accounted for some 9% of GDP.


This announcement comes in parallel with the efforts of Ministry of Energy, PTT Plc and Bangchak Petroleum to sell E85 gasohol commercially. And to excite Thai consumers even more, these two E85 FlexiFuel Vehicles. Volvo S80 2.5FT and Volvo C30 1.8F will make their public sales debut during “Motor Expo 2008” from November 28, onwards.


Mr. Paul Stokes, President of Volvo Car Thailand, said “For Volvo, environment has been a core value of our brand for decades and so we have always fully supported the efforts of the Royal Thai Government, and particularly the Ministry of Energy in advancing renewable biofuels with an aim of energy security for Thailand from the very beginning. Today, Volvo announces yet another milestone commitment in this journey as we will be the first car company to produce E85-compatible FlexiFuel Vehicles locally here in Thailand, starting with our globally successful and award winning large prestige sedan Volvo S80 2.5FT, and also to formally launch the Volvo C30 1.8F as an imported product.”


Dr.Wannarat Charnnukul, Minister of Energy, said “The government holds as a main policy to promote the use of alternative energy no matter what change happens to the oil price. The higher mixture of ethanol in gasoline would reduce the country’s reliance on crude oil imports and reduce the cost of living. It would also strengthen the country’s long-term energy security and economy. Over the past several months, we have deeply appreciated the friendly cooperation from Volvo in supporting the government’s energy policy. I think Volvo S80 2.5FT E85 will be another compelling choice for Thai motorists.”


Launched in September last year, in diesel and benzene variants, the all-new Volvo S80 is second generation of Volvo’s large prestige sedan sculpted with timeless Scandinavian design and brimming with world-class safety firsts that together form a cohesive network of exterior and interior systems working in a seamless concert which drew universal applause from world’s auto industry as one of the world’s safest cars. The Model Year 2009 is no exception, adding both Volvo’s Blindspot Information System (BLIS); Lane Departure Warning (LDW) and Driver Alert technology to the locally made versions alongside the keyless entry/drive Personal Car Communicator (PCC) and much more already in place.


Adding the bioethanol 2.5FT E85 FlexiFuel engine to the line-up, Volvo S80 guarantees its responsible exclusiveness as an intelligent choice in a way that you simply cannot find in other cars.

“It really is time for the critics of the E85 project to open their eyes, and see that this is, right now, the right choice for Thailand and that with fuel stations being opened by both PTT and Bangchak and now with both large and small, imported and locally produced cars available, businesses and consumers can make the intelligent and responsible choice for both the environment and the Kingdom with confidence.” Added Paul. “From race-track to road-going reality, with proven E85 Volvo FlexiFuel technology, I believe the E85 FFV models of Volvo S80 and C30 will receive a good response from both Thai business and individual consumers.” added Mr. Stokes.


“To produce E85-compatible cars and launch two E85 models – the locally-made Volvo S80 2.5 FT E85 and the fully-imported Volvo C30 1.8F E85 – here in Thailand, we believe it will be a great opportunity to encourage Thai consumers to become more and more aware about the importance and benefits of alternative energy for both the country and Thai people. The fuel price may tend to go down at the moment, but it always rises in the longer term so it is surely better for Thai motorists and businesses to prepare themselves by using fuel that can renew by local agricultural products and help reduce the country’s dependence on imported oil.” commented Khun Isara Vongkusolkit, President, Mitr Phol Sugar Corp. “We’ve already placed an order for over 21 S80s to show that Mitr Phol Group is committed to the best action for the environment.”


Meanwhile, during the launching event of Volvo S80 2.5FT and Volvo C30 1.8F at Bangkok Racing Circuit, Volvo adds to the fever pitch excitement with the dramatic appearance of the STCC championship Volvo Green Race Team Driver himself, Robert Dahlgren, who came with his Volvo C30 E85 STCC Racer inviting guests to a white knuckle hot-lap professional driving demonstration in this bioethanol-powered vehicle with him at full race speed.


Interested in doing your bit for pollution, the environment and the future energy security of your country? Be amongst the first to take a look or even to book the “Volvo C30 1.8F” and “Volvo S80 2.5FT” which can operate on 100% gasoline, or ANY blend of gasoline and ethanol from E10, E20 to E85, you can do so at Volvo’s booth during “Thailand International Motor Expo 2008” at Challenger Hall, Muang Thong Thani. The event runs from November 29, 2008, to December 10, 2008. Or you can visit a Volvo showroom NOW!

**************************************************************************

สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net



มันจะเป็นไปได้หรือ…..?
ที่ รถยนต์ราคาคันละ 2 ล้านกว่าบาท จนถึง 3 ล้านกว่าๆ
ซึ่ง ให้สมรรถนะรอบด้าน ที่สะใจ ถึงแก่นกึ๋น ตับ ม้าม ไต หัวใจ และเซี่ยงจี๊
จะจิบน้ำมันประหยัดสุดๆ 16 กิโลเมตร/ลิตร!!

มันจะเป็นไปได้หรือ…..?
ที่ รถยนต์รุ่นดังว่า จะเป็นผลงานจาก ค่ายใบพัดสีฟ้า
ผู้สร้างตำนานประหยัดอย่างบ้าระห่ำ แถมยังแรงอย่างสุดหัวใจ ใน 320d

ครับ… มันเป็นไป..(อีก) แล้ว มันเกิดขึ้น (อีก) แล้ว
และ…ฝีมือ BMW อีกแล้ว…



ก่อนอื่น…เหมือนเช่นทุกรีวิว
มัน (หมายถึงคนเขียน)
จะต้องมีอารัมภบท เป็นประเดิมก่อนได้ทุกที

ครั้งนี้ก็เช่นกัน และมันจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียน

เพราะครั้งนี้ ผมมีเรื่องจะสารภาพอย่างหน้าชื่นตาบาน
แถมยังด้านชาเป็นอย่างหนาตราช้างอยู่เรื่องหนึ่งว่า…

ถ้าคุณเคยคิดว่า รีวิว Mercedes-Benz E200NGT นั้น
คือสุดยอดแห่งการ “ดอง” ของผมแล้ว

ผมยังมี สุดยอดอมตะนิรันดร์กาล แห่งการ”ดอง” เอาไว้อยู่อีก 1 เรื่อง…..
ดองเอาไว้ นานกว่าที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ เจอยิ่งนัก

และถ้าจะถามว่าเรื่องไหน

คำตอบอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลไปจากหน้าจอของคุณตอนนี้นักหรอกครับ

ก็คุณกำลังเปิดอ่านมันอยู่นี่ไง!



เคยไหมครับ
เวลาที่คุณคิดจะหาข้าวของอะไรสักอย่าง
อย่างตั้งใจ ไม่ว่าจะเพราะแค่คิดถึงมัน
อยากเจอหน้ามัน หลังจากไม่ได้ผ่านสายตามานาน

หรือว่า จำเป็นอย่างเร่งด่วนที่จะต้องค้นหา ออกมาใช้งานใช้การ
ตามวัตถุประสงค์ ความตั้งใจ และอีกสารพัดข้ออ้างของคุณ

พยายามหาเท่าไหร่ หาแทบตาย
สุดท้าย มักจบลงด้วยการเอาแขนขาก่ายหน้าผาก ล้มตัวลงนอน
ด้วยความเหนื่อยล้า และจนปัญญาจะคิดออกว่า
ครั้งสุดท้าย คุณเอาของชิ้นนั้นไปเก็บเอาไว้ที่ไหน?

แต่หลังจากช่วงเวลาวิกฤติชีวิตผ่านพ้นไป
ในวันอันเรื่อยเปื่อยน่าเบื่อหน่าย เช่นยามบ่ายวันอาทิตย์นั้น
จู่ๆ คุณกลับพบของชิ้นที่คุณกำลังตามหาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เมื่อหลายเดือนก่อน นอนแอ้งแม้ง อยู่ในตำแหน่งใกล้เคียง
หรือาจจะห่างไกลจากกับตำแหน่งดั้งเดิม ที่มันเคยอยู่

สติสปชัญญะของคุณ ก็เริ่มระลึกชาติได้ว่า ตัวคุณเองนั่นแหละ
เคยพามันออกนอกวงโคจรสถานตำแหน่งพิกัดฐานที่ตั้งดั้งเดิมของมัน
ไประหกระเหินยังส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้านคุณนั่นเอง

ถ้าคุณนึกภาพต่างๆเหล่านี้ออก
คุณก็คงจะเริ่มเข้าใจแล้วละครับว่า
เหตุผลของการ “ดอง” ครั้งนี้ คืออะไร



มันเป็นความผิดพลาดของผมเอง

ความพยายามจะค้นหาตัวเลข ที่ผมกับ น้องกล้วย
เคยทำการทดลองอัตราเร่ง อัตราสิ้นเปลือง ของมินิ
ทั้งรุ่นคูเปอร์ และคูเปอร์ เอส ที่เคยจดบันทึกเอาไว้
ในเดือนเมษายน 2007…

แล้วไม่เจอ….

ความพยายามที่ว่านี้ ล้มเหลว ในช่วงเวลาที่ผมกระหน่ำ
ทำรีวิวรถรุ่นอื่นๆ และเตรียม ปล่อย รีวิวของ มินิ จ่อคิวในลำดับถัดไป

โดยไม่คาดคิด จู่ๆ กระดาษที่ผมเคยจดตัวเลขต่างๆเอาไว้ มันก็หายหัวไป
ผมหามันไม่เจอจริงๆ ในวันที่คิดจะดึงรีวิวขึ้นมาทำ

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์ชื่ออะไรไม่รู้สักคนที่ผมขี้เกียจจำ
เคยกล่าวเอาไว้อย่างหนักแน่นว่า
สสารไม่เคยหายไปจากโลกนี้ฉันใด
กระดาษตัวเลขที่ว่า มันก็ควรจะไม่เคยหายไปจากโต๊ะทำงาน
(อันโคตร…รก) ของผมฉันนั้น

กว่าที่ผมจะหามันเจอ เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึงราวๆ เดือนมีนาคม
ก่อนงาน บางกอกมอเตอร์โชว์ มีนาคม 2008 ที่ผ่านมาเล็กน้อย
เวลาผ่านไปไปเรียบร้อยแล้ว 1 ปีเต็มๆ!

โอ้ แม่เจ้า!!!



พอจะดึงขึ้นมาโพสต์ลงรีวิวที่นี่

BMW Thailand ก็สั่งนำเข้า MINI Clubman เข้ามา
อย่างฉับไว ตามติดการเปิดตัวในยุโรป เพียงไม่นานนัก

ไฉนเลย เพื่อเป็นการประหยัดทรัพยากร
อันได้แก่ ความเสื่อมโทรมของร่างกายผู้เขียน
ค่าไฟ ค่าน้ำ(ดื่ม) ค่าเสียเวลา เพราะการทำรีวิวให้คุณได้อ่านกัน
1 เรื่อง มันหมายถึง การที่ผมต้องอดนอน 1 คืน หรือในบางครั้ง
อย่างเก่ง ก็อาจจะแค่ นอนไม่เต็มอิ่มเท่าที่ควร
อย่างเลวร้ายสุดที่เคยเจอมา ก็คือ ลากสังขารถูลู่ถูกัง
ทำงาน หรือไปยังสถานที่ต่างๆตามนัดหมาย 2 วันติดกันโดยไม่ได้นอนเลย



ผมจึงตัดสินใจว่า จะขอรอ ให้ทาง
พี่ไหม พีอาร์ผู้อารี จาก BMW Thailand
จะพร้อมส่งมอบเจ้าคลับแมน ให้ผมก่อน
เพื่อนำมาสรุปรวมกัน ยำเป็นรีวิวเดียว
ทั้งเพื่อสะดวกแก่คนเขียน
และสะดวกในการหาข้อมูลของคนอ่าน
จะได้ไม่ต้องมี 2-3 รีวิว ให้ตามไล่หา Link มาอ่านกันอย่างวุ่นวาย

ครั้นจะรอให้มีโอกาสได้ลองขับ เจ้าจอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ 211 แรงม้า
อีกคัน คาดว่า อาจโดนพี่ไหม ร้องเสียงโซปราโนด่าทอถึงขั้นปางตาย ว่า
“เอ็งจะดองไปถึงไหน เอาให้หวานมันเค็มได้ที่กันเลยใช่ไหมมมมม”
ถึงเวลานั้น ค่อยว่ากันในภายหลัง ดีกว่า

ซึ่ง หลังจากรอคิว กันจนสุกงอมได้ที่
เวลาก็เดินทางมาถึง เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง…

1 ปี ครึ่ง!!! สถิติ นานที่สุดที่เคยทำมา

แหะๆๆๆ



แต่ผมก็สุดแสนดีใจ
ด้วยว่าตลอดเวลา ซึ่งข้อมูลต่างๆที่เราได้ทดลองกันไปนี้
มันยังนอนแน่นิ่งอยู่ในซอกหลืบกองเอกสาร

โดยที่ บริษัท BMW AG และ BMW Thailand
ยังไมได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง รายละเอียดทางเทคนิคใดๆ
ให้กับเจ้า มินิ เลย

มากที่สุด ก็มีแค่เพียงการเพิ่มรุ่น Mini Cooper D และ One D
ซึ่งยังไม่ถูกส่งเข้ามาทำตลาดแต่อย่างใด
รวมทั้งตัวถัง แวกอน พร้อมกับบานประตู แบบตู้กับข้าว
ที่เอาชื่อดั้งเดิมของมันมาเรียกใหม่ว่า คลับแมน ก็เท่านั้น

เท่ากับว่า ที่ผ่านมา ต่อให้ ดอง นานแค่ไหน
ข้อมูลต่างๆจากรีวิวนี้
ก็ยังถือว่า ใหม่ สด เสมอ ยิ่งกว่านมตรามะลิ ซะอีก!



แต่เพื่อให้รีวิวนี้ ขาวข้น หวานมัน ยิ่งขึ้นกว่าใครเขาจะบ้าทำออกมา

ผมก็ไปขุดเอาเรื่องราวอันเป็นประวัติศาสตร์ของ มินิ
ทั้งยุคเก่า และยุคใหม่
เอาเท่าที่เล็งไว้แม่นเหมาะ ว่าคุณ
ไม่ว่าจะกำลังคิดจะซื้อ หรือไม่ซื้อแน่ๆ แต่ชอบมินิมาก
ไปจนถึงอนุชนรุ่นหลัง ที่หวังจะหาความรู้จากโลกไซเบอร์
ควรรู้ไว้ประดับรอยหยักกันสักหน่อย
มาถ่ายทอดเอาไว้ ให้อ่านเล่นๆ

มันอาจจะยาว…ยาวมาก
ราวๆ 30 เปอร์เซนต์ ของเนื้อหาทั้งหมด
แต่นั่นก็คือสิ่งที่ผมอยากให้คุณๆได้อ่านกันไว้
เพราะเดี๋ยวนี้ จะหาคนเขียนเล่าเรื่องราวเหล่านี้ ค่อนข้างยาก
พร้อมกับรูปถ่าย ออริจินอลจากคลังภาพของ BMW AG แท้ๆ
รวมทั้ง MG-Rover Archives ฯลฯ

รับรองความอิ่มแน่นหนังท้องตึงกันเลยทีเดียว

แต่จะมีรสชาติ ถูกตา ต้องใจ ด้วยหรือไม่นั้น

คุณจะได้รับรู้กัน เสียที
นับตั้งแต่บรรทัดข้างล่างนี้ เป็นต้นไป

———————————–



Alexander Arnold Constantine Issigonis

ใครหว่า!?

ชื่อยาว ชะมัด

อ่านเผินๆ ก็ชวนให้นึกถึงชื่อของกษัตริย์ ยุโรป
ยุคสมัยแถวๆ กษัตริย์ องค์ใดสักองค์ แห่งอาณาจักรอโยธยา ก็ไม่ปาน

แต่ถ้าเอา Arnold (คนเหล็ก ผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ไม่เกี่ยวข้องอันใดเลยกับหมอนี่)
และ Constantine (ส่วนหนึ่งจากชื่อเมืองหลวงเก่า ยุคไบเซ็นไทน์ สมัยโรมันเรืองอำนาจ)
ออกไปซะ รวมทั้ง หั่นชื่อของอเล็กซานเดอร์ (เฟอร์กูสัน แห่งทีมฟุตบอลอันระบือลั่น) ให้สั้นลง เหลือเพียงแค่
ชื่อเล่นอันฟังละม้ายคล้ายคลึงกับ กางเกงชั้นในชาย Alex
ที่เรามักพบเห็นขายคู่กับกางเกงในแอปเปิล อยู่ริมบาทวิถี ย่านวงเวียนใหญ่

ชื่อก็จะเริ่มสั้นลง เหลือเพียง Alec Issigonis

ถึงตอนนี้ ถ้าคนรักมินิ ทั้งหลาย ยังบอกว่าไม่รู้จักหมอนี่อีก
ก็คงต้องเรียนเชิญ อาจารย์แม่ สุนีย์ สินธุเดชะ แห่งรัตนบัณฑิต
ตบสักสามที ก่อนเอาไปฝังอีก 3 วัน แล้วจึงขุดขึ้นมาตบใหม่
อันเป็นสำนวนที่ อ.แม่ เคยชอบใช้ออกรายการทีวี เมื่อสิบกว่าปีก่อน

เอ้า! ถ้าไม่รู้จักจริงๆ ก็บอกเลยแล้วกันว่า
ถ้าไม่มีชายผู้นี้ คงจะไม่มีรถมินิ ถือกำเนิดขึ้นบนโลกหรอก

แน่ละ ก็ อเล็ก อิสซิกอนิส ชาวตุรกี คนนี้
ผู้ที่มีแม่ เป็นชาวบาวาเรีย ซึ่งแม่ของเขา ดันเป็นพี่น้องกันกับ
ยายของ Bernd Pischetsrieder
อดีตหนึ่งในผู้บริหารของ BMW
คนที่คิดวางแผนฮุบแบรนด์ มินิ ไว้ในมือของ BMW
(แล้วต่อมา โดนอัปเปหิออกจาก BMW ในปี 1999 และได้
Ferdinand Piech นายใหญ่ของ Volkswagen AG
จอมทะนงตน ทาบทามให้ไปนั่งในตำแหน่งแทนที่เขา นั่นเอง!)

(นี่แค่เบื้องต้น ก็เริ่มเห็นแล้วใช่ไหมครับว่า
โลกนี้ มันช่างบังเอิญได้ กล๊มกลม จริงๆ)

เขาคือผู้ออกแบบ วาดพิมพ์เขียว
มินิรุ่นแรกขึ้นเองกับมือของเขาเลย!

แถมพี่ท่านยังเก่งฉกาจ กว่านักออกแบบรถยนต์คนใดในโลกยุคสมัยนั้น
เพราะพี่แกเล่น วาดแบบร่าง เจ้ารถคันกระเปี๊ยก ขับล้อหน้า แต่ไม่ธรรมดาคันนี้
ลงบนกระดาษเช็ดปาก ในระหว่างทานมื้อกลางวัน ณ ภัตตาคารแห่งหนึ่ง
ในปี 1957 !!



วาดไปงั้นๆ ในวันที่ไอเดียบรรเจิด
จนได้ลายเส้นขยุกขยุยบนกระดาษซองจดหมายนั่นละ
ที่กลายมาเป็น “รถยนต์ระดับตำนานรุ่นสำคัญรุ่นหนึ่งของโลก
นับตั้งแต่มีรถยนต์กำเนิดขึ้นมา 100 กว่าปี”
ทั้งที่เป้าหมายนั้น ก็แค่ต้องการสยบ ความนิยมของทั้ง
รถ Volkswagen เต่าทอง กับบรรดา รถลูกโป่ง หรือ Bubble Car
อันเป็นศัพท์ที่ใช้เรียก รถยนต์ 3 หรือ 4 ล้อ ขนาดเล็ก
ใช้เครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ และออกแบบมาให้มีรูปลักษณ์
โป่งๆ กลมๆ ไม่ค่อยปลอดภัย อย่าง BMW Isetta นั่นเอง!!

แต่ แท้จริงแล้ว คนที่สั่งให้ อิสซิกอนิส
ออกแบบรถยนต์ขนาดเล็กรุ่นนี้ให้เป็นจริงขึ้นมา
มีชื่อว่า Leonard Lord ประธานใหญ่ของ BMC
หรือ British Motor Corporation ซึ่งจ้าง อิสซิกอนิส
กลับมาทำงานอีกเป็นครั้งที่ 2 (เดิมหลบไปทำงานบริษัทรถยนต์ Alvis
ซึ่งจะมีรายละเอียดย่อๆอยู่ในย่อหน้าข้างล่าง) และสั่งงานนี้ให้เขาทำในปี 1957
เพราะผลกระทบจากวิกฤติการณ์น้ำมัน ในตะวันออกกลาง
เมื่อเดือนกันยายน 1956 ส่งผลกระทบกับ BMC
อย่างต่อเนื่อง แล้วนั่นเอง ผู้คนกำลังโหยหารถเล็กมากขึ้น



สิ่งที่กลั่นออกมาจากมันสมองของ อิสซิกอนิส สู่กระดาษเช็ดปากผืนนั้นคือ
รถเล็ก ท้ายตัด 2 ประตู วางเครื่องยนต์ 4 สูบ 850 ซีซี ไว้ด้านหน้า ขับเคลื่อนล้อหน้า
ทำทุกสิ่งทุกอย่างให้เล็กที่สุด เพื่อที่จะสร้างความสบาย
ให้กับผู้โดยสารมากที่สุดเท่าที่ขนาดตัวรถจะเอื้ออำนวย
รวมทั้งการวางตำแหน่งยางขนาด 10 นิ้วจาก Dunlop ทั้ง 4 เส้น
ให้มีขนาดเล็กกว่ารถยนต์ทั่วไปในยุคนั้น
แถมยังจับมันไปวางไว้ที่มุมตัวรถทั้ง 4 มุมอีกด้วย



7 เดือนให้หลัง Alec และทีมงาน ก็สร้างรถต้นแบบ รหัส ADO15 เสร็จ
ตอนแรก เลียวนาร์ด ลอร์ด ไม่แน่ใจว่า งานออกแบบของมัน จะไปรอดไหม
เลยเชิญสำนักออกแบบ Pininfarina เข้ามาช่วยดูให้ แต่ เมื่อพินิจเส้นสายแล้ว
พินินฟารีนาบอกว่า ไม่ต้องไปแก้ไขอะไรเชียวนะ เพราะมันดีอยู่แล้ว

อิสซิกอนิส เลยเชิญ เลียวนาร์ด ลอร์ด ขึ้นไปลองนั่ง และพี่อเล็คแกก็ขับอย่างกระหน่ำ
เพื่อให้เจ้านายของเขาได้เห็นถึงการเกาะถนนอันน่าทึ่งของมัน
และเมื่อรถต้นแบบ มาจอดถึงหน้าออฟฟิศ เลียวนาร์ด ก็บอก
อิสซิกอนิส สั้นๆ แต่มั่นมาก ว่า “Go and make it!”



ถึงเจ้านายจะให้ไฟเขียว แต่ด้วยเส้นตาย ที่ต้องนำรถออกขาย
ให้ได้ในเวลาเพียง 12 เดือนจากนั้น ทุกคนก็วิ่งรอกกันอย่างสาหัส
ด้วยงบประมาณอันจำกัด กระนั้น การปรับปรุงรายละเอียดมากมาย
อันวุ่นวายและวกวน ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์ รถเล็กรุ่นนี้ ก็เผยโฉมเมื่อเดือน
มิถุนายน 1959 และพร้อมออกขายสู่สาธารณชน ในเดือนสิงหาคม 1959
ด้วย 2 ชื่อ แรกในการทำตลาด คือ Austin Seven และ Morris Mini Minor
(ก่อนจะเปลี่ยนเป็นชื่อ Austin Mini ในปี 1962 แล้วก็เหลือแต่ชื่อ Mini โดดๆ
ในปี 1969)

สื่อมวลชนก็ประโคมข่าวกันใหญ่โต ตอนแรก ก็ขายไม่ดีนักหรอก
แถมโดนค่อนขอดกระแนะกระแหน จากนิตยสาร MOTOR Magazine
ของอังกฤษว่า “ถ้าคุณมีรถมินิอยู่แล้วคันหนึ่ง
โรลส์รอยส์ ก็เหมาะจะเป็นรถคันที่สอง”
แม้จะออกคู่แฝดเวอร์ชันหรูกว่านิดๆ มีบั้นท้ายคล้ายรถซีดาน อย่าง Riley Elf (ไรเลย์ เอล์ฟ)
และ Wolseley Horny…เอ้ย…Hornet (วูลส์เลย์ ฮอร์เน็ต) ในปี 1961
รวมทั้งตัวถังกระบะ และเอสเตท หลังจากนั้นก็ตาม



แต่ คนที่ทำให้มันดังขึ้นมาได้ ก็คือ John Newton Cooper (17 ก.ค.1923 – 24 ธ.ค.2000)
บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์การแข่งขันรถยนต์ของอังกฤษ เพื่อนเก่าแก่ของ อิสซิกอนิส นั่นเอง
เจ้าตัวพยามตื้อ อิสซิกอนิส ว่า ตัวรถมีศักยภาพเพียงพอในการปรับปรุง เพื่อลงแข่งได้
และ ทำออกมาเป็นเวอร์ชันตัวแรง ออกขายควบคู่ไปได้ด้วย แต่ในเมื่อ คนออกแบบไม่เล่นด้วย
และคิดอยู่แต่เพียงว่า “รถคันนี้ไมได้ออกแบบมาเพื่อแข่ง แต่สร้างขึ้นเพื่อเป็นรถของทุกๆคน”
จอห์น เลยข้ามหัวขึ้นไปเสนอแนวคิดนี้กับ George Harriman เจ้านายของ
อิสซิกอนิสในตอนนั้น (มาแทน เลียวนาร์ด ลอร์ด) ซะเลย ผลก็คือ แฮร์ริแมน เห็นด้วย และสั่งคูเปอร์ให้ทำ
มินิ คูเปอร์ รุ่นแรก ออกมา 1,000 คัน โดยที่ไม่รู้เลยว่า ต่อมา เขาจะต้องผลิตมันเพิ่มอีก 150,000 คัน!!



หลังจากนั้น? ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไง..นอกจาก มันจะชนะการแข่งขันที่ มอนติ คาร์โล
รวมทั้งอีกหลายสมรภูมิที่เข้าร่วมอีกนับไม่ถ้วนแล้ว ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา รถเล็กรุ่นนี้
ได้พลิกตำราการออกแบบรถยนต์ขนาดเล็กจนผู้ผลิตรถยนต์แทบทั้งโลก
พากันยกให้เป็น สูตรสำเร็จในการสร้างรถเล็กขับเคลื่อนล้อหน้า ในกาลต่อมา
แถมยังได้รับการยกย่องจากผู้อ่านนิตยสาร AutoCar เมื่อปี 1995 ให้เป็น
1 ใน รถยนต์แห่งศตวรรษ ทาบรัศมีกับ ทั้ง Ford Model-T ปี 1917
และเต่าทองติดล้อ ยานยนต์ของปวงประชา จากฮีตเลอร์
โดย ดร.ปอร์เช อย่าง Volkswagen ได้ไม่น้อยหน้ากัน

Facebook Comments
CarOnline Team

Recent Posts