ในช่วงบ่ายวันหนึ่งก่อนการเดินทางผมได้รับโทรศัพท์จากทางทีมงานของฟอร์ดว่ายังสะดวกที่จะร่วมเดินทางไปทดสอบ ฟอร์ดเรนเจอร์ใหม่ อยู่รึเปล่ามีหรือที่จะผมจะตอบปฎิเสธผมก็ได้ตอบยืนยันไปว่าจะไปร่วมทริปแต่ว่าดันลืมถามวันเดินทางไปซะได้แค่จำได้เลาเลาว่าเดินทางวันที่ 17-18 พฤศจิกายน เลยให้อาลองส่งอีเมล์กำหนดการมาให้แต่กลับกลายว่าเป็นวันที่14-15 พฤศจิกายนแทนเลยต้องโทรกลับไปเช็คอีกรอบว่าเดินทางวันไหนบ้างเดี๋ยวจะพลาดไปซะก่อน
การทดสอบครั้งจัดขึ้นที่เชียงรายถือว่าเป็นการเดินทางไปเชียงรายเป็นครั้งที่สองในหนึ่งเดือนแถมเป็นการทดสอบรถเหมือนกันอีกต่าง นัดหมายกันเจอกันที่สนามบินสุวรรณภูมิในตอนเจ็ดโมงเช้าแต่ผมนั้นต้องไปก่อนเวลาพอสมควรเพราะขับรถไปจอดที่นั้นต้องเผื่อเวลาไว้ด้วย
จัดแจงอะไรเรียบร้อยเราก็เข้าไปรอเวลาเดินทางทุกอย่างยังเป็นเช่นเดินยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่ครั้งนี้มีของแถมอีกด้วยเรียกว่าเกินความคาดหมายเพราะนอกจากที่กัปตันประกาศว่าจะต้องจอดรอประมาณ 5 นาทีบริเวณที่จอดเครื่องบินเพราะการจราจรคับคั่งเนื่องจากแท็กซี่เวย์เหลือฝั่งเดียวยังงดเสิร์ฟอาหารอีกด้วยเนื่องจากน้ำท่วมโดยจะเสิร์ฟเพียงของว่างและเครื่องดื่มเย็นเท่านั้น ผมเลยออกอาการเซ็งเล็กน้อยเพียงแต่อยากเสนอว่าการบินไทยนั้นควรจะมีอะไรมาทดแทนหรือชดเชยให้กับผู้โดยสารบ้างก็เท่านั้นเอง
แล้วเราก็มาถึงสนามบินเชียงรายกันเรียบร้อยคณะพร้อมก็เดินทางเข้าสู่โรงแรมเลอ เมอริเดียน ซึ่งเป็นทั้งที่ปล่อยรถ ฟังบรรยาย และพี่พักของคณะเราในครั้งนี้ โดยในช่วงเช้านั้นจะเป็นการฟังบรรยายความเป็นไปเป็นมาของ ฟอร์ดเรนเจอร์ โดยทีมงาน
เรื่องของการออกแบบก็ผู้ออกแบบมาอธิบายให้ฟัง
สมรรถนะของรถว่าทำอะไรได้บ้างลุยได้ถึงไหน
เครื่องยนต์มีแรงขนาดไหนในรุ่น 2.2
และรุ่น 3.2
ระบบความปลอดภัยในรถที่มีมาให้
เมื่อฟังการบรรยายในช่วงเช้าจบทีมงานก็จะแจ้งให้ทราบว่าใครจะขับรถคันไหนโดยหนึ่งคันนั่งสองคนพร้อมกันบอกถึงเส้นทางที่เราจะใช้กันในครั้งเราจะไปขึ้นดอยช้างกันระยะทางรวมนั้นประมาณ 120กิโลเมตรเท่านั้นเอง แบ่งเป็นทั้งหมดสี่ช่วงพลัดกันขับ
เริ่มสัมผัสรถ สิ่งแรกที่เห็นรถหมายเลข 11 สีแดงแบบแสบสันต์เลยนั้นคือขนาดของตัวรถที่มีขนาดใหญ่โตขึ้นเป็นอย่างมาก ด้วยความยาว 5,359 มิลลิเมตร และกว้าง 1,850 มิลลิเมตร แล้วดูว่ายังบึกบึนเสมือนเป็นกระบะพันธุ์แกร่งอย่างแท้จริง การออกแบบนั้นยังเป็นแบบเคเนอติก ดีไซน์ ที่ให้ความรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวแม้ในขณะหยุดนิ่ง
ไฟหน้าและกระจกหน้ามีขนาดใหญ่ขึ้น พร้อมด้วยล้ออัลลอยแบบชิ้นเดียวช่วยเสริมรูปลักษณ์ให้ลงตัวสำหรับทุกรุ่นและยังช่วยให้รถมีความดุดันและให้ความรู้สึกสปอร์ตยิ่งขึ้น
เมื่อก้าวขึ้นมาภายในรถฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ได้รับการออกแบบให้มีความสวยงามและทันสมัย เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิกา G-Shock ที่สามารถบอกเวลาได้อย่างเที่ยงตรงภายใต้กรอบที่ปกป้องตัวเรือนได้อย่างมิดชิด นั้นคือหลักในการออกแบบแผงหน้าปัด นอกจากนี้ทีมนักออกแบบยังได้สร้างสรรค์รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในแบบเดียวกับรอบแผงหน้าปัดของนาฬิกาเพื่อเพิ่มความรู้สึกถึงความทนทานต่อการใช้งาน
บริเวณตรงกลางคอนโซลได้รับการออกแบบให้เป็นศูนย์รวมของหน้าจอแสดงผล ปุ่มควบคุมการใช้งาน ระบบเครื่องเสียง และปุ่มควบคุมระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบแยกการควบคุมอิสระ (Dual zone) คันเบรกมือที่ได้รับการออกแบบใหม่ และพวงมาลัยแบบปรับระดับได้ที่มีขนาดเล็กลงทำให้ภายในห้องโดยสารของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ มอบความรู้สึกคล้ายกับรถเก๋ง
หลังจากสำรวจภายนอกและภายในกันคร่าวๆแล้วก็มาลองขับดูกันบ้าง รถที่ได้ลองนั้นเป็นรุ่น 4×2 ไฮ-ไรเดอร์ 4 ประตูเครื่องยนต์ขนาด 2.2 เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด เส้นทางที่ผมขับในช่วงแรกนั้นเป็นทางที่ขับจากช่วงในเมืองออกไปนอกเมืองโดยการขับขี่มีกติกาอยู่ว่าขับกันเป็นขบวนแซงกันในขบวนได้แต่ห้ามแซงรถนำ เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วเราก็ออกเดินทาง ฟอร์ดเรนเจอร์ใหม่นั้น มีขนาดใหญ่โตนั้นรถไม่ได้มีความอุ้ยอ้ายแต่ก็ยังให้ความคล่องตัวได้ สามารถแทรกผ่านการจราจรที่ติดขัดในตัวเมืองเชียงรายได้อย่างสบายๆ พวงมาลัยควบคุมได้ง่ายน้ำหนักอาจจะเบาไปหน่อยสำหรับผม ซึ่งเป็นความตั้งใจของฟอร์ด โดยระบบพวงมาลัยแบบแรคแอนด์พิเนียนใหม่ของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ ให้การควบคุมที่แม่นยำ แต่ไม่ถึงกับแข็งจนเกินไปแบบพวงมาลัยรถสปอร์ต ผู้ขับขี่จึงสามารถควบคุมทิศทางของรถได้อย่างแม่นยำ เพิ่มความมั่นใจในการขับขี่ยิ่งขึ้น
การตอบสนองของเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค ทีดีซีไอ 2.2 ลิตร วีจี เทอร์โบ แบบ 4 สูบ ให้แรงบิดสูงสุด 375 นิวตันเมตร และให้กำลัง 110 กิโลวัตต์ (150 แรงม้า) เท่าที่ขับนั้นก็เพียงพอขับกันได้สบายๆแบบไม่เหนื่อยหรือต้องคอยลุ้น แถมยังมีการดึงของรถขณะแร่งแซงพอทำให้รู้สึกว่ารถมันมีพละกำลังอีก
ขับไปซักพักยังไม่ทันจะหายสนุกกับรถก็ต้องมาถึงจุดเปลี่ยนผู้ขับก็ต้องส่งไม้ต่อแล้วย้ายตัวเองมาเป็นผู้โดยสารบ้าง เบาะนั่งนั้นมีขนาดใหญ่ออกแบบมารองรับสรีระของทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้ดีมากนั่งแล้วไม่เมื่อยทั้งแผ่นหลังและบริเวณก้น
การเก็บเสียงภายในห้องโดยสารจัดอยู่ในขั้นเงียบเสียงลมปะทะที่เข้ามาแทบจะไม่ได้ยินแม้จะใช้ความเร็วขนาด 140-150 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ช่วงขึ้นเขาเปลี่ยนจากขับสองเป็นขับสี่หลังจากการขับในช่วงแรกเสร็จก็จอดแวะพักกันเพื่อสลับรถกัน โดยคราวนี้ได้รถหมายเลข 3 ซึ่งเป็นตัว WILDTRAK เครื่อง 2.2 เกียร์อัตโนมัติขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยพื้นฐานแล้วแทบไม่มีอะไรแตกต่างนอกจากชุดแต่งภายนอกที่เพิ่มเติมเข้าไปส่วนภายในนั้นก็ดูหรูหราขึ้นทั้งเบาะหนัง พวงมาลัยหุ้มหนัง แถมด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติหรือครุซคอนโทรล
การขับขี่นั้นแทบจะไม่แตกต่าง เพียงแต่รู้สึกว่าช่วงล่างที่เซ็ตมาตัวขับเคลื่อนสี่ล้อออกจะนุ่มนวลและขับสบายกว่าอาจจะส่วนหนึ่งอาจจะมาจากน้ำหนักรถก็เป็นได้ สำหรับช่วงล่างทีมงานได้มีการออกแบบใหม่โดยด้านหน้านั้น ระบบช่วงล่างของฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ เปลี่ยนการใช้สปริงขดแบบทั่วๆ ไปมาเป็นคอยล์สปริงชุดใหม่ที่ช่วยให้วิศวกรสามารถปรับการทำงานให้เข้ากับการออกแบบ ปีกนกทั้งด้านหน้าและหลังได้อย่างลงตัวขึ้น ขณะที่ระบบกันสะเทือนหลังชุดใหม่ได้รับการปรับจูนอย่างละเอียดให้ตอบสนองต่อการขับขี่ในสภาพถนนที่แตกต่างกัน โดยไม่ทำให้ความสามารถในการบรรทุกน้ำหนักมากๆ ลดลงแต่อย่างใด รวมทั้งการออกแบบที่สามารถทำงานร่วมกับวาล์วแดมเปอร์และค่าสปริงที่เหมาะสมในแต่ละรุ่นเพื่อชดเชยน้ำหนัก จุดศูนย์ถ่วง แรงบิดของเครื่องยนต์ และการกระจายแรงขับที่แตกต่างกัน
ในบางช่วงนั้นผมก็ได้ลองเปลี่ยนระบบขับเคลื่อนจาก 2H เป็น 4H เพียงหมุนปุ่มที่อยู่ตรงคอนโซลกลางเท่านั้นในระหว่างขับขี่ที่ความเร็วไม่เกิน 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงหรือระบบที่เราคุ้นเคยกันดีว่า Shift on the fly
และแล้วก็ไฮไลท์หรือช่วงสำคัญสำหรับทริปนั้นคือการขับลุยน้ำที่ฝายน้ำล้นห้วยส้านน้ำลึกเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้เพราะลืมถามทีมงานแต่มีรูปมาให้ดูแทนครับ
สรุปส่งท้ายได้ลองแค่พอหอมปากหอมคอกับระยะทางสั้นๆที่ได้ลองต้องบอกมาทีม ฟอร์ดเรนเจอร์ใหม่นั้นทำรถได้ออกมาเยี่ยมยอดมากขาดอยู่ที่ว่าปัญหาในการทำตลาดนั้นจะสู้คู่แข่งได้รึเปล่าเท่านั้นตัวสินค้าอยากจะบอกด้วยว่าเหนือกว่าคู่แข่งแต่จะทำยังไงให้ขายได้นั่นล่ะ
ปล.หรือบอกท่านผู้อ่านไปสองเรื่องเอามาไว้ตรงนี้เลยแล้วกันระบบส่งกำลังนั้นเปลี่ยนได้นิ่มนวลครับส่วนระบบเบรกไว้ใจได้เอาอยู่อาจจะต้องปรับน้ำหนักเท้าในการเบรกช่วงแรกซักพักก็ชินเองจนเรียกว่าเบรกสั่งได้ อีกอย่างที่น่าเสียคืออุปกรณ์ต่างๆนั้นยัดไปอยู่ในรุ่น 3.2 เกือบหมดแต่จะว่าฟอร์ดก็ไม่ได้ เพราะถ้าจับมายัดใส่ในรุ่นล่างแล้วราคาก็คงสูงขึ้นไปอีกจริงรึเปล่าครับท่านผู้อ่าน
########################################
เรื่อง premsak@caronline.net
ภาพ jo&ford
“ไพรม์มัส กรุ๊ป…