มร.อาซึชิ ฟูจิโมโตะ ประธานบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “ตั้งแต่เดือนกันยายนเป็นต้นไป การผลิตรถยนต์ที่โรงงานในจังหวัดอยุธยาจะปรับเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิต รวมสองสายการผลิตและสองกะ นับเป็นครั้งแรกตั้งแต่เปิดทำการผลิตในประเทศไทย โดย ทุกสายการผลิตจะเดินเครื่องเต็ม 100% ประกอบรถยนต์ฮอนด้าทุกรุ่น โดยเฉพาะฮอนด้า บริโอ้ รวมวันละ 1,000 คัน เพื่อให้ทันกำหนดส่งมอบลูกค้าในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ”
มร.ฟูจิโมโตะ กล่าวว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในระยะยาวของไทยยังคงแข็งแกร่ง ดัชนีชี้วัดสำคัญๆ ทางเศรษฐกิจหลายตัวแสดงว่า ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ปรับตัวสูงขึ้นหลังการเลือกตั้งทั่วไป ค่าเงินบาทแข็งแรงอยู่ตัว เงินเฟ้ออยู่ในความควบคุม ตลาดหุ้นมีการซื้อขายคึกคักมากขึ้น เช่นเดียวกับการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
ความนิยมที่ผู้บริโภคมีต่อรถยนต์ฮอนด้าอย่างท่วมท้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2554 ส่งผลให้บริษัททำยอดขายได้ 46,370 คัน สูงกว่าเป้าหมายครึ่งปีซึ่งตั้งไว้ที่ 45,000 คัน ยอดขายฮอนด้า ซิตี้ ฮอนด้า ซีวิค และฮอนด้า แจ๊ซติดอันดับท็อปทรีรถที่ขายดีที่สุดในช่วงหกเดือนแรกของปี และคิดเป็นส่วนแบ่งประมาณ 80% ของยอดขายรถยนต์ฮอนด้าทั้งหมดในช่วงเวลาดังกล่าว
มร.ฟูจิโมโตะกล่าวว่า การสร้างตำแหน่งของแบรนด์ฮอนด้า และ การเป็นผู้นำตลาด เกิดจากองค์ประกอบสำคัญ 4 ประการ คือ ผลิตภัณฑ์ที่ชนะใจผู้บริโภค, กลยุทธ์มอบบริการที่เหนือระดับสำหรับลูกค้า, ความสัมพันธ์กับผู้จำหน่าย และ ความเป็นแบรนด์ระดับโลกที่เข้าใจความต้องการและไลฟ์สไตล์ของลูกค้า
เพื่อรองรับความต้องการด้านบริการหลังการขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ฮอนด้าได้ลงทุนไปกว่า 1,700 ล้านบาท เพื่อขยายเครือข่ายผู้จำหน่าย ปัจจุบัน บริษัทฯ มีเครือข่าย ผู้จำหน่ายทั่วประเทศอยู่ 195 ราย และตั้งเป้าจะขยายเพิ่มเป็น 250 รายภายในปี 2555 เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการที่โชว์รูมของฮอนด้าได้ง่ายและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
มร.ฟูจิโมโตะยังได้ระบุถึงแนวโน้มที่ปรากฏขึ้นหลายอย่างในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งสนับสนุนการคาดการณ์ในเชิงบวกของบริษัทที่มองว่า ปีนี้ตลาดรถยนต์ภายในประเทศจะมีความต้องการรถยนต์รวม 920,000 คัน และจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 9% ไปแตะที่ 1 ล้านคันในปี 2555
“จากผลการวิจัยของเรา ความต้องการรถยนต์นั่งทั้งในประเภทซับ-คอมแพ็คท์และคอมแพ็คท์ ทำให้มียอดขายรถยนต์คิดเป็น 79% ของยอดขายรถยนต์นั่งทั้งหมดในปี 2553 และมีแนวโน้มว่าจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันในปี 2554 และ 2555 รถขนาดซับ-คอมแพ็คท์มีส่วนแบ่งประมาณ
50% ของยอดขายรถยนต์นั่งรวมในประเทศไทย ในขณะที่รถยนต์ขนาดคอมแพ็คท์ครองส่วนแบ่งประมาณ 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด” มร.ฟูจิโมโตะกล่าว
มร.ฟูจิโมโตะ กล่าวต่อว่า ขนาดของตลาดรถยนต์นั่งเอ-เซ็กเมนต์ ซึ่งเป็นตลาดที่ฮอนด้า บริโอ้ ใหม่แข่งขันอยู่ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่า นับตั้งแต่รถยนต์อีโคคาร์รุ่นแรกเข้าสู่ตลาดเมืองไทยในปี 2553 โดยคาดว่าตลาดรถยนต์ในเซ็กเมนต์นี้จะมีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในช่วงระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า
มร.ฟูจิโมโตะ เปิดเผยว่า จนถึงวันนี้ ฮอนด้า บริโอ้มียอดจองมากกว่า 8,000 คันแล้ว นับแต่เปิดตัวครั้งแรก ทำให้กลายเป็นรถที่ขายดีที่สุดรุ่นหนึ่งของฮอนด้า และได้มีการส่งมอบให้ลูกค้าไปแล้วราว 2,500 คัน โดยภายในสิ้นปีนี้ บริษัทฯ จะส่งมอบฮอนด้า บริโอ้ให้ลูกค้าให้ได้ทั้งสิ้น 17,000 คัน
“ฮอนด้า บริโอ้ยังคงเป็นรถอีโคคาร์ยอดนิยม จะเห็นได้จากจำนวนลูกค้าที่สั่งจองในแต่ละวัน เนื่องจากบริโอ้เป็นรถที่ราคาย่อมเยา ประกอบกับความเป็นแบรนด์ฮอนด้าทำให้กลายเป็นรถอีโคคาร์ที่คุ้มค่า คุ้มราคาเป็นพิเศษ นอกจากนี้การสื่อสารทางการตลาดของบริษัทฯ จะมุ่งเน้นจุดเด่นของฮอนด้า บริโอ้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดวางที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีความปลอดภัย สมรรถนะการควบคุมการขับขี่ ห้องโดยสารและอุปกรณ์มาตรฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถุงลมคู่หน้า และระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS ในทุกรุ่น ถือเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ด้านความปลอดภัยสำหรับรถยนต์นั่งในกลุ่มนี้” มร.ฟูจิโมโตะกล่าว
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ผลิตและส่งออกรถยนต์นั่งที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศไทย ฮอนด้ามีโรงงานผลิตรถยนต์ระดับโลกอยู่ 2 แห่ง ตั้งอยู่บริเวณติดกันในจังหวัดอยุธยา โรงงานทั้งสองมีกำลังผลิตรวมกัน 240,000 คันต่อปี มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของฮอนด้า รองจากโรงงานในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีน แคนาดา และสหราชอาณาจักร มีพนักงานประจำโรงงานประมาณ 5,000 คน
thunyaluk@caronline.net