ทดลองขับ นิสสัน ทีด้า : อย่าเชื่อสายตาตัวเองเด็ดขาด หากยังไม่ได้ลอง



5 พฤศจิกายน 2552 เป็นอีกหนึ่งวันที่ทำให้ผมต้องตื่นแต่เช้า สำหรับคนอื่นอาจจะเป็นเรื่องธรรมดาแต่สำหรับผมนั้นไม่ครับ เพราะปกติผมชอบทำงานตอนดึกๆอยู่แล้วครับ กว่าจะได้นอนก็ตีสาม ตีสี่แล้ว เพราะด้วยอากาศที่กำลังดี ไม่ต้องเปิดแอร์ก็ยังได้ แถมด้วยความเงียบในยามค่ำคืน ทำให้คิดอะไรได้หลายๆอย่างเลยครับ จะเรียกผมเป็นคนกลางคืนก็ได้ไม่ว่ากัน แต่นอนตีสามก็ไม่ได้ตื่นสายอะไรมากมายนะก็แค่ประมาณสิบโมงเช้าเท่านั้น แต่สำหรับวันนี้ต้องตื่นตั้งแต่หกโมงครึ่ง เตรียมตัว ที่จะไปทดลองขับ เจ้าทีด้าใหม่กับพี่ๆเพื่อนๆนักข่าวด้วยกัน

โดยทางนิสสันนั้นนัดไว้ แปดโมงเช้า ที่บริษัท สยามนิสสัน อินเตอร์เทรด จำกัด สาขาเกษตร-นวมินทร์ ซึ่งก็ไม่ไกลจากที่พักผมสักเท่าไหร่ แต่การเดินทางของผมนั้นต้องผ่านแยกพงษ์เพชร ซึ่งมีการปิดสะพานเพื่อทำการซ่อมแซมอยู่ ทำให้ต้องเผื่อเวลาในการเดินทางเพิ่มขึ้นอีก โดยปกติแล้วนั้นหากไม่มีการปิดสะพานดังกล่าว คงใช้เวลาไม่เกิน20นาทีก็ว่าได้ โดยผมไปจากถนนประชาชื่น แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนงามวงศ์วาน ตรงไปลงอุโมงค์ลอดใต้แยกเกษตรก็ถึงแล้ว แต่ ณ ตอนนี้ต้องใช้เวลาเกือบชั่วโมงเห็นจะได้ในการเดินทางในช่วงเวลาดังกล่าว แต่ก็เอาเถอะครับ นี่ก็ปิดสะพานมาหลายวันแล้ว อีกไม่นานก็คงจะซ่อมเสร็จ



9.00 น. ผู้บริหารนิสสันและประธาน บ.สยามนิสสัน อินเตอร์เทรด กล่าวต้อนรับสื่อมวลชน และแนะนำเส้นทางในการทดลองขับ พร้อมทั้งพาชมศูนย์บริการ สาขาเกษตร-นวมินทร์ เมื่อเยื่ยมชมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถ่ายรูปกันเป็นที่ระลึกเสียหน่อยแล้วจึงออกเดินทางกัน



เส้นทางที่ใช้ในการทดลองขับในครั้งนี้นั้น เป็นเส้นทางจาก กรุงเทพ-เขาใหญ่ ระยะทางโดยรวมแล้วก็ไม่น่าจะเกิน 200 กิโลเมตร ออกเดินทางโดยใช้ถนนเกษตร-นวมินทร์ มุ่งหน้าถนนงามวงศ์วาน เลี้ยวซ้ายเข้าถนนวิภาวดี แล้วขึ้นสะพานกลับรถบนถนนวิภาวดี จากนั้นก็ขึ้นทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ระยะทางช่วงนี้ผมเองเป็นคนขับคนแรก เรียกได้ว่า ออกจากบ.สยามนิสสัน อินเตอร์เทรด แล้วก็เจอรถติดเลย แต่เจ้าทีด้าก็สามารถแทรกตัวเข้าไปอยู่ในการจราจรได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ด้วยพวงมาลัยไฟฟ้า ที่ตอบสนองได้ดี และไม่ไวจนเกินไปนัก



อ้อ ผมลืมบอกไป รถที่ผมขับอยู่นี้เป็น นิสสัน ทีด้า แฮทซ์แบค หรือที่เรียกกันว่า รถ 5 ประตูนั่นแหละครับ เป็นเครื่องยนต์ 1,800 CC. แรงม้าสูงสุดที่ 126 แรงม้าที่ 5,200 รอบต่อนาที ตัวถังสีส้ม สวยทีเดียวครับ หลังจากที่ขึ้นทางด่วนแล้วนั้น ผมเองก็เกิดอาการคันเท้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อยากกดคันเร่งให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพื่อที่จะได้รู้ถึงอัตราเร่งของเจ้าทีด้า เครื่องยนต์ 1.8 นี้



แต่ก็อย่างที่หลายๆท่านทราบกันดีอยู่แล้วแหละครับว่า บนทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ นั้นมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจจับความเร็วอยู่ แล้วก็จะเรียกจับตรงด่านเก็บเงินอนุสรณ์สถาน ซึ่งเราไม่สามารถหลบได้เลย หากผมขับเร็วแล้วโดนจับ คงจะเสียชื่อแย่ คิดได้อย่างนั้นจึงใช้ความเร็วตามที่กฎหมายกำหนดที่ 110 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ณ ความเร็วขณะนั้น แทบจะไม่ได้ยินเสียลมเลยก็ว่าได้ครับ ทำให้รู้สึกว่าผมขับช้าไปเลยครับ

พอผ่านด่านเก็บเงินอนุสรณ์สถาน เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น ผมก็ได้ลองกดคันเร่งดู พบว่าเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังทำงานได้ดี ตอบสนองได้ค่อนข้างเร็วครับ ทำให้รู้สึกสนุกในการขับขี่ขึ้นเยอะเลยครับ ความเร็วที่ทำได้ก่อนสิ้นสุดทางด่วนนั้น ก็ประมาณ 150 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเห็นจะได้ ตัวรถเองก็ยังไม่ได้แสดงอาการว่าจะไม่อยากให้ใช้ความเร็วมากกว่านี้แต่อย่างใดครับ ผมเชื่อว่า หากมีทางให้วิ่งได้มากกว่านี้ ความเร็วที่ได้น่าจะมากกว่า 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเป็นแน่ แต่เราจะได้ใช้ความเร็วขนาดนั้นสักกี่ครั้งกันครับ และแต่ละครั้งจะใช้เวลาอยู่กับความเร็วนั้นไปได้สักกี่วินาทีกันครับ

เมื่อลงทางด่วนได้ก็เจอกับการจราจรที่มีรถมาก แต่ไม่ถึงกับติดขัด ต้องใช้ฝีมือกันสักเล็กน้อยในการขับขี่ และทำให้ต้องกดคันเร่งลงบ่อยครั้ง เมื่อต้องการอัตราเร่งที่มากขึ้น ซึ่งระบบส่งกำลังก็ตอบสนองได้เร็วทันใจ ไม่ทำให้รู้สึกว่าต้องรอรอบแต่อย่างใด



ขับมาเรื่อยๆ ตามถนนพหลโยธิน เบี่ยงซ้ายมาทางที่จะไป จ.สระบุรีเป็นที่เรียบร้อย รถเริ่มจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ผมก็ใช้ความเร็วได้มากกว่าเดิม แต่ก็อยู่ประมาณ ไม่เกิน 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเห็นจะได้ ความรู้สึกในตอนนั้น ตัวผมเองคิดว่าน่าจะอยู่ที่ความเร็วไม่น่าเกิน 120 เพราะเสียงลมที่ปะทะตัวรถที่ด้านหน้าแล้วทำให้เกิดเสียงเข้าห้องโดยสารนั้น ถือว่าน้อยมาก

แต่ลมที่พัดมากระทบด้านข้างของตัวรถนั้น กลับทำให้รถเกิดอาการส่ายไปส่ายมา บวกกับนิสสันทีด้านั้น พวงมาลัยเป็นระบบไฟฟ้าด้วยแล้ว จึงมีความไวมากกว่าปกติ ทำให้รู้สึกรถไม่ค่อยมั่นคง และต้องเหนื่อยกับการควบคุมอยู่พอสมควร แต่จะให้โทษรถอย่างเดียวก็เห็นจะไม่เข้าท่า เรื่องลมดังกล่าวใครหล่ะจะไปบังคับมันได้



ขับมาเรื่อยๆจนถึงหลักกิโลเมตรที่ 76 บนถนนพหลโยธินในทางขาออก ก็จะพบกับจุดพักรถจุดแรก นั้นคือ ร้านข้างแกงบ้านสวน(สาขา 2) ในจุดนี้เราไม่ได้มากินข้าวแกงแต่อย่างใด เนื่องจากยังเช้าอยู่และเวลาในขณะนั้นก็น่าจะไม่เกินสิบโมงครึ่งเห็นจะได้ ก็ได้แต่เพียงสั่งกาแฟมาดื่มแก้กระหายกันเท่านั้น และจากนี้ไป ผมก็หมดหน้าที่ที่จะต้องขับรถคันนี้แล้ว โดยให้สื่อมวลชนท่านอื่นรับผิดชอบในการขับขี่แทน



ออกจากร้านข้าวแกงบ้านสวน ด้วยอารมณ์ผู้โดยสารตอนหน้า ทีนี้จะได้ลองดูอะไรต่างๆในรถบ้าง ภายในของนิสสัน ทีด้า แฮทซ์แบค จะเน้นสีดำและแถบสีเงิน ให้ความรู้สึกสปอร์ต และดูทันสมัยมากขึ้น อุปกรณ์ต่างๆจัดวางไว้ในตำแหน่งที่ใช้งานได้ง่ายพอสมควร เบาะนั่งในตอนหน้ารวมถึงเบาะของคนขับ เป็นเบาะหนังสีดำ ที่ไม่ได้ปรับด้วยไฟฟ้าแต่อย่างใด นั่งแล้วรู้สึกกระชับ และไม่เมื่อยจนเกินไปนักหากจะต้องเดินทางกันไกลๆ สิ่งที่น่าประทับใจก็คงจะเป็น ความกว้างขวางของห้องโดยสารที่ผมเองรู้สึกได้ เนื่องจากตัวผมเองนั้น สูง 185 ซ.ม. น้ำหนักก็ 85 กก. เข้าไปแล้ว ผมก็ได้ปรับเบาะของผมให้อยู่ในท่าที่สบายที่สุดของผม ผู้โดยสารที่นั่งด้านหลังผมนั้น ก็ยังไม่รู้สึกว่ามันอึดอัดมากนัก ทั้งทั้งที่ความสูงของเค้านั้นก็น่าจะเกิน 175 ซ.ม. ระยะห่างระหว่างเบาะกับหัวเข่าของคนนั่งด้านหลังนั้น ยังมีมากพอสมควร



จากร้านข้าวแกงบ้านสวนมุ่งหน้า ไร่องุ่นชื่อดัง กราน –มอนเต้ ตามทางหลวงหมายเลข 2 ช่วงนี้ทำความเร็วได้พอสมควร แต่จะโดนเบรกกันสักเล็กน้อย เพราะต้องจัดรถเป็นขบวนเพื่อให้ช่างภาพ ได้ทำงานบ้าง เส้นทางดังกล่าว เป็นเส้นทางที่ถนนเป็นปูนซีเมนต์เสียส่วนใหญ่ ช่วงล่างด้านหน้าแบบแม็คเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบทอร์ชั่นบีม จึงต้องรับบทหนักหน่อยในการขับขี่บนถนนที่เรียกว่าจะเรียบ ก็ไม่เรียบเสียทีเดียวแบบนี้ ผลที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ การสั่นสะเทือนนั้นแม้ว่าจะขึ้นไปถึงช่วงท้องก็จริง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนนั่งรู้สึกเหนื่อยแต่อย่างใด



มาถึงไร่องุ่นชื่อดัง กราน –มอนเต้ วันนี้เราจะต้องรับประทานอาหารกลางวันกันที่นี่ ทางนิสสันได้แจ้งรายการอาหาร ให้ผมทราบและได้สั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว เมื่อไปถึงก็นั่งรออาหารที่สั่งได้เลย ผมเองก็จำชื่อของอาหารจานหลักนี้ไม่ได้เหมือนกัน เอาเป็นว่าหน้าตา และรสชาติเหมือนสตูเนื้อก็แล้วกัน รสชาตินั้นหากเป็นคนที่ชอบอาหารสไตล์ฝรั่งอยู่แล้วนั้นก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่หากไม่ชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว อาหารจานนี้คงจะไม่ถูกปากเอาเลยก็เป็นได้ แต่สิ่งที่หลายๆท่านเอ่ยปากชมกันนั้น ก็คงจะเป็นองุ่น ไม่ว่าจะในรูปแบบไหน จะมาเป็นผลสด หรือเป็นน้ำองุ่น รสชาติหวานหอมชื่นใจจริงๆครับ เมื่อรับประทานอาหารกันเสร็จ ก็เลยได้เก็บภาพบรรยากาศเจ้าทีด้า กับไร่องุ่นมาฝากกันสักเล็กน้อย



จากนั้นคณะสื่อมวลชนก็ต้องเดินทางกันต่อ แต่ระยะทางไม่ไกลนัก ไม่น่าเกิน 20 กิโลเมตรเห็นจะได้ ก็มาถึงที่ที่เราจะต้องนอนพักค้างคืนกัน นั้นคือ The Greenery Resort ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งระหว่างทางที่เดินทางมานั้น ผมก็ได้เปลี่ยนตัวเองมาเป็นผู้โดยสารด้านหลังดูบ้าง ศีรษะของผมนั้น หากนั่งกันแบบหลังติดเบาะ ก็ยังไม่ถึงกับอึดอัดมากนัก ยังเหลือที่อยู่บ้าง ถึงจะไม่มาก แต่ก็มี เบาะด้านหลังนั้นยังสามารถปรับให้เอนลงไปได้อีก ทีนี่แหละครับ เริ่งง่วงขึ้นมาเลย



The Greenery Resort เป็นรีสอร์ทที่ตั้งอยู่อ้อมกอดของขุนเขาก็ว่าได้ ยิ่งใกล้ค่ำอากาศก็เริ่มเย็นลง ถึงองศาจะลงไปไม่มากแต่ก็ยังเย็นสบายครับ ภายในรีสอร์ทนั้นไม่ได้มีแต่ที่พักเพียงอย่างเดียวครับ ยังมีกิจกรรมให้ได้ร่วมสนุกกันด้วย หากมากันเป็นครอบครัว หรือเป็นหมู่คณะด้วยแล้ว จะยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่เลยครับ หลังจากนั้นก็เป็นเวลาพักผ่อนกันแล้วครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่



6 พฤศจิกายน 2552 ต้องตื่นเช้าอีกแล้ว ไม่ชอบเลย แต่ทำไงได้ฮ่าฮ่าฮ่า วันนี้เราต้องเดินทางกลับกันแล้วครับ วันนี้ได้ลองนั่งแต่ไม่ได้ขับเจ้าทีด้า ลาติโอ หรือทีด้าสี่ประตูนั้นแหละครับ ไม่ต่างกัน แต่เป็นเครื่องยนต์ 1,600 CC. 109 แรงม้าที่ 6,000 รอบ สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนอกจากรูปทรงของตัวรถนั้น ก็คงจะเป็นภายในห้องโดยสาร ที่ใช้โทนสีเบจ ต่างกับ ทีด้า 5 ประตูที่ใช้โทนสีดำเป็นหลัก บวกกันลายไม้ที่สร้างความหรูหราและดูดีมากขึ้นทีเดียว บรรยากาศภายในห้องโดยสารนั้นก็ยังคงไม่ทิ้งความกว้างขวาง และนั่งสบายลงเลย ถึงจะวิ่งเล่นไม่ได้เหมือนในโฆษณาก็เอาเถอะครับ ยิ่งผมนั่งข้างหลังด้วยแล้วนั้น ยังแอบหลับไปหลายรอบ



การขับขี่นั้นขากลับผมไม่ได้ขับ นั่งอยู่แต่ทางด้านหลังเพียงอย่างเดียว แต่ก็รู้สึกถึงอัตราเร่งที่ไม่น้อยหน้าเครื่องยนต์ 1,800 เลย อาจจะรอรอบบ้างแต่ก็ไม่มากจนน่าเกลียด สามารถทำความเร็วได้มากกว่า 150 กิโลเมตรต่อชั่งโมง ที่รู้นั้นก็เพราะรู้สึกว่าเริ่มจะมีเสียงลมปะทะจากด้านหน้าบ้างแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงเพลงเบาๆจากวิทยุติดรถอยู่ ถือว่าการเก็บเสียงได้ดีทีเดียวครับ

ช่วงล่างนั้นจริงๆมันก็เหมือนกันกับเจ้าทีด้า 5 ประตูนั้นแหละครับ แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันนิ่มนวลกว่าอย่างไรก็ไม่ทราบครับหรืออาจจะเป็นที่ขากลับ ถนนเป็นแบบลาดยางมากขึ้น จึงทำให้รู้สึกว่านั่งสบายกว่าตอนขาไปก็เป็นได้ครับ ใช้เวลาไม่เกิน 2 ชม. ครับจากเขาใหญ่ ก็มาถึง บริษัท สยามนิสสัน อินเตอร์เทรด จำกัด สาขาเกษตร-นวมินทร์ ที่ที่รับรถไปตั้งแต่เมื่อวานโดยสวัสดิภาพครับ


โดยสรุปแล้ว นิสสัน ทีด้า 5 ประตู และนิสสัน ทีด้า ลาติโอ 4 ประตู ก็ไม่ได้ต่างกันมาก หากจะต่างก็คงต้องเป็นต่างความชอบของแต่ละบุคคลครับ ที่จะเลือกแบบไหนชอบแบบไหน ผมหรือใครๆก็ไม่สามารถที่จะฟันธงลงไปได้ ว่าคุณต้องเลือกแบบไหน มันขึ้นอยู่ที่คุณ และเงินในกระเป๋าคุณเท่านั้นแหละครับที่จะเป็นตัวกำหนดความต้องการของคุณได้ หากจะซื้อหารถสักคัน อย่าเอาแต่อ่านหนังสือรถหรือหาข้อมูลเพียงอย่างเดียวเลยครับ ข้อมูลเหล่านั้น เป็นข้อมูลของแต่ละบุคคล แต่ไม่ใช่ของคุณ หากคุณจะซื้อ คุณก็ควรที่จะไปลองขับ หรือลองนั่งดูจะดีที่สุดครับ

**************************************************************************

สารฑูล สักการเวช
sarathun@caronline.net

Facebook Comments